ศิลปวัฒนธรรม 1 ส.ค.47
อรวรรณ ทับสกุล
สัญลักษณ์ประการหนึ่งของกระทรวงกลาโหม
คือ หมู่ปืนใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่บริเวณด้านหน้าของกระทรวง
ปืนใหญ่เหล่านี้ล้วนมีประวัติความเป็นมาที่น่าศึกษา
เพราะนอกจากจะเคยใช้เป็นอาวุธประจำกองทัพมาแต่โบราณแล้ว
รายละเอียดเกี่ยวกับการสร้าง การใช้ในราชการ
ตลอดจนลวดลายประจำปืนแต่ละกระบอก จัดว่าเป็นประติมากรรมที่มีความสวยงามยิ่ง
ปืนพญาตานีเป็นหนึ่งในหมู่ปืนดังกล่าว ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ
เมื่อมีการพูดถึงปืนใหญ่แล้ว มักจะพูดถึงปืนพญาตานีเสมอ
ปืนกระบอกนี้จัดอยู่ในประเภทปืนทองซึ่งเป็นปืนที่มีค่ามากกว่าปืนเหล็ก
ซึ่งปืนพญาตานีหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีห่วงใหญ่สำหรับจับยก ๔ ห่วง
ตอนท้ายลำกล้องมีเครื่องประกอบยาวยื่นออกไป ทำเป็นรูปสังข์หรือเขางอน
ที่เพลามีรูปราชสีห์สลักงดงาม เกลี้ยงไม่มีลวดลายประดับ
ใหญ่และยาวที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ที่ตั้งไว้หน้ากระทรวงกลาโหม
กระบอกปืนจารึกว่า "พญาตานี" ดินบรรจุหนัก ๑๕ ชั่ง
ตามหลักฐานเก่าแก่ ลำกล้องกว้าง ๑๑ นิ้ว ยาว ๓ วาศอกคืบ ๒ นิ้วกึ่ง กระสุน ๑๑ นิ้ว
ที่สำรวจใหม่วัดเส้นผ่าศูนย์กลางปากลำกล้องได้ ๒๔ เซนติเมตร ยาวตลอด ๖.๘๒ เมตร
ขอบปากลำกล้องหนา ๑๐ เซนติเมตร
ปืนพญาตานีนี้มีอายุประมาณ ๔๐๐ ปี หล่อขึ้นที่จังหวัดปัตตานี
นับเป็นมรดกล้ำค่าคู่บ้านคู่เมืองของชาวปัตตานีมาแต่สมัยโบราณ
(โดยปัจจุบันกำหนดเป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดปัตตานี)
กล่าวเช่นนี้แล้วหลายคนคงสงสัยว่า แล้วมาอยู่ตรงหน้ากระทรวงกลาโหมได้อย่างไร
เนื่องมาจากปี พ.ศ. ๒๓๒๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้า
เป็นแม่ทัพเสด็จยกทัพไปปราบศึกพม่าซึ่งยกมาตีหัวเมืองภาคใต้ของไทย
ครั้นทรงชนะศึกแล้ว ได้ทรงปราบปรามหัวเมืองภาคใต้
ซึ่งมักกระด้างกระเดื่องคอยเอาใจออกห่างจากไทยไปเป็นอื่น
จึงโปรดให้ยกทัพไปปราบปรามจนมีชัยชนะ
ได้ปืนใหญ่จากเมืองปัตตานีกลับมาถวายสมเด็จพระเชษฐาธิราช
โปรดเกล้าฯ ให้จารึกนามว่า "พญาตานี"
ประวัติความเป็นมาของปืน มีผู้เขียนไว้หลายฉบับ อาทิ หนังสือสยาเราะห์เมืองตานี
ของนายหะยีหวันหะซัน
กล่าวว่าปืนพญาตานีหล่อในสมัยรายาอินทิราเจ้าเมืองปัตตานี
เหตุที่หล่อขึ้นเนื่องจากมีพ่อค้าชาวจีนได้นำปืนและกระสุนปืนมาถวาย
ทำให้เจ้าเมืองเกิดความละอายที่ไม่มีอาวุธปืนไว้สำหรับป้องกันบ้านเมืองเลย หลังจากนั้น
จึงเรียกมุขมนตรีให้จัดหาช่างและทองเหลืองมาหล่อปืนให้ได้ภายในระยะเวลา ๓ ปี
เมื่อได้ทองเหลืองพอที่จะหล่อปืนแล้ว
รายาอินทิราได้ให้นายช่างชาวโรมันชื่ออับดุลซามัคมาหล่อปืน
เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนรอมดอน ปีชวดนักษัตร์ ฮิจยาเราะห์ ๗๘
(ตัวเลขในต้นฉบับชำรุด) ได้ปืนใหญ่รวม ๓ กระบอก คือ สีรีนัครี โต๊ะโบะ และนางเลียว
ส่วนหนังสือประชุมพงศาวดารภาค ๓ พงศาวดารเมืองตานี
เรียบเรียงโดยพระยาวิเชียรคิรี (ชม ณ สงขลา)
เป็นผู้เรียบเรียงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กล่าวว่า
นางพญาปัตตานี ได้สั่งให้หล่อปืนทองเหลืองขึ้นมา ๓ กระบอก
ช่างผู้หล่อปืนเป็นชาวจีน แซ่หลิม ชื่อเคี่ยม
มีภรรยาเป็นชาวปัตตานีจึงเข้ารีตนับถือศาสนาอิสลาม ชาวเมืองจึงเรียกว่าหลิมโต๊ะเคี่ยม
ตามพงศาวดารเล่าว่า การหล่อปืน ๒ กระบอกแรกผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ปืนกระบอกที่ ๓ เมื่อเร่งไฟสุมทองเหลืองแล้วกลับเทไม่ลงเบ้า
หลิมโต๊ะเคี่ยมจึงตั้งพิธีบวงสรวงเทพยดาขอเอาร่างตนเป็นเครื่องเซ่นสังเวย
ในที่สุดหลิมโต๊ะเคี่ยมก็เททองเหลืองหล่อปืนใหญ่ได้สำเร็จ
จึงอุทิศชีวิตของตนด้วยการเข้าไปยืนตรงปากกระบอกปืนดังกล่าวแล้ว สั่งให้คนยิง
แรงระเบิดหอบเอาร่างหลิมโต๊ะเคี่ยมสูญหายไป
ส่วนหนังสือสยาเราะห์กรียาอันมลายูปัตตานี ซึ่งนายอิบรอฮิม ชุกรี ชาวกลันตัน
เป็นผู้เขียน ความว่า รายาบีรู หรือนางพญาบีรูเจ้าเมืองปัตตานีได้ปรึกษากับเสนาบดีผู้ใหญ่
เพื่อหาอาวุธไว้สำหรับปกป้องบ้านเมือง ในที่สุดรายาบีรูเห็นว่าควรหล่อปืน
เพราะปืนที่เคยซื้อจากชาวยุโรปได้ย้ายสถานีการค้าออกไปจากปัตตานีทำให้หาซื้ออาวุธปืนใหญ่ได้ยาก
จากนั้นมีนายช่างหล่อปืนเป็นชาวจีนชื่อหลิมโต๊ะเคี่ยมรับอาสาหล่อปืนใหญ่
ข้อมูลจากทุกตำราไม่ได้ระบุว่า ปืนพญาตานีหล่อขึ้นในปีใดแน่
แต่หากดูจากทั้งสามตำราแล้ว
ช่วงเวลาในการหล่อปืนพญาตานีนั้นน่าจะอยู่ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๔๓-๒๑๖๗
นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่า สถานที่ที่หล่อปืนใหญ่พญาตานี
น่าจะอยู่บริเวณบ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
ซึ่งห่างจากตัวจังหวัดไปตามถนนสายปัตตานี-นราธิวาส ประมาณ ๘ กิโลเมตร
(อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลจากบริเวณมัสยิดกรือเซะ)
เพราะบริเวณดังกล่าวยังปรากฏเป็นบริเวณที่เตียนโล่งเป็นเนินสี่เหลี่ยม
กว้างยาวประมาณ ๔ เมตร ไม่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นบนนั้น
เพราะดินบริเวณนั้นถูกเผาสุกกลายเป็นอิฐไปหมด
และจะมีกร่อนตะกอนของเหล็กอยู่มาก รวมทั้งมีดินดำ ซึ่งมีลักษณะบ่งถึงลานกว้างที่หล่อปืนใหญ่
ด้วยปืนพญาตานีนับว่าเป็นเอกลักษณ์ของ "ปาตานีดารุสลาม"
(เช่นเดียวกับกริชนับเป็นเอกลักษณ์ของอาณาจักรลังกาสุกะ)
แต่ปืนใหญ่ถูกนำสู่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๘ นับมาถึงวันนี้เป็นเวลากว่า ๒๐๐ ปี
ดังนั้นจึงเกิดการรวมตัวกันของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดปัตตานี
เพื่อเรียกร้องขอปืนพญาตานีกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิด
ภายใต้การนำของ ส.ส. พ.ต.เจ๊ะอิสมาแอ เจ๊ะมง ร่วมกับ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์
เริ่มดำเนินเรื่องขอปืนคืนกลับมายังปัตตานี มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
ความเป็นจริงในสมัยหนึ่งเคยมีนโยบายจากรัฐบาลนำของมีค่าต่าง ๆ คืนถิ่น
แต่นโยบายนี้ก็เงียบหายไป
จากการสัมภาษณ์นายอิสมาอีล เบญจสมิทธิ์ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๗
หนึ่งในผู้เข้าร่วมการดำเนินเรื่องขอคืนพญาตานี
อุสต๊ะอิสมาอีล เล่าให้ฟังว่า
คนปัตตานีอยากได้ปืนพญาตานีของจริงคืนมายังปัตตานี
แต่ด้วยปืนพญาตานีขณะนี้เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
หากมีการเคลื่อนย้ายปืนพญาตานีกลับไปอาจจะเป็นการผิดพระราชประสงค์ได้
เดือนตุลาคม ๒๕๔๕ คณะผู้ดำเนินเรื่อง
จึงประชุมหารือยื่นข้อเสนอขอพระบรมราชานุญาตหล่อจำลองปืนพญาตานีแทน
(แม้ว่าสำนึกของประชาชนชาวปัตตานีก็ยังอยากได้ปืนพญาตานีของจริงคืนมา)
กระทั่งเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตให้จำลองปืนใหญ่ได้
แต่ปัญหาในเรื่องปืนพญาตานีก็ยังไม่จบแค่ตรงนี้
จากการสัมภาษณ์ความรู้สึกของชาวปัตตานีคนหนึ่ง
ได้ให้ความเห็นตรงกันว่าอยากให้ปืนใหญ่พญาตานี
ที่ตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหมกลับมายังปัตตานี
แต่เมื่อไม่สามารถนำปืนใหญ่กลับมาได้ก็อยากให้หล่อปืนที่ปัตตานี
ด้วยอยากมีส่วนร่วมในการจำลองปืนนี้
ชาวบ้านคนอื่นต้องการที่จะนำทองเหลืองมาช่วยในการหลอมปืนใหญ่จำลองเหมือนครั้งในอดีต
แต่ไม่สามารถทำได้ ด้วย "ทางการ" บอกว่าหากนำปืนใหญ่มาหลอมที่ปัตตานี
จะต้องลงทุนสูงมากซึ่ง "ทางการ" ไม่มีงบประมาณในส่วนนี้
ชาวปัตตานีต้องการให้หล่อปืนจำลองที่ปัตตานีด้วยเหตุผล ๒ ประการ
คือถ้าหากหล่อปืนที่กรุงเทพฯ อาจมีการประกอบพิธีกรรมบางอย่างที่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม
ประการที่ ๒ คือชาวปัตตานีอยากมีส่วนร่วมในการหล่อปืน
และยังคงมีปัญหาว่าเมื่อนำปืนกลับมาแล้วจะไปวางไว้ที่ไหน
จากการประชุมครั้งแรกมีสถานที่ ๓ แห่งที่ได้รับการเสนอเข้าที่ประชุม
คือบริเวณใกล้มัสยิดกรือเซะ สถานที่หล่อปืนในอดีต
และที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ในส่วนของเจ้าหน้าที่สำนักงานจังหวัดซึ่งเป็นผู้ดำเนินการจัดประชุมความคืบหน้าแต่ละครั้ง
ได้เล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าโดยสังเขปว่า
ขณะนี้ทางจังหวัดกำลังระดมทุนและจัดทำคำสั่งต่าง ๆ เพื่อหล่อปืนใหญ่จำลอง
การประชุมครั้งหลังสุดเมื่อต้นปีนี้ (ปี ๒๕๔๗) ได้ข้อสรุป ๓ เรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ
หนึ่ง ไม่ตั้งปืนใหญ่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เรื่องที่ ๒ คือการหล่อปืนจะทำที่กรุงเทพฯ
และเรื่องที่สาม ปืนที่จะนำมาตั้งที่ปัตตานีคือปืนใหญ่ที่จำลอง
เพราะปัญหาที่สำคัญ คือไม่มีงบประมาณในการจัดสถานที่ตั้งปืนใหญ่
ซึ่งทางคณะทำงานอาจขอรับบริจาคจากประชาชนในจังหวัดปัตตานีและพื้นที่ใกล้เคียง
--------------------------------------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
๑.
http://www.defence.thaigov.net/inform/phyatani.htm๒.
http://www.geocities.com/tani94pao/historypattani.htm๓. อนันต์ วัฒนานิกร. ปืนพญาตานี. สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม ๑๐. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒, หน้า ๔๖๐๒-๔๖๐๓.
๔.
http://www.geocities.com/ismaal_us/relegion.htmเรื่องนี้มีความเป็นมา...ตั้งแต่ครั้งสมัยก่อนตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ครับ
จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น...