เศรษฐกิจพอเพียง! เป็นนโยบายที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
แม้หลายฝ่ายจะเห็นด้วย...แต่ก็มีอีกหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่
ไม่กล้าประกาศตัวออกคัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะในใจลึกๆ ของคนหลายฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่เสพติดเศรษฐกิจทุนนิยมตามแนว ลัทธิทักษิโณมิกส์ มองว่า เศรษฐกิจแบบพอเพียงไม่น่าจะทำให้คนไทยรวยขึ้นความพอเพียง ก็คือ ความพอเพียง
ไม่มีวี่แววอะไรเลยที่บอกได้ว่า จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศได้เติบโตอย่างฟู่ฟ่า มีเงินสะพัดไหลไปไหลมา ให้ผู้คนได้มีได้กินได้ใช้อย่างเต็มที่
อย่างดีของความพอเพียงก็จะคงแค่ไม่มีหนี้...เรื่องช่วยให้คนไทยร่ำรวยขึ้นคงไม่มีให้เห็น
แต่ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลับมองว่าถ้าต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง เศรษฐกิจแบบพอเพียงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรีบนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศเศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ใช่การทำให้ชีวิตคนมีความเป็นอยู่แบบพอมี
พอกิน เศรษฐกิจแบบนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้อธิบายมาแล้วว่า เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ ที่ฝรั่งเรียกว่า Subsistence Economics
ส่วนเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้น ใช้คำว่า Sufficiency Economics ความพอเพียง มีความหมายยิ่งใหญ่กว่าพอมีพอกิน
ความพอเพียง ไม่ได้หมายความว่า รวยไม่ได้
รวยได้ แต่เป็นการรวยแบบสมเหตุสมผล รวยด้วยความสามารถ ด้วยศักยภาพของตัวเอง ยืนบนขาตัวเอง
ไม่ใช่รวยแบบยืมจมูกคนอื่นหายใจ?
ที่ผ่านมาการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างสวยหรู ล้วนเป็นความร่ำรวยแบบภาพลวงตา ประเทศชาติไม่ได้ร่ำรวยจริงเพราะตัวเลขสวยหรูที่ทำให้ดูเหมือนประเทศชาติร่ำรวยขึ้นนั้น ผลปรากฏว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังยากจนอยู่ คนที่รวยจริงๆ มีไม่กี่คน และในคนที่ร่ำรวยนั้นก็ไม่ใช่คนไทยทั้งหมด คนต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยต่างหากคนไทยได้แค่เพียงเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่ต่างชาติเจือจานให้ในฐานะเป็นลูกจ้าง พนักงาน...เงินกำไรก้อนมหาศาลขนกลับประเทศบริษัทแม่
ดร.สมภพ ยกตัวอย่าง ความร่ำรวยแบบภาพลวงตา...นโยบายเศรษฐกิจผลักดันให้ประเทศไทยเป็นนิกส์ เป็นชาติอุตสาหกรรมใหม่ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ของเอเชีย...ดีทรอยต์แห่งเอเชียนโยบายนี้ ชี้ให้เห็นชัดถึงความไม่พอเพียง
จะผลิตรถยนต์ เรามีทรัพยากรอย่างแร่เหล็กหรือไม่ มีเทคโนโลยีหรือไม่ และคนมีความรู้ความสามารถพอหรือไม่ทุกอย่างเราแทบจะไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย เหล็กที่นำมาทำรถยนต์
ก็ต้องสั่งมาจากต่างประเทศ เทคโนโลยีความรู้ก็ต้องนำเข้ามาจากญี่ปุ่น สิ่งที่เรามีอยู่ก็แค่แรงงานเท่านั้นฉะนั้น การผลักดันให้เราเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย ประเทศชาติได้อะไร...ได้แค่ช่วยให้คนไทยมีงานทำ เป็นลูกจ้างญี่ปุ่นกำไรรายได้อย่างอื่น เป็นของต่างชาติหนำซ้ำประเทศไทยไม่มีบ่อน้ำมันเป็นของตัวเอง น้ำมันแทบทุกหยดต้องซื้อจากต่างประเทศ ผลิตรถยนต์ขึ้นมา เพื่อให้เป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย ต้องกระตุ้นตลาดในประเทศให้คนไทยใช้รถยนต์มากขึ้น... ประเทศชาติต้องเสียเงินไปซื้อน้ำมันจากต่างชาติอีกการพัฒนาเศรษฐกิจแบบนี้ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบสร้างภาพลวงตาว่าเรารวย เจริญทันสมัย แต่จริงๆแล้วต่างชาติต่างหากที่ได้ประโยชน์
ถ้าจะให้คนไทยได้ประโยชน์จริง นโยบายเศรษฐกิจต้องเป็นแบบพอเพียงนั่นก็คือ เราต้องสร้างความร่ำรวยแบบสมเหตุสมผล เรารวย เศรษฐกิจเติบโตได้เพราะเราสามารถผลิตสินค้าได้เองจริงทั้งระบบ ไม่ใช่แค่คนรับจ้างประกอบสินค้า
เศรษฐกิจพอเพียงในความหมายของ ดร.สมภพ นั่นก็คือ ถ้าเราอยากจะร่ำรวยอย่างแท้จริง ต้องหันมาสำรวจความพอเพียงของประเทศก่อนว่า...ประเทศเรามีอะไรบ้าง ที่เพียงพอเป็นของตัวเองสิ่งที่เรามี...ความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตร ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก ในทวีปเอเชียไม่มีใครสู้เราได้ในเรื่องนี้เพราะเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสุทธิ หรือส่งออกอาหารมากกว่านำเข้าได้ทุกปี ในเอเชียไม่มีประเทศไหนทำได้ จีนที่ว่ายิ่งใหญ่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะต้องนำเข้าอาหารมากกว่าส่งออก
ญี่ปุ่นก็ยังต้องนำเข้าอาหารถึง 60% พึ่งพาอาหารที่ผลิตในประเทศได้แค่ 40% นี่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย คนไทยผลิตอาหารได้เก่ง มีทรัพยากรวัตถุดิบ มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องยืมจมูกต่างชาติมาหายใจ ทุกอย่างที่ค้าขายได้ เงินก็ตกอยู่กับคนไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
สรุปแล้วเศรษฐกิจแบบพอเพียง...ก็คือ ก่อนจะทำอะไร ต้องการรู้จักประเมินความพอเพียงของตัวเองก่อนว่า มีความพร้อม ความสามารถตรงไหน และพัฒนาเศรษฐกิจไปตามศักยภาพความเป็นจริงที่ตัวเองมีอยู่
ไม่ใช่คิดฝันพัฒนาเศรษฐกิจ ให้ประเทศชาติร่ำรวยแบบ...เห็นช้างขี้ อยากจะขี้ตามช้าง
เห็นญี่ปุ่นรวยเพราะขายรถ ก็อยากจะทำขายกับเขาบ้าง
เห็นฝรั่งเพราะค้าหุ้น ค้าเงินแล้วรวย ก็อยากจะพัฒนาตลาดหุ้น ตลาดเงินให้เหมือนเขา
ทำไปเพราะความอยาก โดยไม่สำรวจตัวเองให้ดีว่า เรามีทรัพยากร มีความรู้ความสามารถเหมือนเขาหรือเปล่า
การบริหารเศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ใช่เป็นการกำหนดทิศเศรษฐกิจที่จะไปขัดขวางไม่ให้ธุรกิจของเอกชนเติบโต เอกชนจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเอกชน
แต่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยภาครัฐ รัฐบาลควรจะกำหนดทิศทางให้ชัดเจน การลงทุนอะไรที่ไม่สอดคล้องความพอเพียงที่เป็นจริงของประเทศ รัฐบาลต้องไม่ไปสนับสนุนอุดหนุน หรือให้สิทธิเป็นกรณีพิเศษเหมือนที่ผ่านมา เพราะจะเป็นการลากให้ประเทศไทยต้องพึ่งจมูกต่างชาติหายใจ
ดร.สมภพ ตั้งข้อสังเกต ผลของการบริหารเศรษฐกิจแบบไม่รู้จักความพอเพียงของตัวเอง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะมีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลกมาก
น้ำมันแพงเราก็มีปัญหา...ตลาดหุ้นในต่างประเทศวูบ เศรษฐกิจไทยวูบตาม...อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศไม่คงที่ เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ...เงินทุนไหลเข้าไหลออก เศรษฐกิจไทยเอียง
ประเทศเรามีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเป็นพื้นฐาน สามารถยืนอยู่บนขาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร ประเทศไทยมีเนื้อที่ 321 ล้านไร่ ประชากร 62 ล้านคน หารเฉลี่ยแล้ว คนไทยมีที่ดิน 5 ไร่ต่อคน
ที่ดินขนาดนี้ เพียงพอต่อการสร้างปัจจัย 4 ให้คน 1 คนได้สบายมาก ต่อให้ปิดประเทศไม่ต้องค้าขายอะไรกับใคร เราก็ยังมีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือ เราพึ่งตัวเองได้ แต่พอเศรษฐกิจโลกมีปัญหาทำไมเราต้องป่วยตาม
สาเหตุนั่นก็มาจาก ที่ผ่านมาการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ เป็นไปในทิศทางทำให้เรายืมจมูกคนอื่นหายใจ พึ่งพาต่างชาติตามกระแสโลกาภิวัตน์มากเกินไป
ทั้งที่มีพอเพียง แต่อยากรวยแบบไม่ดูตัวเอง ประเทศชาติเลยรวยแบบสามล้อถูกหวย...รวยไม่นาน ไม่จีรังยั่งยืน. เรานำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ รวมทั้งน้ำมันปีละ กว่าล้านล้านบาท แค่น้ำมันอย่างเดียวก็วันละ 800000 บาเรล ตกปีละ แปดแสนล้านบาท แต่เราส่งออกรถได้ปีล่าสุดก็แสนสองแสนล้านเอง คุ้มไม่คุ้มกับแนวทางนี้ก็คงต้องหยุดคิดกันบ้างแล้ว กับนโยบายรวยกระจุก จนกระจายเต็มประเทศครับ
http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=22572