
ขอตอบแบบคนยังไม่ค่อยรู้นะก่อนนะครับ................ความไวแสงทำให้ภาพสว่างหรือมืด............ความเร้วชัตเตอร์ทำให้ภาพที่กำลังเคลื่อนไหวดูเหมือนภาพหยุดนิ่ง......ผิดก็ขออภัยครับ

...........เพิ่งซื้อกล้องมาเหมือนกัน

เอาแบบฟังๆมาน๊ะครับ ความไวแสง (ของฟีล์ม หรือ CCD ของกล้องดิจิตอล) ภาพรวมง่ายๆ คือความไวแสงของกล้อง ไม่ได้ทำให้ภาพสว่างหรือมืดน๊ะครับ ภาพสว่างหรือมืด จะขึ้นอยู่กับรูรับแสง(ขอโทษครูน้องโด่งด้วยน๊ะจ๊ะ ไม่ได้ตั้งใจจะคัด หรือเบรคอะไรทั้งสิ้น) แต่การตั้งค่าความไวแสงกล้อง เพื่อให้กล้องสามารถรับแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพคล้ายๆนี้ ซึ่งก็จะสัมพันธ์ กับการตั้งรูรับแสงกว้างแคบมากน้อยแค่ใหน และเกี่ยวพันด้วยกับการตั้งความเร็ว ชัตเตอร์ ถ้าสองสามอย่างนี้ สามัคคีกันดี ภาพที่บันทึกมา ก็จะได้แสงเงาที่มีความสวยงาม ส่วนมากแล้ว ค่าความไวแสง จะมีประโยชน์กับการถ่ายรูปในที่มีแสงน้อย ภาพกลางคืน ส่วนความเร็วชัดเตอร์ เข้าใจถูกต้องแล้วครับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขอให้ กูรูช่วยเสริม และแก้ไขข้อผิดพลาดของผมด้วยครับ
อีกนิด(แถม) สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องความเร็วชัดเตอร์ ทดลองได้ง่ายครับกับกล้องดิจิตอล เพราะไม่เปลืองฟีล์ม คือตั้งโหมด M แล้วตั้งความเร็วชัดเตอร์เป็นระยะๆ ตามที่กล้องสามารถตั้งได้แล้วถ่ายภาพตำแหน่งเดียวกัน ทุกระยะความเร็วชัตเตอร์ แล้วนำมาเปรียบเทียบดู แล้วจะเข้าใจการใช้ความเร็วชัดเตอร์มากขึ้นครับ อ้อ แนะนำว่าถ่ายภาพน้ำตกดูครับ แล้วดูว่าความเร็วขนาดใหน น้ำตกดูแล้วสวยที่สุด
ส่วนความไวแสง ก็ทดลองง่ายๆครับ ใช้ค่าอย่างอื่นเหมือนกันหมด เปลี่ยนเฉพาะค่าความไวแสง แล้วนำรูปมาเปรียบเทียบดู เราก็จะเข้าใจ การใช้ หรือตั้งค่าความใวแสง เพิ่มขึ้น (ถ่ายภาพกลางคืน เหมาะที่จะใช้ค่าความไวแสงสูงๆ)
การทดลองควรใช้ขาตั้งกล้องด้วยครับ เพื่อลดข้อผิดพลาดได้เยอะ (สั่น)
ปล.ขอโทษครูโด่งอีกครั้ง ที่อ้างถึง ด้วยความบริสุทธิ์ใจครับ
ผมขออนุญาตเสริมเรื่องภาพมืดหรือสว่างไปในกรณีถ่ายภาพทั่วไป(ไม่ย้อนแสง)
ไม่ว่าจะใช้โหมดในการถ่ายภาพ P=Program ความเร็วชัตเตอร์และรูรับแสงที่เลนส์จะถูกคำนวนให้พอดีกับแสงในขณะถ่ายภาพ A=Aperture Priority ชัตเตอร์อัตโนมัติต้องตั้งรูรับแสง(F stop) S=Shutter Priority รูรับแสงอัตโนมัติต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์ M=Manual Exposure ต้องปรับตั้งทั้งความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสงพร้อมกับดูเครื่องหมายแสดงค่าที่วัดแสงได้ว่า + -แสงพอดี +แสงมากไป -แสงน้อยไป
ดังนั้นในโหมด P, A, S หากไม่มีเครื่องหมายเตือนหรือกระพิบจะได้ภาพที่แสงพอดีตลอดเวลา การตั้งค่าความไวแสง(ISO)จากต่ำสุดถึงสูงสุดเท่าที่สามารถทำได้ไม่มีผลกับแสงแต่มีผลกับความเร็วชัตเตอร์และรูรับแสง ตัวอย่าง
ถ้าวัดแสงในโหมด P ได้ค่าความเร็วชัตเตอร์ 250(1/250วินาที) รูรับแสง 5.6(F stop) ที่ ISO 100 เมื่อตั้งค่า ISO เป็น 200 กล้องจะปรับข้อมูลตัวใดตัวหนึ่งให้สูงขึ้นแล้วแต่โปรแกรมที่สร้างไว้เป็น 250 กับ 8.0 หรือ 500 กับ 5.6 แต่ถ้าในโหมด A รูรับแสงที่ตั้งไว้คงที่แต่ความเร็วชัตเตอร์จะสูงขึ้น โหมด S ความเร็วชัตเตอร์คงที่แต่รูรับแสงจะสูงขึ้น กรณีโหมด M ถ้าตั้งค่าทั้งสองตัวจนได้สภาพแสงที่พอดีแล้วทำการตั้ง ISO ให้สูงขึ้นที่ละ 1 สต๊อป เท่ากับสั่งให้กล้องรับรู้ข้อมูลค่าความไวแสงที่ไวขึ้นภาพที่ได้จะเกิดลักษณะแสงมากเกินไปเรียกว่า over exposure (เหมือนการตั้งความไวแสงของฟิล์มผิด ใช้ ISO 200 แต่ตั้งที่กล้องไว้ 100 ในกล้องยุคแรก) สรุปโดยย่อ
ความเร็วชัตเตอร์มีผลต่อการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ถ่ายภาพ จะตั้งสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ถ่ายยกตัวอย่างถ้าถ่ายภาพน้ำตกด้วยความเร็วชัตเตอร์สูง 1/60 วินาทีหรือสูงกว่าภาพที่ได้จะเห็นน้ำตกเหมือนสายน้ำแข็งและการกระเซ็นของเม็ดน้ำ หากตั้งความเร็วชัตเตอร์ต่ำ 1/10 หรือต่ำกว่าจะเห็นน้ำตกเหมือนสายหมอกสวยเนียนไม่เห็นเม็ดน้ำ(ต้องใช้ขาตั้งกล้องและตั้งค่า ISO ต่ำที่สุดที่กล้องตั้งได้)
รูรับแสงมีผลกับระยะชัดลึกและตื้น(depth of field)ของสิ่งที่ถ่ายภาพ ฉากหน้าและหลังชัดหรือมัว
ค่าความไวแสง(ISO)มีผลกับการถ่ายภาพในสภาพแสงมากและน้อยเพื่อให้สามารถถือกล้องถ่ายภาพได้โดยภาพไม่สั่นไหว ทำให้ถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้ระยะไกลมากขึ้นเมื่อใช้ไฟแฟลช
พี่ๆ เพื่อนๆ อาจทำความเข้าใจยากสักนิดถ้าไม่ได้ศึกษาพื้นฐานด้านการถ่ายภาพ ต้องทดลองตั้งค่าแล้วดูผลจากภาพทีบันทึกไว้จะเห็นความแตกต่างในลักษณะต่างๆ ที่ผมบอกไว้ ยกเว้นเรื่องระยะชัดลึกและตื้นจะดูไม่ออกหากไม่ได้ใช้ dslr
ด้วยความเคารพครับ