เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤษภาคม 18, 2025, 02:21:43 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จากคมชัดลึก  (อ่าน 6878 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pimuk
Hero Member
*****

คะแนน 82
ออฟไลน์

กระทู้: 2886


« เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 04:01:26 PM »

http://www.komchadluek.net/detail/20130104/148642/ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก.html

ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก
ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 4 ม.ค.2556

               สิบปีมาแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะจัดระเบียบสังคมไทยใหม่ ให้เป็นสังคมที่ปราศจากอาวุธปืน อันเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมที่นับวันมีแต่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข ปราศจากความรุนแรงใดๆ แต่จนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำโอ้อวดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยนั้น ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปได้เท่านั้น ตรงกันข้ามอาวุธปืนที่อยู่ในความครอบครองของประชาชนมีแต่มากขึ้นทวีคูณ ส่งผลให้สถิติอาชญากรรม รวมทั้งสถิติผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืน ขยับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

               จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ระบุว่า ขณะนี้มีผู้ถือครองใบอนุญาตปืนมากถึง 6.2 ล้านใบ สอดคล้องกับข้อมูลของสื่ออังกฤษที่ว่า ไทยเป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของปืนมากเป็นอันดับหนึ่งในย่านเอเชียอาคเนย์ ด้วยสัดส่วน 15 กระบอกต่อประชาชน 1,000 คน เพิ่มขึ้น 32% ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เว็บไซต์ว่าด้วยนโยบายการควบคุมอาวุธปืนของออสเตรเลีย ได้เปิดเผยผลการสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ประเทศไทยมีสถิติการก่ออาชญากรรมจากปืนมากที่สุดในเอเชีย หรือทุกๆ 1 แสนคนจะมีคนถูกฆ่าด้วยอาวุธปืนเฉลี่ยแล้ว 5.3 คน เทียบกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นแดนคนดุที่มีเพียง 0.2 คน

               จากสถิตินี้เอง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นดินแดนอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจถูกลูกหลงเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับนายสตีเฟน เดวิด แอชตัน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 23 ปี ที่ถูกลูกหลงเสียชีวิตจากเหตุดวลปืนบริเวณบาร์ ริมชายหาดริ้น ที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี นับเป็นชาวอังกฤษคนที่ 7 ที่เสียชีวิตจากอาวุธปืนนับตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้กระทรวงต่างประเทศอังกฤษต้องเตือนนักท่องเที่ยวตะวันตกให้ระวังอันตรายว่า อาจจะตกเป็นเหยื่อเหตุร้ายโดยไม่รู้ตัวระหว่างร่วมงานฟูลมูนปาร์ตี้

               สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองรีบแก้ตัวพัลวันว่า กว่า 99% ของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น คนร้ายใช้ปืนเถื่อนก่อเหตุ ขณะนี้ตำรวจได้เพิ่มมาตรการระวังป้องกันเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนอยู่แล้ว ด้านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้สั่งการให้โรงพักในพื้นที่นครบาลใช้ทุกมาตรการในการยึดอาวุธปืน ไม่ว่าจะด้วยการตั้งด่านบนถนนสายหลัก และสายรอง หรือให้มีการตรวจค้นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะการตรวจค้นกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุร้ายได้ตลอดเวลา

               จากบทเรียนที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่า การควบคุมอาวุธปืนนั้นแค่ช่วยบรรเทาความรุนแรงได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สิ้นซากได้ เพราะความผิดไม่ได้อยู่ที่ปืน แต่อยู่ที่ผู้ครอบครองปืนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ใช่แค่การลูบหน้าปะจมูกเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น
บันทึกการเข้า
rambo1th
Hero Member
*****

คะแนน 143
ออฟไลน์

กระทู้: 1349


« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 04:25:24 PM »

ก็ข้อมูลเดิมๆที่เคยมีการสนทนากันไปในหลายๆกระทู้ที่ผ่านมา แต่ที่แน่ๆ ใบ ป.12 ที่ปกติยากเย็นแสนเข็ญจนแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นอภิสิทธิ์ชนจริงๆ ทีนี้ก็จะมีการควบคุมใบ ป.4 กันตามมาอีก ตอนนี้ใครที่คิดพกพาอาวุธปืนติดตัว ติดรถ อย่าเสี่ยงดีกว่านะครับ ไม่คุ้มกัน เว้นสถานการณ์จำเป็นคับขันจริงๆ เพราะถูกจับได้ไม่คุ้ม
บันทึกการเข้า
smitxx2005'รักในหลวง'
Full Member
***

คะแนน 17
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 250



« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 04:38:22 PM »

http://www.komchadluek.net/detail/20130104/148642/ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก.html

ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก
ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 4 ม.ค.2556

               สิบปีมาแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะจัดระเบียบสังคมไทยใหม่ ให้เป็นสังคมที่ปราศจากอาวุธปืน อันเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมที่นับวันมีแต่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข ปราศจากความรุนแรงใดๆ แต่จนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำโอ้อวดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยนั้น ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปได้เท่านั้น ตรงกันข้ามอาวุธปืนที่อยู่ในความครอบครองของประชาชนมีแต่มากขึ้นทวีคูณ ส่งผลให้สถิติอาชญากรรม รวมทั้งสถิติผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืน ขยับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

               จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ระบุว่า ขณะนี้มีผู้ถือครองใบอนุญาตปืนมากถึง 6.2 ล้านใบ สอดคล้องกับข้อมูลของสื่ออังกฤษที่ว่า ไทยเป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของปืนมากเป็นอันดับหนึ่งในย่านเอเชียอาคเนย์ ด้วยสัดส่วน 15 กระบอกต่อประชาชน 1,000 คน เพิ่มขึ้น 32% ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เว็บไซต์ว่าด้วยนโยบายการควบคุมอาวุธปืนของออสเตรเลีย ได้เปิดเผยผลการสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ประเทศไทยมีสถิติการก่ออาชญากรรมจากปืนมากที่สุดในเอเชีย หรือทุกๆ 1 แสนคนจะมีคนถูกฆ่าด้วยอาวุธปืนเฉลี่ยแล้ว 5.3 คน เทียบกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นแดนคนดุที่มีเพียง 0.2 คน

               จากสถิตินี้เอง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นดินแดนอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจถูกลูกหลงเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับนายสตีเฟน เดวิด แอชตัน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 23 ปี ที่ถูกลูกหลงเสียชีวิตจากเหตุดวลปืนบริเวณบาร์ ริมชายหาดริ้น ที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี นับเป็นชาวอังกฤษคนที่ 7 ที่เสียชีวิตจากอาวุธปืนนับตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้กระทรวงต่างประเทศอังกฤษต้องเตือนนักท่องเที่ยวตะวันตกให้ระวังอันตรายว่า อาจจะตกเป็นเหยื่อเหตุร้ายโดยไม่รู้ตัวระหว่างร่วมงานฟูลมูนปาร์ตี้

               สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองรีบแก้ตัวพัลวันว่า กว่า 99% ของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น คนร้ายใช้ปืนเถื่อนก่อเหตุ ขณะนี้ตำรวจได้เพิ่มมาตรการระวังป้องกันเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนอยู่แล้ว ด้านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้สั่งการให้โรงพักในพื้นที่นครบาลใช้ทุกมาตรการในการยึดอาวุธปืน ไม่ว่าจะด้วยการตั้งด่านบนถนนสายหลัก และสายรอง หรือให้มีการตรวจค้นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะการตรวจค้นกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุร้ายได้ตลอดเวลา

               จากบทเรียนที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่า การควบคุมอาวุธปืนนั้นแค่ช่วยบรรเทาความรุนแรงได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สิ้นซากได้ เพราะความผิดไม่ได้อยู่ที่ปืน แต่อยู่ที่ผู้ครอบครองปืนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ใช่แค่การลูบหน้าปะจมูกเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น

ปัญหามีคำตอบในตัวเองแล้วนี่ครับ ก็ไปกวาดล้างปืนเถื่อนสิครับ
บันทึกการเข้า
NUTAPHOL
รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 544
ออฟไลน์

กระทู้: 8934



« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 04:40:49 PM »

ก็ข้อมูลเดิมๆที่เคยมีการสนทนากันไปในหลายๆกระทู้ที่ผ่านมา แต่ที่แน่ๆ ใบ ป.12 ที่ปกติยากเย็นแสนเข็ญจนแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นอภิสิทธิ์ชนจริงๆ ทีนี้ก็จะมีการควบคุมใบ ป.4 กันตามมาอีก ตอนนี้ใครที่คิดพกพาอาวุธปืนติดตัว ติดรถ อย่าเสี่ยงดีกว่านะครับ ไม่คุ้มกัน เว้นสถานการณ์จำเป็นคับขันจริงๆ เพราะถูกจับได้ไม่คุ้ม
โดยปกติก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพกติดตัวอยู่แล้วละครับ  นอกจากจะพาไปซ้อมยิงที่สนามยิงปืนเท่านั้น  ข่าวเก่าๆเรื่องเดิมๆ
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 04:52:18 PM »

http://www.komchadluek.net/detail/20130104/148642/ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก.html

ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก
ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 4 ม.ค.2556

               สิบปีมาแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะจัดระเบียบสังคมไทยใหม่ ให้เป็นสังคมที่ปราศจากอาวุธปืน อันเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมที่นับวันมีแต่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข ปราศจากความรุนแรงใดๆ แต่จนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำโอ้อวดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยนั้น ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปได้เท่านั้น ตรงกันข้ามอาวุธปืนที่อยู่ในความครอบครองของประชาชนมีแต่มากขึ้นทวีคูณ ส่งผลให้สถิติอาชญากรรม รวมทั้งสถิติผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืน ขยับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

               จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ระบุว่า ขณะนี้มีผู้ถือครองใบอนุญาตปืนมากถึง 6.2 ล้านใบ สอดคล้องกับข้อมูลของสื่ออังกฤษที่ว่า ไทยเป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของปืนมากเป็นอันดับหนึ่งในย่านเอเชียอาคเนย์ ด้วยสัดส่วน 15 กระบอกต่อประชาชน 1,000 คน เพิ่มขึ้น 32% ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เว็บไซต์ว่าด้วยนโยบายการควบคุมอาวุธปืนของออสเตรเลีย ได้เปิดเผยผลการสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ประเทศไทยมีสถิติการก่ออาชญากรรมจากปืนมากที่สุดในเอเชีย หรือทุกๆ 1 แสนคนจะมีคนถูกฆ่าด้วยอาวุธปืนเฉลี่ยแล้ว 5.3 คน เทียบกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นแดนคนดุที่มีเพียง 0.2 คน

               จากสถิตินี้เอง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นดินแดนอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจถูกลูกหลงเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับนายสตีเฟน เดวิด แอชตัน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 23 ปี ที่ถูกลูกหลงเสียชีวิตจากเหตุดวลปืนบริเวณบาร์ ริมชายหาดริ้น ที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี นับเป็นชาวอังกฤษคนที่ 7 ที่เสียชีวิตจากอาวุธปืนนับตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้กระทรวงต่างประเทศอังกฤษต้องเตือนนักท่องเที่ยวตะวันตกให้ระวังอันตรายว่า อาจจะตกเป็นเหยื่อเหตุร้ายโดยไม่รู้ตัวระหว่างร่วมงานฟูลมูนปาร์ตี้

               สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองรีบแก้ตัวพัลวันว่า กว่า 99% ของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น คนร้ายใช้ปืนเถื่อนก่อเหตุ ขณะนี้ตำรวจได้เพิ่มมาตรการระวังป้องกันเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนอยู่แล้ว ด้านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้สั่งการให้โรงพักในพื้นที่นครบาลใช้ทุกมาตรการในการยึดอาวุธปืน ไม่ว่าจะด้วยการตั้งด่านบนถนนสายหลัก และสายรอง หรือให้มีการตรวจค้นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะการตรวจค้นกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุร้ายได้ตลอดเวลา

               จากบทเรียนที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่า การควบคุมอาวุธปืนนั้นแค่ช่วยบรรเทาความรุนแรงได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สิ้นซากได้ เพราะความผิดไม่ได้อยู่ที่ปืน แต่อยู่ที่ผู้ครอบครองปืนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ใช่แค่การลูบหน้าปะจมูกเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น

นายสมชายยืนยันความเห็นเหมือนเดิม ตามตัวแดงครับ... ว่าต้นตอของความชั่วช้าทั้งมวลประดาทั้งสิ้นในแผ่นดินไทย เกิดจากความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมายครับ...
บันทึกการเข้า
แสนสุข
Hero Member
*****

คะแนน 171
ออฟไลน์

กระทู้: 1291



« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 05:00:53 PM »

คำโอ้อวดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยนั้น ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง      คิก คิก คิก คิก คิก คิก
บันทึกการเข้า

นิพนธ์-รักในหลวงของไทย
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

กระทู้: 303


« ตอบ #6 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 07:21:44 PM »

แต่ผมว่าตราบใดที่คนของทักษิณยังนั่งในสภาอยู่ ก็ไม่แน่ครับ  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
ACU 10562
Who Dare Win
Jr. Member
**

คะแนน 6
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 29


จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา


« ตอบ #7 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 09:06:38 PM »

ผมพกทั้ง ยาว ทั้ง สั้น พร้อมกันทีละสองถึงสามกระบอกพาเด็ก นร. เดินข้ามถนนไม่เห็นประชาชนว่าไม่ดีนะครับ คนเราตัดสินจากเจตนาและสิ่งที่กระทำครับ
บันทึกการเข้า
ANKIMBER
Sr. Member
****

คะแนน 60
ออฟไลน์

กระทู้: 592



« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 10:06:29 PM »

ถึงอย่างไรถ้ากลุ่มนี้ยังครองอำนาจอยู่ หมู่ชาวปืนอย่าได้ประมาท
บันทึกการเข้า
yutthakarn
Hero Member
*****

คะแนน 554
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2354


สิ่งที่คนต้องการ คือ โอกาส


« ตอบ #9 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 10:45:18 PM »

"อาวุธปืนไม่ได้เป็นอันตรายมากกว่าคนที่ใช้มัน" และเป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า ปืนที่ใช้ก่ออาชญากรรมหรือกระทำความผิด ส่วนใหญ่เป็นปืนเถื่อน เพราะฉะนั้น กำจัดปืนเถื่อนให้ได้ แล้วอาชญากรรมจากปืนจะลดลงเยอะครับ แต่การปราบปืนเถื่อน ยากครับ สู้มายึดปืนมีทะเบียนจากพลเมืองดีที่ได้รับอนุญาตไม่ได้ เพราะยึดง่ายกว่า เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ทุกระบอก สุดท้ายก็เป็นการยึดปืนจากคนดี ทำให้ความสามารถในการป้องกันตัวของคนดีลดน้อยลงไปอีก ถ้าผู้บริหารบ้านเมืองคิดได้แค่นี้ บ้านเมืองเราจะปลอดภัยได้อย่างไร
บันทึกการเข้า
juicymanz
Full Member
***

คะแนน 26
ออฟไลน์

กระทู้: 211



« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 05, 2013, 12:19:46 AM »

"อาวุธปืนไม่ได้เป็นอันตรายมากกว่าคนที่ใช้มัน" และเป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า ปืนที่ใช้ก่ออาชญากรรมหรือกระทำความผิด ส่วนใหญ่เป็นปืนเถื่อน เพราะฉะนั้น กำจัดปืนเถื่อนให้ได้ แล้วอาชญากรรมจากปืนจะลดลงเยอะครับ แต่การปราบปืนเถื่อน ยากครับ สู้มายึดปืนมีทะเบียนจากพลเมืองดีที่ได้รับอนุญาตไม่ได้ เพราะยึดง่ายกว่า เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ทุกระบอก สุดท้ายก็เป็นการยึดปืนจากคนดี ทำให้ความสามารถในการป้องกันตัวของคนดีลดน้อยลงไปอีก ถ้าผู้บริหารบ้านเมืองคิดได้แค่นี้ บ้านเมืองเราจะปลอดภัยได้อย่างไร
+21 ครับอีกนานครับไทยเรา มัวแต่ทะเลาะกัน พัฒนาช้ามากกก
บันทึกการเข้า
sittichai19
Full Member
***

คะแนน 9
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 109



« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 05, 2013, 09:23:40 AM »

ก็ข้อมูลเดิมๆที่เคยมีการสนทนากันไปในหลายๆกระทู้ที่ผ่านมา แต่ที่แน่ๆ ใบ ป.12 ที่ปกติยากเย็นแสนเข็ญจนแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นอภิสิทธิ์ชนจริงๆ ทีนี้ก็จะมีการควบคุมใบ ป.4 กันตามมาอีก ตอนนี้ใครที่คิดพกพาอาวุธปืนติดตัว ติดรถ อย่าเสี่ยงดีกว่านะครับ ไม่คุ้มกัน เว้นสถานการณ์จำเป็นคับขันจริงๆ เพราะถูกจับได้ไม่คุ้ม
http://www.komchadluek.net/detail/20130104/148642/ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก.html

ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก
ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 4 ม.ค.2556

               สิบปีมาแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะจัดระเบียบสังคมไทยใหม่ ให้เป็นสังคมที่ปราศจากอาวุธปืน อันเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมที่นับวันมีแต่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข ปราศจากความรุนแรงใดๆ แต่จนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำโอ้อวดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยนั้น ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปได้เท่านั้น ตรงกันข้ามอาวุธปืนที่อยู่ในความครอบครองของประชาชนมีแต่มากขึ้นทวีคูณ ส่งผลให้สถิติอาชญากรรม รวมทั้งสถิติผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืน ขยับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

               จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ระบุว่า ขณะนี้มีผู้ถือครองใบอนุญาตปืนมากถึง 6.2 ล้านใบ สอดคล้องกับข้อมูลของสื่ออังกฤษที่ว่า ไทยเป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของปืนมากเป็นอันดับหนึ่งในย่านเอเชียอาคเนย์ ด้วยสัดส่วน 15 กระบอกต่อประชาชน 1,000 คน เพิ่มขึ้น 32% ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เว็บไซต์ว่าด้วยนโยบายการควบคุมอาวุธปืนของออสเตรเลีย ได้เปิดเผยผลการสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ประเทศไทยมีสถิติการก่ออาชญากรรมจากปืนมากที่สุดในเอเชีย หรือทุกๆ 1 แสนคนจะมีคนถูกฆ่าด้วยอาวุธปืนเฉลี่ยแล้ว 5.3 คน เทียบกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นแดนคนดุที่มีเพียง 0.2 คน

               จากสถิตินี้เอง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นดินแดนอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจถูกลูกหลงเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับนายสตีเฟน เดวิด แอชตัน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 23 ปี ที่ถูกลูกหลงเสียชีวิตจากเหตุดวลปืนบริเวณบาร์ ริมชายหาดริ้น ที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี นับเป็นชาวอังกฤษคนที่ 7 ที่เสียชีวิตจากอาวุธปืนนับตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้กระทรวงต่างประเทศอังกฤษต้องเตือนนักท่องเที่ยวตะวันตกให้ระวังอันตรายว่า อาจจะตกเป็นเหยื่อเหตุร้ายโดยไม่รู้ตัวระหว่างร่วมงานฟูลมูนปาร์ตี้

               สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองรีบแก้ตัวพัลวันว่า กว่า 99% ของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น คนร้ายใช้ปืนเถื่อนก่อเหตุ ขณะนี้ตำรวจได้เพิ่มมาตรการระวังป้องกันเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนอยู่แล้ว ด้านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้สั่งการให้โรงพักในพื้นที่นครบาลใช้ทุกมาตรการในการยึดอาวุธปืน ไม่ว่าจะด้วยการตั้งด่านบนถนนสายหลัก และสายรอง หรือให้มีการตรวจค้นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะการตรวจค้นกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุร้ายได้ตลอดเวลา

               จากบทเรียนที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่า การควบคุมอาวุธปืนนั้นแค่ช่วยบรรเทาความรุนแรงได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สิ้นซากได้ เพราะความผิดไม่ได้อยู่ที่ปืน แต่อยู่ที่ผู้ครอบครองปืนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ใช่แค่การลูบหน้าปะจมูกเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น

ปัญหามีคำตอบในตัวเองแล้วนี่ครับ ก็ไปกวาดล้างปืนเถื่อนสิครับ
ครับผมก็ขอสนับสหนุนอีกคนครับ กวาดล้างปืนเถือนสิครับ แต่รัฐบาลนี้ชอบทำอะไรที่ง่ายๆไว้ก่อนอะไรที่ยากๆจะทำแค่ให้ประชาชนเห็นแค่ว่าลงมือทำแล้วน่ะพร้อมกับบ่นให้เห็นว่ามีอุปสรรคมากมาย แต่พอเป็นผลงานเข้าหน่อยจะออกมาโอ้อวดทันทีนี้และรัฐบาลยุคนี้ ยุคที่คนดีถูกริบรอนสิทธิ์
บันทึกการเข้า
MJTactical
Long Live the King
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 318
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4838


SLOW IS SMOOTH , SMOOTH IS FAST


« ตอบ #12 เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 06:24:44 AM »

ยึดปืนถูกฏหมายเท่ากับ ตัดมือตัดตีนประชาชน ให้โจรมันปาดคอเอาง่ายๆ

เพราะปืนโจร มันไม่ได้มีทะเบียน ไอ้คนที่เป็นต้นคิดเรื่องยึดปืนประชาชนที่มีปืนถูกฏหมาย

นี่คงไม่ได้กินข้าวหลอกครับ มันคงกินหญ้าแทนข้าว เพราะแม่งโง่ยึ่งกว่าควายอีก
บันทึกการเข้า

AMATEURS TRAIN UNTIL THEY GET IT RIGHT. PROFESSIONALS TRAIN UNTIL THEY GET IT WRONG



LEAVES NO MAN BEHIND
visith
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 474
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9438



« ตอบ #13 เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 04:36:57 PM »

...เป็ดเหลิม..มามาดใหม่...

http://www.komchadluek.net/detail/20130106/148803/%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2!%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B7%E0%B8%99.html

'เฉลิม'ผุดไอเดีย!รัฐซื้อคืน'ปืน'
'เฉลิม' สั่งเข้มตรวจพกอาวุธเข้าสถานที่ท่องเที่ยว ผุดไอเดีย รัฐขอซื้อปืนคืน โยนรบ.ชุดก่อน เซ็นอนุมัติปืนอื้อ นัดพบ 'จุฬาราชมนตรี - ทูตมาเลเซีย' ก่อนเยือนมาเลย์

                          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 56  ที่โรงแรมเดอะกรีนเนอร์รี่ รีสอร์ท แอนด์สปา เขาใหญ่  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเสียชีวิตจากการถูกกระสุนปืนลูกหลงในงานปาร์ตี้บนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งล่าสุด เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยได้เดินทางลงพื้นที่เกาะพะงัน เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี ว่า ได้มีการกำชับทางเจ้าหน้าที่เร่งรัดเรื่องคดีความ หลังจากที่จับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว ทราบว่าเป็นการทำร้ายกันเองระหว่างคนไทยและไปถูกนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ซึ่งก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ที่ผ่านมาตนพยายามแก้ไขความเข้มงวดในการพกพาอาวุธ ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็จนใจจริงๆ ที่จะทำให้หมดไปเลย ทั้งนี้ตนเห็นด้วยว่าจะให้พื้นที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะเกาะ ต้องเป็นพื้นที่ปลอดอาวุธ เพราะเมื่อมีเรื่องแล้วจะกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยวที่เราตั้งเป้าว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะต้องได้ 2 ล้านล้านบาท

                          ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ต้องมีการตรวจสอบคนเข้าออกพื้นที่อย่างเข้มงวด ส่วนเรื่องอาวุธปืน ตนมีแนวคิดให้รัฐรับซื้อคืน ทั้งนี้เป็นปัญหาเนื่องจากรัฐบาลชุดที่แล้วเซ็นอนุมัติอาวุธปืนมากมาย ต่างจากสมัยที่ตนเป็น รมว.มหาดไทย ที่ไม่มีการอนุมัติแม้แต่กระบอกเดียว เพราะตนเชื่อว่าหากไม่มีอาวุธก็จะไม่เกิดปัญหา อย่างวันนี้มีการไปแจ้งหาย แต่กลับนำไปลักลอบขายต่อ

                          เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลนักท่องเที่ยวหย่อนยานเกินไปหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตำรวจทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ทั้งตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธร รวมไปถึงตำรวจในส่วนกลางที่ลงไปช่วยดูแลด้วย ตนได้เน้นย้ำมาตลอด โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ ซึ่งสถานการณ์ดีมาระยะหนึ่ง แต่กลับมาเกิดในช่วงนี้ 2-3 เหตุการณ์

บันทึกการเข้า



"ร่วมส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิการใช้อาวุธปืนของประชาชน"
pimuk
Hero Member
*****

คะแนน 82
ออฟไลน์

กระทู้: 2886


« ตอบ #14 เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 05:32:41 PM »

แล้วผมจะเอาอะไรดูแลบ้านละครับ ไอ้ปื้ดก็หนีไปแล้ว ไม่กลับตัวกลับใจมาทำมาหากินเป็น รปภ. ให้คนดีๆ เขาหน่อย
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.223 วินาที กับ 21 คำสั่ง