เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ธันวาคม 20, 2025, 05:10:37 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พรบ. ปล้นชาติ  (อ่าน 2050 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2007, 08:19:45 PM »

            พ.ร.บ.ที่เป็นใบอนุญาตปล้นชาติ(เงียบ)
               กมล กมลตระกูล
   
เหตุผลหนึ่งในการปฏิรูปการปกครองเมื่อวันที่ 19 กันยายน   2549 คือ “มีการทุจริตคอรัปชั่นและเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องอย่างกว้างขวาง”   

   การทุจริตคอรัปชั่นที่น่าอันตรายที่สุด คือ การคอรัปชั่นที่มีการออกกฎหมายมารองรับให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาที่รัฐบาลเป็นผู้กุม  และมติค.ร.ม. ที่เป็นก๊วนนักธุรกิจการเมืองที่มีทุนและบริษัทคอยตั้งรับผลประโยชน์ที่ทับซ้อน

  กฎหมายที่ออกมามีทั้งประเภท พระราชบัญญัติ  พระราชกฤษฎีกา  พระราชกำหนด  มติคณะรัฐมนตรี หรือ คำสั่งกระทรวงเพื่อมารองรับการคอรัปชั่นให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่ประเทศชาติ และประชาชนเป็นผู้เสียหาย หรือ ต้องแบกรับภาระ
ในบรรดากฎหมายสำคัญที่เป็นใบอนุญาตให้ปล้นทรัพย์แผ่นดินได้อย่างแนบเนียนถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถนำไปสู่การเสียเอกราชทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในระยะยาว  รวมทั้งนำระบอบท้า...กษิณกลับมา  ถ้าหากคณะรัฐบาลปฏิรูป ที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้กุมบังเหียนอยู่ในขณะนี้ไม่คิดที่ชี้นำให้มีการยกเลิกหรือ แก้ไขให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

พล.อ. สนธิ บุญญรัตกลิน ประธาน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(ค.ม.ช.) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการเมืองฯก็มีความรับผิดชอบจะมาทำไขสือไม่ได้

สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มีคนดีๆได้รับการเลือกตั้งเข้าไปไม่น้อย จะมานั่งกินเงินเดือนโดยไม่คิดที่จะศึกษาและเสนอแก้ไข หรือ ยกเลิกภายในอายุของสภานี้ ก็เป็นการทำนาบนหลังของประชาชนอีกรูปแบบหนึ่ง

เมื่อพูดถึงการคอรัปชั่นทางนโยบาย สิ่งที่เป็นรูปธรรมของการคอรัปชั่นทางนโยบายก็คือ การใช้สภาที่พรรครัฐบาลคุมเสียงข้างมากออกกฎหมาย ทั้งประเภท พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา พระราชกำหนด มติคณะรัฐมนตรี หรือ คำสั่งกระทรวงเพื่อมารองรับการคอรัปชั่นให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่ประเทศชาติ และประชาชนเป็นผู้เสียหาย หรือ ต้องแบกรับภาระ

   รัฐบาลชุดปฏิรูปการเมืองซึ่งอ้างว่าต้องการปฏิรูปเพื่อสร้างความโปร่งใส จึงต้องชำระล้างระบบฉ้อฉลทางการเมืองที่มีกฎหมายมารองรับด้วยการยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายฉ้อฉลเหล่านี้เพื่อป้องกันการคอรัปชั่นทางนโยบาย ที่เรียกกันว่าระบอบทักษิณ ไม่ให้ดำรงอยู่ต่อไป

   ในรัฐบาลทักษิณ 1 และ 2   มีการดำเนินการคอรัปชั่นทางนโยบายอย่างมาก เพราะมีเนติบริกรที่มีความสามารถแต่ไร้สำนึกในคุณธรรมและจริยธรรมเป็นผู้ดำเนินการให้

   ผลที่เกิดขึ้น จากการแก้กฎหมายด้านโทรคมนาคม และด้านสรรพากร ทำให้ประเทศชาติเสียหาย คือ รัฐสูญเสียรายได้ด้านภาษีอากร และค่าสัมปทานทางด้านโทรคมนาคมเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท และเมื่อมีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปไปให้กลุ่มทุนสัญชาติสิงค์โปร์  ประโยชน์นั้นก็พลอยตกไปเป็นของรัฐบาลสิงค์โปร์ซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงของกองทุนเทมาเส็กด้วย

   พระราชบัญญัติหลายฉบับที่ผ่านสภามาแล้วสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ และรัฐบาลทักษิณ 1-2  ได้สร้างปัญหาและเป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่นมาจนถึงทุกวันนี้  เช่น  พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ  พ.ศ. 2542   พ.ร.บ. องค์การมหาชน   พ.ศ. 2542  และพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ( องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 (ยุคทักษิณ)

   ในพ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ  พ.ศ. 2542  จะเรียกว่าใบอนุญาตปล้นชาติ ปล้นแผ่นดินก็ไม่ผิด  เพราะอนุญาตให้นำรัฐวิสาหกิจทั้งปวงหรือ สมบัติของแผ่นดินและของประชาชนทั้งชาติไป “ขายกิน” กันในหมู่พวกพ้อง และบริษัทข้ามชาติ  โดยไม่ผิดกฎหมาย  เช่น กรณีการแปรรูป ป.ต.ท.  กรณีการบินไทย  กรณี ไนท์ซาฟารี กรณีการแปรรูป อ.ส.ม.ท. การแปรรูป การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ท.อ.ท.)  ฯลฯ โชคดีที่ ก.ฟ.ผ. ถูกศาลปกครองยับยั้งเสียก่อน

   ข้อกล่าวหาข้างต้นมีมูลหรือไม่ ควรจะต้องมา พิจารณากันดู

   มาตรา 4 ใน พ.ร.บ. พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ  พ.ศ. 2542  ระบุว่า “ ในกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะนำทุนบางส่วนหรือทั้งหมดของรัฐวิสาหกิจใดมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบของบริษัทให้กระทำได้ตาม พ.ร.บ. นี้”

   มาตรานี้ชัดเจนตามข้อกล่าวหาข้างต้นอย่างสมบูรณ์   คือ การให้อำนาจคณะกรรมการจำนวน 15 คนมีอำนาจนำทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของแผ่นดินหรือของประชาชนไปขายได้ตามชอบใจ โดยมีมาตรา 22 มารองรับว่า  “  เมื่อมีการจดทะเบียนเป็นบริษัทแล้ว  ให้การดำเนินกิจการของบริษัทเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ กฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชน” ซึ่งหมายความว่าใครจะเข้ามาซื้อหุ้นก็ได้ และเมื่อคุมเสียงข้างมากได้ก็สามารถลดทุนหรือ ถอนทุน หรือ จ่ายเงินปันผล  จ่ายโบนัส หรือตั้งเงินเดือน ไห้มากตามชอบใจได้

   ตัวอย่าง เช่น เมื่อบริษัทข้ามชาตินำเงินเข้ามาซื้อรัฐวิสาหกิจ 1 หมื่นล้านบาท พอวันรุ่งขึ้นคณะกรรมการบริหารซึ่งแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็ลงมติให้ลดทุนลงทุนที 1 หมื่นล้านบาท เพราะเหตุว่า ทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจนั้นมีมูลค่าสูงกว่าราคาที่ประเมินกันในท้องตลาด ประกอบกับมีลูกค้าแน่นอน ซึ่งสามารถนำมาเป็นฐานรายได้ เพื่อนำไปกู้เงินกับธนาคารนำเงินมาดำเนินการได้ หรือถ้าบริษัทข้ามชาติหน้าบางหน่อย ก็อาจจะใช้วิธีการแบ่งเงินปันผลเมื่อเวลาสิ้นปีด้วยยอดเงินจำนวนเดียวกันก็ได้

   โดยวิธีการนี้ก็เท่ากับว่าบริษัทข้ามชาติได้รัฐวิสาหกิจไปฟรีๆ โดยไม่ต้องนำเงินเข้ามาแม้แต่สักบาทเดียว  แล้วจะมาสับโขกขึ้นราคากับคนไทยอย่างไรก็ได้ ตามที่บัญัติไว้ในมาตรา 4 นี้

   มาตรา 7 ระบุว่า “ การตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดย ค.ร.ม. ให้แต่งตั้งโดยระบุตัวบุคคล”

   มาตรานี้แสดงถึงความไม่โปร่งใสอย่างเจตนา เพราะไม่มีกระบวนการสรรหา คัดเลือกที่ประชาชน นักวิชาการ วุฒิสภา หรือสภาทนายความ  และองค์กรอิสระมีส่วนร่วม จึงสามารถฮั้วเอาสมัครพรรคพวกที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนมาเป็นกรรมการได้ถึง 6 คนจาก 15 คน

   มาตรา 13 กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ “ เสนอความเห็นต่อ ค.ร.ม. เพื่อพิจารณาอนุมัติในหลักการและแนวทางให้ดำเนินการนำทุนบางส่วนหรือทั้งหมดของรัฐวิสาหกิจมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบของบริษัท”

   สมบัติของคนทั้งชาติทำไมจึงไม่ให้รัฐสภาเป็นผู้ตัดสิน และให้ประชาชนได้ลงประชามติให้ความเห็นชอบก่อน หรือ ให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบก่อน  แต่มอบอำนาจให้คนเพียง 15 คนซึ่งมาจากการแต่งตั้งเป็นคนตัดสิน น่าคิดนะครับ

   มาตรา 24  มาตรานี้สำคัญมาก โดยระบุว่า  “ ให้บรรดากิจการ สิทธิ หนี้ ความรับผิด และสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจโอนไปเป็นของบริษัท”

   “ในกรณีหนี้ที่โอนไปเป็นของบริษัท เป็นหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันอยู่แล้ว ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันหนี้ต่อไป “

   “ สิทธิตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินที่เป็นที่ราชพัสดุหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่รัฐวิสาหกิจมีอยู่ในวันจดทะเบียนบริษัทนั้นด้วย”

   “ ส่วนสิทธิในการใช้ราชพัสดุหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่รัฐวิสาหกิจเคยมีอยู่ตามกฎหมายที่ราชพัสดุหรือกฎหมายอื่น ให้บริษัทมีสิทธิในการใช้ที่นั้นต่อไปตามเงื่อนไขเดิม “

   มาตรานี้คือการเอากะทิ อันหมายถึงอภิสิทธิ์ หรือ สิทธิพิเศษต่างๆที่ได้ใช้อำนาจรัฐอนุมัติให้เป็นกรณีพิเศษเพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ และบางกิจการเป็นเรื่องของสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ไปถวายให้กับเอกชนหรือ บริษัทข้ามชาติ อย่างให้เปล่า แต่ประชาชนกลับต้องมารับภาระ คือ กระทรวงการคลังก็ยังต้องค้ำประกันหนี้ต่อไป

   อภิสิทธิ์ สิทธิพิเศษ และสิทธิประโยชน์ในสาธารสมบัติของแผ่นดินก็ต้องยกให้เอกชนหรือ บริษัทข้ามชาติไปหมด

   มาตรา 26 คล้ายกับมาตราข้างต้น คือตอกย้ำการให้สิทธิพิเศษต่อบริษัทที่แปรรูปเป็นของเอกชนโดยระบุว่า  “ กฎหมายอื่นมีบทบัญญัติให้อำนาจรัฐวิสาหกิจดำเนินการใดๆต่อบุคคล ทรัพย์สิน หรือสิทธิของบุคคล หรือมีบทบัญญัติให้การดำเนินการของรัฐวิสาหกิจนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการใด หรือได้รับยกเว้นการปฎิบัติตามกฎหมายในเรื่องใด หรือมีบทบัญญัติให้สิทธิพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นกรณีเฉพาะ หรือมีบทบัญญัติคุ้มครองกิจการ พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ให้ถือว่าบทบัญญัตินั้นมีผลใช้บังคับต่อไป” 

   เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงที่ว่า รัฐต้องการยุบรัฐวิสาหกิจ แต่กลับคงอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษต่างๆ รวมทั้งข้อยกเว้นต่างๆที่ให้ไว้กับรัฐวิสาหกิจ เพราะถือว่าเป็นกิจการของรัฐ และมีจุดประสงค์เพื่อการให้บริการประชาชน แต่กลับคงสิทธินี้ไว้ให้กับเอกชนต่อไปเมื่อแปรรูปไปแล้วเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจในการหากำไรสูงสุด มิใช่เพื่อการบริการอีกต่อไป  การแปรรูปแบบนี้จะไม่เรียกว่าการเอาผลประโยชน์ของชาติของแผ่นดินไปขายได้อย่างไรครับ

   สำหรับ พ.ร.บ. องค์การมหาชน พ.ศ. 2542  นั้น ในหมวด 2  เรื่อง ทุน รายได้ และ ทรัพย์สิน มีหลายมาตราที่ อนุญาตให้ปล้นทรัพย์สินของชาติได้อย่างเลือดเย็น ดังนี้

   มาตรา 12 ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการขององค์การมหาชน  ประกอบด้วย เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา  เงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม

   ในหมวด 2  ว่าด้วย ทุน รายได้ และทรัพย์สิน ของ พ.ร.บ. องค์การมหาชน พ.ศ. 2542 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้เสนอ ตราไว้ว่า
   มาตรา 12 ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการขององค์การมหาชน ประกอบด้วย

                1. เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา ซึ่งหมายถึงที่ดินของรัฐ และอาคารของรัฐ
   2. เงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม
   3. เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสมเป็นรายปี
   4. เงินอุดหนุนจากภาคเอกชนหรือองค์กรอื่น รวมทั้งจากต่างประเทศหรือ องค์การระหว่างประเทศ และเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ ซึ่งในมาตรานี้เปิดช่องให้ทุนหรือองค์กรต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นได้อย่างไม่จำกัด
   5. ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือ รายได้ จากการดำเนินการ
   6. ดอกผลของเงินหรือรายได้จากทรัพย์ขององค์การมหาชน

 ใน 2 ข้อนี้ระบุชัดเจนว่าทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินของประชาชนถูกถ่ายเทมาเป็นขององค์การมหาชน

   ในข้อ 3 ของมาตรา 12  ยังเขียนไว้อีกว่า องค์การมหาชนยังได้รับเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐจัดสรรให้ตามความเหมาะสมเป็นรายปี อีกด้วย

   มาตรา 13 เขียนไว้ว่า ให้องค์การมหาชนมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน หรือ ค่าบริการในการดำเนินกิจการได้

   ในขณะที่ มาตรา 14 กลับเขียนไว้ว่า บรรดารายได้ขององค์การมหาชนไม่เป็นรายได้ ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

   กฎหมายฉบับนี้รวมกับพ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ ก็คือ ใบอนุญาติให้ปล้นชาติปล้นแผ่นดินได้อย่างแท้จริง และออกมาในยุคพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล โดยมีนายชวน หลีกภัย เป็นผู้ลงนามเป็นผู้สนองรับราชโองการ แต่ พรรคที่นำมาบังคับใช้ และได้ประโยชน์ คือ พรรคไทยรักไทย

   ในมาตรา 15  เขียนไว้ว่า ทรัพย์สินขององค์การมหาชนไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี

   มาตรานี้เขียนขึ้นเพื่อคุ้มครอง “ของโจร หรือ ทรัพย์สินโจร” ซึ่ง “ปล้นสดมภ์ “ มาจากแผ่นดิน

   มาตรา 16 เขียนไว้ว่า  ให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งองค์การมหาชนได้มาจากการให้ เป็นกรรมสิทธิ์ขององค์การมหาชน และให้องค์การมหาชนมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ จำหน่าย และจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินขององค์การมหาชน

   การหมกเม็ดที่กฎหมายฉบับนี้ซ่อนไว้ คือ ทรัพย์สินของแผ่นดิน รวมทั้งที่ดิน และสิทธิประโยชน์อันเป็นสมบัติสาธารณะ สามารถนำออกจำหน่ายได้ตามมาตรานี้

   ดังนั้น ทุกวันนี้ อ.ส.ม.ท. ซึ่งเป็นเจ้าของคลื่นความถี่ซึ่งประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของจำนวน 62 ช่อง 62 สถานี รวมทั้งสัมปทาน ยูบีซี ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทก็กลายเป็นสมบัติของนิติบุคคล ซึ่งใครก็ได้รวมทั้งทุนต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อหุ้นและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์  ในรูปของเงินปันผลกำไร เงินโบนัส เงินเดือนที่สามารถตั้งสูงได้ตามอำเภอใจโดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย

   ม๊อบเสื้อดำจึงได้เกิดขึ้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ “ปล้น” ไปจากรัฐในรูปของหุ้น เงินเดือน และโบนัส ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้ปฏิรูปเอารายการน้ำเน่าออกไป ซึ่งอาจจะทำให้รายได้หดตัว และกระทบรายได้ส่วนตน โดยที่ประชาชนทั้งประเทศโง่งม หรือถูกมอมเมาด้วยทัศนะคติที่เอาและคิดแต่ด้านบันเทิง ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ไร้สาระ  ทำให้ประเทศล้าหลัง ก็ช่างมัน เป็นต้น

   ป.ต.ท. ก็เช่นเดียวกัน การท่าอากาศยาน หรือ ท.อ.ท. ก็เช่นเดียวกัน ทั้งๆที่ประชาชนต้องจ่ายภาษีอากรมาเป็นค่าก่อสร้างกว่า 1.5 แสนล้านบาท ส่วนรายได้ไม่ต้องส่งคืนเข้าคลัง ที่จอดรถก็ยังให้สัมปทานไปด้วยค่าหัวคิวที่สูงลิ่ว และจะมาเก็บกับประชาชนผู้จ่ายเงินค่าก่อสร้างด้วยค่าจอดสุดมหาโหดที่จะเริ่มเก็บในวันที่ 1  ธันวาคม 2549 นี้ ทั้งๆอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของ ค.ต.ส. อยู่

   เมื่อเป็นองค์การมหาชน กองทุนต่างชาติ กองทุนนอมินีของนักการเมือง  ก็เข้ามาไล่ซื้อหุ้นและเก็บเกี่ยวผลกำไรที่มาจากทรัพย์สินของแผ่นดิน ไปโดยคนไทยไม่ได้อะไร เช่น ท.อ.ท. ซึ่งเป็นเจ้าของสนามบินทั้งประเทศก็จะกลายเป็นของต่างชาติไป และเป็นการคุกคามความมั่นคงของชาติ

   นายกรัฐมนตรี สุรยุทธ จุลานนท์ ควรจะต้องสั่งระงับการเก็บค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิทันที มิฉะนั้นก็เท่ากับรับรองความชอบธรรมของสัญญาฉ้อฉลที่ดำเนินการมาในรัฐบาลทักษิณ

   ร.ฟ.ท. ซึ่งก่อตั้งโดย ร. 5  และพระองค์มองการณ์ไกลโดยการมอบที่ดินใจกลางเมืองทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ก็อยู่ใน “คิวเชือด” รายต่อไป ถ้าหากว่า พ.ร.บ. ข้างต้นนี้ไม่ถูกยกเลิก

   น่าเสียดายที่ผู้บริหาร ร.ฟ.ม. ทุกยุคทุกสมัยไม่สนองเจตนารมณ์ของ ร. 5 แต่นำที่ดินดพระราชทานมา “เซ็งลี้” จนการรถไฟกลายเป็นหน่วยงานพิการ  เต็มไปด้วยหนี้สิน และล้าหลัง

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน- อ.พ.ท. ( องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546  ซึ่งสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี ก่อตั้งขึ้นมาด้วยพ.ร.บ. ฉบับนี้ และงบเริ่มต้นอีก ประมาณ 1500 ล้านบาท ก็เข้าอีหรอบเดียวกัน คือ กลายเป็นสมบัติส่วนตัวที่เป็นนิติบุคคล เมื่อมีรายได้ก็ไม่ต้องส่งเข้าคลังเหมือน พ.ร.บ. องค์การมหาชน และสามารถจำหน่ายทรัพย์สินออกไปได้เช่นเดียวกัน

ที่สำคัญ คือ พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ เขียนไว้ในมาตรา 8 ให้ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง และมีทรัพย์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งหมายความว่า ทั้งเกาะ ชายหาด อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนที่สวยงามที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยวก็สามารถใช้ พ.ร. ก. นี้ ยึดหรือ  โอนมาเป็นของนิติบุคคล และจำหน่ายออกไปได้ เหมือนกรณี สวนสัตว์ ไนท์ซาฟารี ที่สร้างในอุทธยานแห่งชาติ  เกาะสมุย เกาะช้าง     เกาะเสม็ด ก็ล้วนอยู่ในเป้าหมายของนักธุรกิจการเมืองที่เตรียมจ้องเข้ายึดครองตาม พ.ร.บ. และพ.ร.ก. ต่างๆข้างต้น บังเอิญถูกปฏิรูปให้พ้นอำนาจไปเสียก่อน

   เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงที่ว่า รัฐต้องการยุบรัฐวิสาหกิจ แต่กลับคงอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษต่างๆ รวมทั้งข้อยกเว้นต่างๆที่ให้ไว้กับรัฐวิสาหกิจ เพราะถือว่าเป็นกิจการของรัฐ และมีจุดประสงค์เพื่อการให้บริการประชาชน แต่กลับคงสิทธินี้ไว้ให้กับเอกชนต่อไปเมื่อแปรรูปไปแล้วเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจในการหากำไรสูงสุด มิใช่เพื่อการบริการอีกต่อไป 

การแปรรูปแบบนี้จะไม่เรียกว่าการเอาทรัพย์สินของชาติของแผ่นดินไปขายได้อย่างไร ก็หวังว่า  ค.ม.ช. และ รัฐบาลพล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลงมือปฏิรูปการเมืองทั้งที ก็ควรจะมีของขวัญล้ำค่าที่เป็นอาหารจานหลักมาฝากประชาชนด้วย มิใช่ให้แต่ของหวานหรือ ลูกอมซึ่งกินไม่อิ่มครับ

หาก ค.ม.ช. และรัฐบาลชุดปฏิรูปมองข้ามและไม่ริเริ่มที่จะยกเลิกกฎหมายปล้นชาติเหล่านี้ รวมทั้งการยกเลิกสัญญาและข้อผูกพัน ข้อผูกมัดทั้งหลายของสัญญาฉ้อฉ้ลเหล่านี้  ประวัติศาสตร์ก็คงจะต้องจารึกชื่อท่านไว้ว่า ไม่ได้มีความจริงใจในการปฏิรูปการเมืองอย่างที่ได้แถลงไว้ จนได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นเมื่อขับรถถังออกมาปฏิรูปการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2519


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 22, 2007, 08:21:22 PM โดย ทัดมาลา » บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
kithkin
Full Member
***

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 202


« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2007, 08:45:28 PM »

 หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2007, 02:02:53 PM »

รู้มาก  เอาเปรียบนัก   ถึงที่สุด  จะคอยดูว่า  จุดจบมันจะเป็นยังไง
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
S.V
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 647
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11296


เสียชีพ อย่าเสียสัตย์


« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2007, 02:08:43 PM »

บ้านเมืองวันนี้มองไปทางไหนก็ได้แต่ร้อง...เฮ้อ..
บันทึกการเข้า

ถ้วยหนึ่งนงนุช  สองถ้วยพุทธวาจา  สามถ้วยแกล้วกล้าพูดจาองอาจ  สี่ถ้วยเก่งกาจผ้าขาดไม่รู้ตัว  ห้าถ้วยเมามัวพูดไม่กลัวความผิด  หกถ้วยมีฤกธิ์พูดผิดทุกคำ  เจ็ดถ้วยมืดคล้ำมือคลำหนทาง  แปดถ้วยเอวบางพี่เห็นช้างเท่าหมู  เก้าถ้วยโอ้ว่าโฉมตรูสุดรู้สุดคิด  สิบถ้วยมืดมิดสิ้นฤทธิ์พี่แล้วเจ้าแก้วเอย
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2007, 03:27:30 PM »

มหาวิทยาลัยนอกระบบกับการแปลงทรัพย์สินให้เป็นสินบน?

พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com

เชื่อว่าสังคมไทยคงจะคุ้นเคยกับพฤติกรรมการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบนเป็นอย่างดี เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นกรณีในระดับประเทศอย่างเรื่องค่าโง่ทางด่วน หรือกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ ไปจนถึงในระดับท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นบรรดาโครงการสร้างถนนสาธารณะ เขื่อนหรือฝายชลประทานต่าง ๆ อย่างที่เป็นข่าวเกี่ยวกับการฮั้วประมูลอยู่หลายครั้ง การที่อาจารย์อายุทธ์ จิรชัยประวิตรได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในบทความเรื่อง “การนำจุฬาฯออกนอกระบบ” (ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจวันที่ 16 ม.ค. 50) เกี่ยวกับเรื่องการแปลงสมบัติสาธารณะให้เป็นสินบน (briberization) จากนโยบายที่จะเอามหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการนั้น จะเป็นกระบวนการที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยจริงหรือไม่นั้นผมคงไม่กล้าฟันธง แต่สังคมไทยก็น่าจะลองพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบ มิใช่แต่เพียงรับฟังการแก้ข้อสันนิษฐานนี้โดยอ้างเพียงว่าบรรดาผู้บริหารฯ ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าสถาปนาสถาบันแห่งนี้ ตลอดจนพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ให้แก่มหาวิทยาลัย ซึ่งทางผู้บริหารฯ จะไม่มีวันที่จะทำการแปลงทรัพย์สมบัติของมหาวิทยาลัยให้เป็นสินบนเด็ดขาด ซึ่งล้วนเป็นเพียงคำกล่าวเลื่อนลอยโดยปราศจากหลักประกันอันใด

   จะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยฉบับเดิมเพียงกำหนดให้มหาวิทยาลัยในการดําเนินงานทางการศึกษาและวิจัยเท่านั้น โดยไม่มีมาตราใดเปิดโอกาสให้มีการประกอบการค้าได้  แต่นโยบายมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนี้มุ่งหวังความคล่องตัวทางการบริหาร ถ้าพิจารณาโดยหลักการแล้วก็เห็นว่ามีความคล้ายกันเกือบทุกมหาวิทยาลัย แต่ข้อสังเกตเกี่ยวกับความน่าจะเป็นในการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบน ตลอดจนการผูกขาดถ่ายโอนช่วงอำนาจของคณะผู้บริหารฯนี้ ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ในอนาคต และอาจเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดกับมหาวิทยาลัยซึ่งถือครองทรัพย์สินอันมหาศาลอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระบวนการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบนจะเริ่มต้นจากศักยภาพของมหาวิทยาลัยในการถือครองอสังหาริมทรัพย์อันมีคุณค่า ซึ่งเป็นที่หมายปองของบรรดาภาคเอกชน (prospected investors) กับโอกาสการแสวงหาผลกำไรอันมหาศาลจากการทำธุรกิจ โดยอำนาจผูกขาดเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรของมหาวิทยาลัยเพื่อการให้สัมปทานหรือการดำเนินการทางธุรกิจอื่นใดจะอยู่กับคณะผู้บริหารฯ และสภามหาวิทยาลัยซึ่งเป็น authorized agents เท่านั้น โดยอาศัยอำนาจตามร่างพระราชบัญญัติจุฬาฯฉบับใหม่ ไม่ว่าจะตามมาตรา 13 ที่ให้อำนาจผู้บริหารฯในการประกอบธุรกิจอย่างกว้างขวาง ทั้งสามารถซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน และจำหน่าย หรือทำนิติกรรมใด ๆ รวมถึงการให้สิทธิในการกู้เงินและให้กู้เงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน ตลอดจนการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับภาคธุรกิจเอกชน นอกจากนี้ในมาตรา 14 ยังเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยสามารถแสวงหารายได้หรือผลประโยชน์อื่นจากการลงทุนหรือจากการร่วมลงทุนและจากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ส่วนมาตรา 15 ให้เอกสิทธิแก่มหาวิทยาลัยสามารถดำเนินการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยได้ เว้นแต่ที่ดินพระราชทาน ณ อำเภอปทุมวัน ยกเว้นแต่โดยออกเป็นพระราชบัญญัติฯ และมาตรา14 (7) ยังกำหนดว่ารายได้ของมหาวิทยาลัยไม่ต้องส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

ความเป็นไปได้ของกระบวนการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบนในมหาวิทยาลัยยุคนอกระบบจะเกิดขึ้นจากความลงตัวด้านผลประโยชน์ของทั้งภาคเอกชนผู้ลงทุนและคณะผู้บริหารฯผู้มีสิทธิขาดในการดำเนินการ โดยการเรียกรับสินบนจะเป็นในแบบผลประโยชน์ upfront หรือมีผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น ๆ ต่อเนื่อง เช่นการดํารงตำแหน่งบริหารหรือที่ปรึกษาบริษัทเอกชนในอนาคต หรือการถือครองหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯก็ได้ สินบนจะมีมูลค่ามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับโอกาสในการแสวงประโยชน์บนอสังหาริมทรัพย์ ความเป็นจริงแล้วการให้สัมปทานภาคเอกชนเพื่อดำเนินธุรกิจบนอสังหาริมทรัพย์ของจุฬาฯเกิดขึ้นและดํารงอยู่มาช้านานก่อนจะมีร่างพระราชบัญญัติฯฉบับใหม่นี้เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นห้างมาบุญครอง(MBK) โรงแรมโนโวเทล สยามแสควร์ สามย่าน ฯลฯ เพียงแต่ผลประโยชน์ที่มหาวิทยาลัยได้รับมาตลอดหลายสิบปีก็ยังมีความคลุมเครืออยู่ตลอด จึงเป็นเหตุให้ผู้บริหารฯมักจะอ้างว่ามหาวิทยาลัยขาดเงินทุนในการพัฒนาการศึกษาและวิจัย ซึ่งเป็นเหตุผลสาคัญอย่างหนึ่งของนโยบายการออกนอกระบบราชการของมหาวิทยาลัยนั่นเอง แนวทางการแปลงทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยให้เป็นสินบนในยุคทุนอสังหาฯข้ามชาติ ย่อมไม่ใช่กระบวนการแปรรูปมหาวิทยาลัยโดยการนำเอาจุฬาฯไปจดเป็นบริษัทมหาชนเพื่อกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เหมือนที่เกิดขึ้นกับบางรัฐวิสาหกิจ แต่อสังหาริมทรัพย์ ณ อำเภอปทุมวันของมหาวิทยาลัยซึ่งสามารถนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจดในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถสร้างรายได้ทั้งจากค่าเช่าพื้นที่และการระดมทุนในตลาดฯได้อย่างมากมายมหาศาล ตัวอย่างเช่นโครงการจัตุรัสจามจุรี (จุฬาฯไฮเทคแสควร์เดิม) ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังก่อสร้างต่อจากที่ค้างเดิม โดยเป็นอภิมหาโครงการบนที่ดิน 21 ไร่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดสามย่าน ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน 40 ชั้น พื้นที่ศูนย์การค้า และอาคารที่พักอาศัย 23 ชั้น โดยมีพื้นที่อาคารทั้งสิ้นประมาณ 315,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 5,000ล้านบาท ซึ่งยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่าใครเป็นผู้ลงทุนในดำเนินการต่อ(จุฬาฯหรือบริษัทเอกชน) แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่โครงการนี้น่าจะสามารถนำร่องไปจดจัดตั้งกองทุนอสังหาฯ โดยอาจมีการจัดตั้งร่วมกับเอกชนในลักษณะร่วมทุนก็ได้ตามมาตรา 13 ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าขณะนี้ที่รั้วรอบโครงการนี้ได้มีโฆษณาและสัญลักษณ์ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว

นอกเหนือจากโครงการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีแนวทางการพัฒนาที่ดินของจุฬาฯอีกหลายร้อยไร่ตั้งแต่สามย่านไปจนตลอดแนวถนนบรรทัดทองซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการขับไล่บรรดาผู้เช่าห้องแถวเดิม และอาจจะถูกนำมาจัดสรรเพื่อการให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชน หรือการร่วมทุนทางธุรกิจกันอย่างไรก็สุดแต่จะคาดเดาได้ แต่เมื่อผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของจุฬาฯในอนาคตทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะมีมูลค่ามหาศาลสูงกว่าที่จะสามารถประเมินได้จากเพียงที่ดินและอาคารหลายเท่าตัว จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะมีการอาศัยผลประโยชน์ด้านทุนในรูปแบบสินบนนี้ในการเอื้อต่อการประสานอำนาจต่อกันในหมู่ผู้บริหารฯและสภามหาวิทยาลัยที่มีเพียง 26 ท่านเท่านั้น โดยเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงยิ่งถ้าเราเปรียบเทียบกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองระดับชาติที่ผ่านมา ซึ่งมีการใช้ทุนควบคุมสมาชิกสภาฯส่วนใหญ่ตลอดจนเข้าครอบงำองค์กรอิสระทั้งหลายอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาประกอบกับโครงสร้างอำนาจจากการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยที่ได้ให้อำนาจผู้บริหารฯและสภาฯในการบรรจุ แต่งตั้ง และถอดถอนพนักงานของมหาวิทยาลัยตามมาตรา 31 ตลอดจนอำนาจในการแต่งตั้ง ถอดถอนรองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการ และหัวหน้าส่วนงานต่าง ๆ ตามมาตรา20 (9) หรือแม้กระทั่งอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนตําแหน่งทางวิชาการได้อีกด้วยตามมาตรา 20 (Cool แล้ว คงนับเป็นการสถาปนาระบบอุปถัมภ์ (cronyism) อันมั่นคงในมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน และความหวั่นเกรงเรื่องสถานภาพของบรรดาอาจารย์และพนักงานของมหาวิทยาลัย ตลอดจนอิสรภาพในทางวิชาการก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด
บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2007, 04:12:13 PM »


ฮึ ฮึ
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
east
Sr. Member
****

คะแนน 2
ออฟไลน์

กระทู้: 572


« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2007, 04:26:53 PM »

 หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
vana_Art
Superman It's not easy.
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 623


เคารพนับถือพระพุทธเจ้า++ก็จงปฏิบัติตามที่สอน >>[ไม่ใช่แค่นับถือ!!!]


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2007, 06:29:57 PM »

ขอบคุณครับ แต่ผมไม่อยากอ่านจริง ๆ พ่อค้า นักธุรกิจ กับนักการเมือง แล้วก็กฎหมาย
อย่างสิทธิวงโคจรดาวเทียมเป็นของคนไทย แต่เจ้าของไทยคมคือใคร...ใครใช้ไทยคม
แม้ไทยคมจะเป็นชื่อพระราชทานก็ตาม นี่หรือนักการเมือง...นี่หรือคนรักชาติ...นี่หรือผู้แทนของเรา
นอมินี คือคนไทยที่เข้ามาถือหุ้นแทนคนต่างชาติ แล้วคนไทยคนนั้นเป็นใคร
ที่ยอมให้ต่างชาติใช้ชื่อ หุ้นต่างชาติ 25 เป็น 49 ทำทำไม? ผมได้แต่หวังว่า ผู้มีความรอบรู้ ผู้หลักผู้ใหญ่
ของบ้านเมืองจะไม่อยู่นิ่งเฉย กับคนที่ร่ำรวยจากการสัมปทานมิชอบ และเวรกรรมจงได้ติดตามไปทุกภพทุกชาติเถิด
สาธุ
บันทึกการเข้า

 
ขี้เมา เล่นปืน
ชีวิตไม่เที่ยง พอเพียงก็ได้
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 11
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 162


คุยไม่รู้เรื่องก็อย่าไปคุย


« ตอบ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2007, 12:31:40 PM »

คิดว่าเมื่อไรจะมีการแก้ พ.ร.บ.อาวุธปืน ที่เป็นแนวทางที่ดีต่อผู้มีอาวุปืนและไม่เปิดช่องว่างให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกมาแบบไม่ต้องตีความ ชนิด 1-2-3-4เลย รอแค่นี้แหละครับ
บันทึกการเข้า

จงดีกับคนที่ดี
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.098 วินาที กับ 21 คำสั่ง