http://www.komchadluek.net/column/scoop/2004/11/13.phpกระสุนเฉี่ยวร่าง...เฉียดตาย! ตำรวจไทยไล่ล่า "แก๊งลูกหมู"
ในบรรดาแก๊งอาชญากร ข้ามชาติ ที่มักจะเข้า มาใช้เมืองไทย เป็นแหล่งซ่องสุม กระทำ การผิดกฎหมาย ย่อมมีชื่อของ "แก๊งลูกหมู" หรือ "แก๊งมังกรจีน" ติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของแฟ้ม ทะเบียนประวัติ อาชญากร และหลายครั้งการเคลื่อนไหวของ แก๊งมิจฉาชีพก็หวิดจะทำให้ตำรวจ ต้องมาจบชีวิตลงแบบไม่คาดฝัน
ดังเช่นการทำงานเสี่ยงตาย ของชุดสืบสวนสอบสวน ตำรวจนครบาล 2 (กก.สส.น.2) ที่หวิดจะสิ้นชื่อในระหว่างตามจับกุมแก๊งลูกหมูเมื่อ 7 ปีก่อน!
การไล่ล่าแก๊งลูกหมูในครั้งนั้นเริ่มต้นขึ้นในยามเช้าตรู่ของวันที่ 20 พ.ย. 2540 เมื่อตำรวจ สน.สุทธิสาร ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบศพชายชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ นายเฉิน เทียนชิง อายุ 25 ปี ในบ่อพักน้ำประปาของบ้านเช่าหลังหนึ่ง
สภาพศพของเขาขาวซีด เนื่องจากถูกแช่น้ำเป็นเวลานาน ตามร่างกายมีรอยแดงและรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ซึ่งฟ้องว่า เขาถูกทำร้ายอย่างทารุณก่อนเสียชีวิต โดยศพถูกบรรจุอยู่ในถุงขยะสีดำขนาดใหญ่
จากการสืบสวนของตำรวจ กก.สส.น.2 และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้เบาะแสชัดเจนว่าคนร้ายที่ร่วม สังหารโหดในคดีนี้เป็นแก๊งลูกหมู ที่หลบหนีคดีเข้ามาอยู่ในเมืองไทย ได้แก่ นายหลิน หย่งเล่อ หรือ อาปิง อายุ 21 ปี นายจ้าง เจี้ยง ก้วย หรือ ไอซือ อายุ 26 ปี นายเฉินหมิง หรือ อาตี้ อายุ 24 ปี นายหลิน เจียงหา หรือ อาหง อายุ 25 ปี และ นายอาเฟ หรือ เบี่ยวตี้ อายุ 26 ปี
พฤติกรรมของแก๊งนี้ คือ จะหลอกลวงชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่พยายามหนีออก นอกประเทศเพื่อหวังจะพบกับความสุขสบายในต่างประเทศ โดยรับปากว่าจะช่วยทำพาสปอร์ตปลอมให้สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ จากนั้นจะส่งไปทำงานยังประเทศที่ 3
แต่เมื่อมาถึงเมืองไทยก็จะถูกจับเป็นตัวประกันแลกกับค่าไถ่ก้อนโตจากญาติในเมืองจีน!
เมื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากกรมตำรวจฮกเกี้ยน ประเทศจีน ทราบว่า นายอาปิงเป็นอาชญากรข้ามชาติที่ก่อคดีมาโชกโชน ทั้งปล้นร้านทอง รถทัวร์ และลักพาตัวเรียกค่าไถ่ มาแล้วนับไม่ถ้วน ที่ร้ายกว่านั้น คือ ก่อนจะหลบหนีเข้าเมืองไทย ได้ก่อคดี "ฆ่าตำรวจ" จึงกลายเป็นอาชญากรอันดับต้นๆ ที่กรมตำรวจฮกเกี้ยนต้องการตัวมาดำเนินคดีในประเทศจีน
หลังจากได้ข้อมูลความร้ายกาจของคนร้ายแล้ว พ.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผกก.สส.น.2 (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) พร้อมทีมสืบสวน มือดีในสังกัด ได้รับมอบหมาย ให้ทำคดีนี้ โดยทีมสืบสวนทราบว่า นายอาปิงกับพวกยังคงกบดานอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ทีมนักสืบยังไม่กล้าผลีผลามเข้าจับกุม เพราะรู้กิตติศัพท์ความร้ายกาจดี จึงได้แต่เฝ้าติดตามพฤติกรรมไว้ทุกฝีก้าว
แผนการจับกุมเริ่มขึ้นในคืนวันที่ 23 พ.ย. 2540 โดย พ.ต.ท.สุวัฒน์ได้ส่งสายลับโทรไปติดต่อขอทำ พาสปอร์ตปลอมจากอาปิง ส่วน พ.ต.ท.สุวัฒน์พร้อมสายสืบฝีมือดี อาทิ พ.ต.ต.ธงชัย กนิษฐกุล สว.สส. และ ร.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง สว.สส. ไปดักซุ่มรออยู่หน้า โรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่าน ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายพร้อมกับลูกน้องในทีมสืบสวนอีก 2 ชุด
กระทั่งถึงเวลา 20.00 น. วันเดียวกัน อาปิงได้นั่งรถแท็กซี่มา ที่โรงแรมพร้อมกับลูกน้องร่างกำยำอีก 2 คน โดยมีท่าทีระแวดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา
จังหวะนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาหาอาปิง เขารับสาย และเริ่มมีอาการระแวงมากขึ้นทุกขณะ ก่อนจะรีบเรียกรถแท็กซี่ออกจากโรงแรมอย่างกะทันหัน โดยใช้เส้นทางมุ่งไปตามทางถนนรัชดาภิเษก
พลันที่เห็นคนร้ายเริ่มไหวตัวทัน ชุดสืบสวนได้รีบขับรถตามไปในทันที หวังว่าจะตามจับคนร้ายให้ได้ ทว่าการจราจรในช่วงค่ำที่ติดขัดอย่างหนัก ทำให้รถในทีมสืบสวนหลุดออกไปจากขบวนไป 2 คัน เหลือเพียงรถในทีมของ พ.ต.ท.สุวัฒน์เท่านั้นที่ยังตามจี้ติดคนร้ายอย่างไม่ลดละ
และแล้วรถแท็กซี่ที่คนร้ายนั่งมาได้จอดติดไฟแดง อยู่บริเวณแยกห้วยขวาง ห่างจากรถตำรวจไม่ถึง 100 เมตร เมื่อเห็นดังนั้น พ.ต.ท.สุวัฒน์พร้อมลูกน้องจึง รีบวิ่งกรูลงจากรถหวังไปตะครุบตัวคนร้ายคารถ
แต่โชเฟอร์แท็กซี่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการปล้นรถ รีบเปิดประตูหนีไปก่อน อาหงที่นั่งข้างคนขับพยายามข้ามเบาะที่นั่งไปขับรถแทน แต่ก็ช้ากว่า พ.ต.ท.สุวัฒน์ ที่ตามเข้าไปล็อกตัวไว้ได้ ส่วน พ.ต.ต.ธงชัยได้เข้าล็อกตัวอาตี้บริเวณเบาะด้านหลังขวา ตามมาด้วย ร.ต.ท.ธีรเดชที่โผเข้าหาอาปิงที่นั่งอยู่เบาะหลังซ้าย
"หยุด นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ" พ.ต.ท.สุวัฒน์ตะโกนลั่นแม้จะไม่มั่นใจว่า คนร้ายจะฟังภาษาไทยออกหรือไม่ แต่คนร้ายทั้งสามยังไว้ลายฮึดสู้ ไม่ยอมให้จับได้ง่ายๆ
ด้วยความคับแคบของตัวรถ ทำให้อาปิงสะบัดหลุดจากการล็อกได้ ก่อนจะชกเข้าที่หน้าของ ร.ต.ท.ธีรเดชแล้วคว้าปืนของตำรวจไปได้ และเล็งไปที่ร่าง พ.ต.ท.สุวัฒน์
ร.ต.ท.ธีรเดชเห็นท่าไม่ดีจึงใช้มือปัดปืนของอาปิง กำลังเต็มที่ที่ปัดแขนอาปิงให้พ้นรัศมีตัว แต่ก็ช้ากว่ากระสุนที่อาปิงลั่นไปแล้ว
วิถีกระสุนพุ่งทะลุเบาะหน้าซ้าย เจาะร่างอาหงตายคาที่ ก่อนจะทะลุกระจกหน้ารถถากหน้า พ.ต.ท.สุวัฒน์ ไปไม่กี่ ซม. ท่ามกลางความตะลึงงันของอาปิงที่เพิ่งลั่นไกฆ่าลูกน้องตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ และกว่าจะตั้งสติได้ก็ถูกตำรวจจับใส่กุญแจมือเรียบร้อยแล้ว
การจับกุมอาปิงและพวกนำไปสู่การช่วยเหลือเหยื่อแก๊งลูกหมูได้หลายคน โดยเหยื่อรายหนึ่งของอาปิงแฉพฤติกรรม ของอาปิงและพวกว่า ได้หลอกพวกตนว่าจะพาไปประเทศที่ 3 โดยจะให้พักอยู่ที่ประเทศไทยก่อน แต่เมื่อมาถึงที่พัก กลับบีบบังคับให้แก้ผ้าและจับใส่กุญแจมือขังไว้ในห้องแคบๆ
จากนั้นจะลากตัวออกมาข้างนอกทีละคนแล้วให้โทรศัพท์ กลับบ้าน เพื่อให้ญาติที่เมืองจีนส่งเงินมาให้คนละ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 100,000 บาท) ส่วนนายเฉินที่เสียชีวิต ทางญาติไม่มีเงิน และขอเวลาหาเงินก่อน จึงถูกทารุณอย่างหนัก ก่อนจะถูกนำศพไปทิ้งบ่อน้ำในที่สุด
พฤติกรรมเหี้ยมโหดของอาปิงและอาหง ทำให้ทั้งคู่ถูกดำเนินคดีในประเทศไทยใน ข้อหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวบุคคลไว้เรียกค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ปล้นทรัพย์ และหลบหนีเข้ามาราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อมา ในปี 2545 ศาลอาญาได้ตัดสินประหารชีวิตอาปิงและอาหง แต่ผู้ต้องหารับสารภาพ จึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต!
"แผลเป็นที่มือ" คือสิ่งเตือนใจ จะทำอะไร...ต้องไม่ประมาท!
พ.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผกก.สน.ลุมพินี อดีตรอง ผกก.สส.น.2 และหัวหน้าชุดสืบสวนในคดีนี้ เล่าถึงที่มาการจับกุมแก๊งลูกหมูในครั้งนั้นว่า จากการสืบสวนพบว่า บ้านหลังที่พบศพมีชาวจีนมาเช่าอยู่ จึงเชื่อมั่นว่าคนร้ายที่ลงมือต้องเป็นแก๊งลูกหมูที่ชอบจับคนจีนหลบหนีเข้าเมืองมาเรียกค่าไถ่ โดยแนวทางการสืบสวนชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีพยานชาวจีนรายหนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่มีผู้ตายมาร่วมยืนยันด้วย
พ.ต.อ.สุวัฒน์เล่าอีกว่า แผนการจับกุมถูกกำหนดขึ้น โดยให้สายโทรไปติดต่อขอซื้อพาสปอร์ตปลอมจากอาปิง และนัดหมายกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่คนร้ายไหวตัวทันเสียก่อน จึงรีบนั่งรถแท็กซี่หลบหนี
"จากนั้นผมจึงรีบขับรถตามไป แต่ก็ยอมรับว่าเข้าชาร์จคนร้ายช้าเกินไป เพราะความจริงเราต้องการเข้าชาร์จตอนที่คนร้ายไม่รู้ตัว จึงถือว่าเราช้ากว่าคนร้ายไป 1 ก้าว แต่ก็ถือว่าโชคดีมากที่ผมได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย โดยมีแผลเป็นเล็กๆ ที่มือซ้ายที่ถูกกระสุนเฉี่ยว และมีเศษตะกั่วกระสุนหลุดเข้าจมูกจนทำให้จมูกบวมชั่วคราวเท่านั้น"
"การเข้าจับกุมคนร้ายทุกครั้งต้องมีการวางแผนและ ฝึกฝนการทำงานที่เป็นทีมเวิร์ค แม้จะวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นได้เสมอ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอาวุธปืน จะต้องระบุให้แน่ชัดว่าใครจะเป็นคนใช้ ซึ่งโดยปกติจะคัดเลือกจากความสามารถของลูกทีมเป็นสำคัญ" พ.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวถึง หลักปฏิบัติที่ควรตะหนัก อย่างยิ่งในขณะทำงาน
มือปราบท่านนี้กล่าวถึงแผลเป็นที่มือซ้ายว่า ทุกครั้งที่เห็นมักจะชวนให้นึกถึงเหตุครั้งนั้นอยู่เสมอ เพราะมันเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำงาน ด้วยความรอบคอบ และไม่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
********************************** สุดระทึกนาทีจับกุมแก๊งลูกหมู โดนแย่งปืน...กระสุนถูกคนร้าย!
พ.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ สว.สส.น.2 อดีตรอง สว.สส.น.2 และหนึ่งในชุดจับกุมคนร้ายในครั้งนั้น เล่าถึงคดีที่ประทับใจไม่รู้ลืมว่า "ปี 2540 ผมได้เข้ามาอยู่กองสืบสวนเป็นครั้งแรก และยังเป็นตำรวจใหม่ ยังไม่เคยจับกุมคนร้ายแม้แต่คนเดียว วันที่เกิดเหตุผมนั่งอยู่ที่กองสืบสวนคนเดียว จังหวะนั้น พ.ต.ท.สุวัฒน์ก็เดินเข้ามา และบอกว่าต้องการทีมจับกุมแก๊งอาปิง จึงชวนผมออกไปด้วย"
พ.ต.ต.ธีรเดชเล่าถึงความรู้สึกใน ระหว่างแย่งปืนกับคนร้ายว่า "ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้นและ หวาดเสียวมาก แต่ก็พยายามตั้งสติเพื่อแย่งปืนคืนให้ได้ แต่ตอนที่กระสุนถูกคนร้ายยิงออกไป ผมถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ กว่าจะรวบรวมสติแย่งปืนคืนได้ โชคดีที่กระสุนลั่นไปถูกคนร้ายแทนที่จะเป็นผู้บังคับบัญชา"
สว.สส.น.2 มองว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็น บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ว่า โจรก็ก็คือโจร และตำรวจก็มีหน้าที่จับกุม ถ้าคนร้ายมีอาวุธปืนหรือคิดต่อสู้ เราจำเป็นต้องใช้อาวุธช่วยจับกุมเพื่อไม่ให้คนร้ายไปก่อความเดือดร้อนกับคนอื่น ทั้งที่ใจจริงไม่อยากจะใช้ความรุนแรง
ถึงกระนั้นก็ดีใจที่ได้ทำงานตรงจุดนี้ โดยคดีส่วนใหญ่ที่รับผิดชอบเป็นคดีสะเทือนขวัญ ซึ่งทุกครั้งที่จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้แล้วเห็นญาติของผู้เสียหายมีความสุข เราก็พลอยมีความสุขไปด้วยเหมือนกับการได้ทำบุญทำกุศลอีกทางหนึ่ง
มณฑาทิพย์ แซ่ปู้