อ่ะ....สะดุดบางประเด็นครับ
คนพวกศิลปิน พวกนี้แต่ไหนแต่ไร พวกนี้ประพันธ์,ร้องรำ,ทำเพลง จิตใจเขาอยู่กับงานเหล่านั้น
(คนเคยหัดวาดรูปจะรู้ นั่งวาดเป็นเดือนเป็นปี ไม่บ้าศิลปะทำไม่ได้)
สมัยโบราณ คนพวกนี้ไม่ได้มีอะไรเลย ใจล้วนๆ คนพวกนี้ไม่มีธุรกิจในใจ
เพิ่งจะมีในยุค10-20กว่าปีมานี้เองมั้งครับ ที่มีระบบธุรกิจเข้ามาจัดการ
ให้ มีค่าย ทำเงินได้(นายห้างต่างๆที่รวย) สมัยก่อนนายห้างรวย
นักร้องก็แค่ได้ค่าร้อง เล่นละคร เล่นหนังได้เรื่องๆม่กี่พัน
ไม่รู้ว่าเค้าเอาไปทำเงินต่อยังไง เราจึงเห็นนักร้อง,ดารา,นักแสดงสมัยก่อนจนๆกันทั้งนั้น
วงการมาพลิกอีกทีไม่ถึง10ปีนี้เองมั้ง ที่คนบันเทิงทำเงินได้มาก
ทำธุรกิจเป็น ดารา,นักร้องเป็นอาชีพที่ทำเงินสูงไปได้
ดาราก็ผันตัวมาทำรายการเอง รวยไปหลายคน
สมัยนี้ ดารา,นักร้องเข้าวงการ1-2ปีรวยเป็นหลายสิบล้าน
ประสพความสำเร็จมากๆ บางคนรวยเป็นร้อยล้านตั้งแต่อายุยังไม่ถึง30
ผมเข้าใจว่าคนรุ่น10-30ปีก่อน นักร้อง,ดารา ไม่มีการศึกษา ไม่รู้เท่าทัน ไม่เคยทำธุรกิจ
ท่านเหล่านั้นเลยเจ๊งเป็นแถบๆ คิดว่านายห้างทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้
อันนี้พูดรวมๆนะครับ
แม้แต่ทุกวันนี้ยังมีศิลปินมากมาย ที่ฝึกฝน อดมื้อ กินมื้อ
ส่งงาน ส่งเดโม ให้ค่ายเพลงนับพันนับหมื่นคน
บางคนไม่เข้าใจใจว่าคนพวกนี้คิดอะไร ไม่ไปทำอย่างอื่น จะมีอนาคตกว่า
แต่คนเรามันฝังในใจแล้ว เขาก็จะพยามเดินไปชั่วชีวิต ทั้งๆที่ลำบาก
แต่น้อยคนที่จะประสพความสำเร็จ
ถ้าโลกนี้ขาดซึ่งศิลปิน งานศิลปะ การแสดง โลกคงไม่น่าอยู่ครับ
คนเราไม่ได้แค่ทำงานหาเงิน กิน นอน
คนเราทุกคนต้องการความบันเทิงต่างๆแม้แต่วัดยังต้องจัดงานวัด 
พวกศิลปินที่เขาไม่ประสพความสำเร็จในชีวิต ผมมองว่าเพราะเขาซื่อเกินไป
เขาดำรงชีวิตตามอุดมคติ ซึ่งเขาก็ไม่ผิด ศิลปะมันบริสุทธิ์ มันต้องใช้ใจ ใช้จิตวิญญาณทำ
แต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า เราเสพงานของคนพวกนี้ หล่อเลี้ยงให้เรามีความสุข ดีใจ เสียใจ เราฟังเพลงทุกวัน
โดยที่บางทีเราไม่รู้ว่าใครแต่ง ใครร้องด้วยซ้ำไป เราเอาแต่เสพ ง่ายดี สมัียนี้ คนแต่งเพลงเลยแทบอดตาย 
ผมเลยไม่แอนตี้ศิลปินคนไหนเลย น่าสงสารซะด้วยซ้ำ
ถ้าเราไม่มีละคร ไม่มีหนัง ไม่มีเพลงฟัง โหย....ชีวิตคงน่าเบื่อน่าดู
Ha Ha Ha ฮา "ฮั่นแน่" น้าเบิ้ม อ่ะ ฮา
พี่เป้า หรือน้าเป้า เนี่ยะ ยายเกิดแล้วโตทันรุ่นกันอ่ะ ฮา
ราวปี 2510 กว่าๆ ตอนนั้นเป็นยุค "แผ่นเสียง" สีดำ สีแดง อ่ะ ฮา
จะได้ฟังเพลงครั้งนึง นอกจากวิทยุ เอเอ็ม เอฟเอ็ม ก็มีไม่กี่สถานี อ่ะ ฮา
ยุคนั้นเป็นยุค "ตู้เพลง" หยอดเหรียญ แค่บาทเดียว อ่ะ ฮา
ยุคนั้นมีตู้ม้า "หมวกเขียว หมวกแดง" มีเลข หนึ่ง ถึงเจ็ดแค่นั้นอ่ะ ฮา
เวลาเล่น ก็ใช้วิธี ดึงก้านสปริง ดีดลูกเหล็กให้ลงหลุม ตามเบอร์ อ่ะ ฮา
กลับมาเรื่องเพลง พี่เป้าเขาดัง ดังระดับมาก ยืนหัวแถวเลยอ่ะ ฮา
ค่าวง ค่าตัว เปิดวิกแสดงงานวัดคืนนึง เป็น "แสน" อ่ะ ฮา
ตอนนั้น ราคาทอง ไม่กี่ร้อย เอ็งอ่ะ ฮา
ตอนดังๆ แกรุ่งเรืองมาก แล้วติดจะหยิ่ง หน่อยๆ อ่ะ ฮา
เรื่อง "ศิลปิน" ตกอับตอนวาระสุดท้ายของชีวิต ยายเฉยๆอ่ะ
ไม่ได้ "ซ้ำเติม" หรือ สมน้ำหน้าอะไรเขาหรอก อ่ะ ฮา
เพราะ มนุษย์ เกิดมา แล้วตาย เป็นไปตามกรรม อ่ะ ฮา
ที่ยายสงสาร และ น่าจะสงสาร มากที่สุด คือ ฮา
"ลุง" ขอทาน วัดไร่ขิง อาชีพแกต้องแบมือขอสตางค์ชาวบ้าน เลี้ยงชีพ ฮาา
55555 ดั้น เอาเงินไปให้ อีก ตั้ง "แสน" อ่ะ ฮา
