เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤษภาคม 25, 2025, 04:10:10 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขอให้ช่วยเกื้อหนุนจิตใจลูกหลานที่มีปัญหาเอ็นฯ  (อ่าน 2750 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
flyingkob-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 361
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2396


"สุวิชาโน ภวัง โหติ" ผู้รู้ดี เป็นผู้เจริญ


« ตอบ #15 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2007, 08:13:08 PM »

เอ็นท์ไม่ติด แล้วทำไมหละ ชีวิตมันจบสิ้นเหรอ
ติดคณะอื่นไม่ได้ตามที่ตนต้องการ โอเค..ผิดหวังเล็กน้อย แต่คุณเลือกเองไม่ใช่เหรอ อันดับสองอันดับสาม ไม่ต้องเอ็นท์ใหม่ให้เปลืองงบประมาณรัฐ เรียนให้จบ ออกมาหางานทำช่วยพัฒนาชาติดีกว่า
เอ็นท์ไม่ติด เรียนรามฯ มันไม่ดีตรงไหน คนจบรามฯ เป็นคนที่มีความรับผิดชอกับตัวเองสูง เพราะที่รามฯไม่มีอาจารย์มาจ้ำจี้จ้ำไชให้คุณเข้าเรียนหรอก เรียนง่ายแต่จบยาก
เอ็นท์ไม่ติด เรียนเอกชน (ถ้ามีตัง) เรียนก็แพง รีไทร์ก็ง่าย จบก็ยาก
เอ็นท์ไม่ติด เรียนเมืองนอก อันนี้พ่อต้องรวย มีเงินส่ง แต่ต้องเรียนเพราะไม่มีใครคุม ตัวใครตัวมัน ที่ล้มกลับมาก็เยอะ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

สรุป เรียนที่ไหนไม่สำคัญ ข้อสำคัญมันอยู่ที่เราได้เรียนวิชาที่เราชอบแล้วเอาวิชานั้นมาประกอบอาชีพที่เราใฝ่ฝัน อันนี้แหละคือความสำเร็จของเรา เงินมากเงินน้อยไม่สำคัญ ถ้าเรารู้จักการใช้เงิน
บันทึกการเข้า

ตึกยาวหลังนี้ สอนให้เรารู้สำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน
หรอย
การไม่เป็นโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 618
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6416



« ตอบ #16 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2007, 08:36:38 PM »

สวัสดีครับ โอกาสหน้ายังมีครับ ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้ายังมีครับ  "คนเราไม่มีใครแก่เกินเรียนครับ"
บันทึกการเข้า
lek
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1594
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13942


การแบ่งปัน ทำให้เราและคนอื่นมีความสุข


« ตอบ #17 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2007, 10:03:44 PM »

 รู้ผลแอดมิชชั่นส์ไม่ติดวิศวะจุฬาฯ ผูกคอตาย
 
โดย คม ชัด ลึก วัน จันทร์ ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 06:35 น.
 
 เด็ก ม.6 รับไม่ได้ ผลแอดมิชชั่นส์ไม่ติดคณะวิศวะ จุฬาฯ ตามความตั้งใจ ทั้งที่ได้คณะเดียวกันที่ ม.เกษตรศาสตร์ ตัดสินใจผูกคอตายหนีความผิดหวัง พ่อเผยลูกเครียดถึงขั้นกินยาพารา 20 เม็ดก่อนสอบ และให้เพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อนหลังรู้ผล แต่เจ้าตัวฉวยโอกาสเพื่อนกลับบ้านผูกคอตาย

เหตุนักเรียนเรียนดีแต่ไม่ติดมหาวิทยาลัยที่ตนตั้งใจ จึงตัดสินใจผูกคอตายรายนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ต.ต.ธวัชชัย ระวังศรี สารวัตรเวร สภ.อ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้รับแจ้งจากแพทย์เวรโรงพยาบาลแม่สาย ว่า มีคนไข้ผูกคอตาย และญาตินำตัวมารักษาที่โรงพยาบาล แต่เนื่องจากคนไข้ขาดอากาศไปหล่อเลี้ยงสมองเป็นเวลานานทำให้เสียชีวิตก่อนจะถึงมือแพทย์ หลังรับแจ้งเหตุจึงรุดไปสอบสวนที่โรงพยาบาล

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทราบว่าผู้เสียชีวิตคือ นายจิรัฎฐากรณ์ ศุขเกษมพงศ์ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 248 หมู่ 2 ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย สวมชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว กางเกงขาสั้นลายสีแดง ที่บริเวณลำคอมีรอยรัดจากการผูกคอตาย ลิ้นจุกปาก แพทย์ลงความเห็นเสียชีวิตไม่เกิน 1 ชั่วโมง เนื่องจากขาดอากาศหายใจ

จากการสอบสวนญาติของผู้ตายให้การด้วยความเศร้าโศกว่า นายจิรัฎฐากรณ์ เพิ่งเรียนจบชั้น ม.6 โรงเรียนสามัคคีวิทยา และไปสอบแอดมิชชั่นส์ โดยเลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอันดับที่ 1 ส่วนอันดับที่ 2 เลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่หลังจากทราบผลการประกาศคะแนนสอบแอดมิชชั่นส์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ปรากฏว่านายจิรัฎฐากรณ์สอบไม่ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ แต่ได้คณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้เสียใจเป็นอย่างมาก เพราะอยากจะเข้าเรียนที่จุฬาฯ

ญาติให้การต่อว่า การผิดหวังผลจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทำให้นายจิรัฎฐากรณ์เกิดอาการซึมเศร้าทั้งวัน ญาติได้แต่ปลอบใจ แต่นายจิรัฎฐากรณ์กลับเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องนอนทั้งวัน จนเมื่อเย็นวันที่ 13 พฤษภาคม ญาติเข้าไปเรียกนายจิรัฎฐากรณ์ที่ประตูหน้าห้องนอน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป พบว่านายจิรัฎฐากรณ์ใช้เข็มขัดหนังของตัวเองผูกคอตายที่ใต้ราวตากผ้าภายในบริเวณห้องนอนจนหน้าเขียว แต่คิดว่ายังไม่ตายจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลแม่สาย แต่นายจิรัฎฐากรณ์เสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล ซึ่งญาติก็ไม่ติดใจสงสัยการเสียชีวิตแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงมอบศพให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป นายปรีดา ศุขเกษมพงศ์ บิดาของนายจิรัฎฐากรณ์ กล่าวว่า ก่อนลูกชายจะสอบแอดมิชชั่นส์ก็มีอาการเครียดมานาน เพราะกลัวจะสอบไม่ติด โดยช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ลูกชายมีอาการเครียดถึงขั้นต้องกินยาพาราเซตามอลถึง 20 เม็ด แต่โชคดีไม่เป็นอะไร ต่อมาเมื่อถึงวันประกาศผลสอบ ลูกชายทราบผลว่าสอบไม่ติดคณะที่คาดหวังไว้ ก็เสียใจจนเครียดและซึมไป จนที่บ้านต้องขอให้เพื่อนของลูกที่อยู่บ้านติดกันมาอยู่เป็นเพื่อน

"ตลอดทั้งวันที่มีเพื่อนอยู่ด้วย ลูกชายก็ปกติดี ไม่มีอาการอะไร กระทั่งช่วงประมาณบ่าย 3 เพื่อนลูกขอตัวกลับบ้าน จากนั้นช่วงเย็นภรรยาจึงขึ้นไปเรียกลูกชายที่หน้าห้องนอน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ รู้สึกผิดสังเกต จึงพังประตูเข้าไป ก็พบว่าลูกชายผูกคอตาย จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลแม่สายเป็นการด่วน" นายปรีดา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังนายปรีดารับศพนายจิรัฎฐากรณ์ บุตรชาย กลับมาบ้านเลขที่ 248 หมู่ 2 ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย ทั้งนายปรีดาและภรรยา คือนางพิมพา ต่างพากันนั่งกอดศพบุตรชายร้องไห้โดยไม่ยอมทำอะไร ทำให้ญาติต้องช่วยกันปลอบโยนให้หายจากอาการโศกเคร้า ซึ่งนายจิรัฎฐากรณ์เป็นบุตรชายคนเดียว จึงทำให้พ่อแม่เสียใจมาก เพราะบุตรชายเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง

 
 

 
บันทึกการเข้า

มีความสุขแบบที่เรามีก็พอhttp://www.gunsandgames.com/smf/index.php?board=29.0  (รวมพลคนอีสาน)
ธำรง
Hero Member
*****

คะแนน 1727
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8568


.....รักในหลวง.....


« ตอบ #18 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 04:31:51 PM »

คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต
ความสามารถ/สติปัญญาพอๆกัน บางคนได้เป็นหัวหมา บางคนได้เป็นหางราชสีห์ ใยต้องยึดถือ

ผมถือว่าสังคมครอบครัว และสังคมรอบตัวเด็กมีส่วนสำคัญมาก
อ่านย่อหน้าสุดท้ายข้างบนในโพสของคุณlekแล้วสลดใจ ถ้าพ่อแม่คิดว่าลูกเรียนเก่ง และ"ต้องได้"

 :Smiley
บันทึกการเข้า
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #19 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 06:21:06 PM »

Winkลูกผมคนกลาง...เพิ่งขึ้น ป.5 ...เรียนสู้พี่และน้องไม่ได้....ทุกครั้งที่ดูสมุดพกของลูก ผมจะหัวเราะ และบอกเขาว่า " ไม่เป็นไร เทอมหน้าแก้ตัวใหม่ พ่อเห็นลูกเป็นคนดี ก็ภูมิใจ ดีใจสุดๆแล้ว คะแนนน้อยเรื่องเล็ก "

เห็นด้วยกับน้าเป้าครับ ........ เริ่มต้นจากผู้ปกครองก่อน ถ้าคิดดีทำได้ ทุกอย่างก็จะไม่รุนแรง
เห็นหลายครอบครัวช่วยกันซ้ำเติมคนที่มีปัญหาทั้งที่เป็นลูกหลานพี่น้องตัวเองแท้ๆ อนาถใจ
บันทึกการเข้า

                
kota
Jr. Member
**

คะแนน 3
ออฟไลน์

กระทู้: 31


« ตอบ #20 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 12:26:41 AM »

ผมเองปกติไม่ค่อยได้ post อะไรเท่าไร แต่ได้เห็นเหตุการณ์นี้แล้วรู้สึกเศร้า อยากขอแสดงความคิดเห็นบ้าง โดยส่วนตัวจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสเด็กที่ตนเองสอนอยู่ ผมว่าเด็กปัจจุบันได้รับการมอมเมาจากสื่อและสังคมในทางที่ผิดค่อนข้างมาก เด็กมักแสดงออกด้วยอาการก้าวร้าวและแข่งขันกันในทางที่ผิด (เช่นประชันการแต่งตัว ลอกข้อสอบ อวดร่ำรวยทั้งที่ที่บ้านขายข้าวแกง เสร็จแล้วเพราะมัวแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ก็เลยไม่ได้ดูหนังสือ สอบตกยกชั้น) เมื่อบวกกับโครงสร้างร่างกายที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วเป็นผลให้ใจแกว่ง คุมอารมณ์ไม่อยู่จึงมักตัดสินปัญหาโดยขาดสติ และรุนแรง (แฟนขอเลิกจับแฟนกดน้ำ ดูมัน! ยังดีว่าเห็นทัน) จึงอยากขอร้องให้ผู้ปกครองพยายามดูแลเอาใจใส่บุตร-หลานให้มากขึ้นครับ ให้เค้าได้ใช้ชีวิตร่วมไปกับเราและได้เห็นวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างมีสติของผู้ใหญ่อยู่บ่อยๆถึงจะแก้ไขการมอมเมาจากสื่อทุกวันนี้ที่เน้นแต่การประชันกันด้วยวัตถุ และเนื้อหนังมังสา ได้ โดยประสบการณ์แล้วผมคิดว่าการได้เห็นและได้ผจญชีวิตจริงเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ เพียงแต่ถ้าผจญชีวิตในทางที่ไม่ถูกตั้งแต่เด็ก (สำมะเลเทเมา ยกพวกตีกัน) บางทีมันกลายเป็นความเคยชินแล้วหนีออกจากวงจรนั้นไม่ได้ บางคนโชคดีมีจังหวะให้ฉุกคิดแล้วถอนตัวทันก็โชคดี เช่น ไปตีกันแล้วโดนฟาดโคม่าไป 3 เดือน พอตื่นมาเลยกลัวแล้วเลิก แต่คนโชคดีมีไม่บ่อยหรอกครับ
เราสามารถช่วยกันดูแลเด็กได้ให้เค้าผจญชีวิตในทางที่ถูก เช่น หางานพิเศษซื้อของที่อยากได้เอง ให้ช่วยธุรกิจของที่บ้านแล้วได้เงินเดือนเป็นพนักงาน ฯลฯ พอเค้าได้ใช้ชีวิตของตัวเองแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวไม่ว่าจะด้านใดด้านหนึ่งอยู่ ก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้อย่างแน่นอนครับ ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ผมว่าเพราะเด็กบ้านเราในปัจจุบันสบายเกินไป อยากได้อะไรผมเห็นพ่อแม่ป้อนให้ถึงที่ซะมาก พอเด็กไม่ได้รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไร ก็มักจะใช้ชีวิตให้หมดไปวันๆอย่างไร้คุณค่า (กินเหล้า เล่นเกม จีบสาว) หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้เห็นว่าชีวิตจริงๆเป็นอย่างไร พอนานวันเข้าก็เลยเห็นแต่ตนเอง ไม่มีความเมตตาต่อมนุษย์คนอื่นๆ อยากได้เงินก็ขู่เข็ญเอาจากผู้อื่น เริ่มต้นที่ใกล้ตัวก็พ่อแม่ เพื่อน พอหมดทางก็เริ่มเบียดเบียนคนอื่น เอาแต่ชีวิตตนเองฝ่ายเดียว (นี่เป็นอาการหนักเกือบสุดที่เคยเจอ หนักสุดมักจะเป็นโรคประสาทรังเกียจสังคมไปเลยเพราะเข้ากับคนอื่นๆไม่ได้ หวาดระแวงผู้อื่นตลอดเวลา) แล้วมักจะเป็นกับเด็กหอซะมาก เพราะห่างตาพ่อแม่เยอะที่สอนอยู่มีบางคนเราไล่ออกไปแล้วพ่อแม่ยังส่งเงินค่าเทอม+เงินเดือนให้อยู่เลย วันดีคืนดีกะจะมาเซอร์ไพรส์ลูกมาหาที่มหาวิทยาลัย หาลูกไม่เจอเลยมาถามอาจารย์พอรู้ว่าถูกไล่ออกไปแล้วเป็นลมล้มทั้งยืน เห็นแล้วอยากประเคน...ให้อดีตลูกศิษย์ตนเอง
เหตุการณ์ต่างๆที่เล่าให้ฟังไม่ใช่ว่าโทษลูกศิษย์ตนเองหรอกนะครับ ถ้าจะมีคนให้โทษผมว่าต้องโทษพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วดันสร้างสังคมที่ประชันกันแต่วัตถุขึ้นมามากกว่า เด็กๆเพียงแต่พยายามเอาชีวิตรอดในสังคมที่เราสร้างขึ้นเท่านั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าพวกเด็กๆเห็นแต่ภาพที่ผิดๆอยู่ตลอดเวลา จึงใช้ชีวิตไปตามภาพที่เห็น เหตุการณ์ของกระทู้นี้ที่เด็กเอ็นไม่ติดสิ่งที่ตนเองคาดหวัง เลยเข้าใจเอาเองว่าชีวิตตนจบสิ้นแล้วจากสื่อที่โหมประโคมแต่ความสำเร็จของชีวิตตลอด และแสดงด้านที่ชีวิตจะต้องล้มเหลวว่าเป็นจุดสิ้นสุดของโลก จึงจบชีวิตตนเองลง เป็นเรื่องน่าเศร้าครับทั้งที่ความจริงความสำเร็จและความล้มเหลวเป็นของที่คู่กันในชีวิต ในขณะที่คุณประสบความสำเร็จก็จะต้องมีคนผิดหวัง และในขณะที่คุณผิดหวังก็จะมีผู้อื่นประสบความสำเร็จและคุณก็ควรจะยินดีกับเค้า โลกและชีวิตเป็นเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว แต่ข้อเท็จจริงในปัจจุบันกลับถูกบิดเบือนให้เด็กๆเห็นแต่ด้านที่ประสบความสำเร็จ และเหยีดหยามความผิดหวังจนผิดปกติโลกไป
ความคิดเห็นข้างต้นคงเป็นความรู้สึกสงสารเด็กที่ประสบการณ์ชีวิตยังไม่มากพอ และอยากชักชวนให้เราหันกลับมาใช้ชีวิตกับลูกหลานกันมากๆขึ้นครับ สถาบันการศึกษาต่างๆในปัจจุบันก็พยายามจะสอนเด็กในเรื่องการใช้ชีวิตให้มากขึ้น และพยายามดูแลเท่าที่จะทำได้ภายในขอบเขตพื้นที่ของสถาบัน ถ้าเราช่วยกันทางผมที่โรงเรียนทางครอบครัวที่บ้าน เมื่อสังคม+ครอบครัวที่แวดล้อมตัวเค้าอบอุ่นเด็กก็จะมีความสุขและได้รับรู้ว่าตนเองก็แบกความรับผิดชอบของสังคมและครอบครัวอยู่ ผมว่าเราจะได้ผู้ใหญ่ดีดีที่เป็นกำลังสำคัญกันอีกเยอะครับ
บันทึกการเข้า
jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #21 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 10:35:35 AM »

เห็นด้วยครับ บางครั้งผมก็ยังสงสัยว่าผู้ใหญ่ไทยเลี้ยงเด็กถูกวิธีหรือเปล่า ... คิด ๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร

ในฐานะที่เวปเราเป็นเวปมีระดับ จึงขออนุญาตเล่ารายละเอียดเท่าที่ทราบ ของกรณีน้องที่ผูกคอตายเล็กน้อยครับ

น้องคนนี้สมัคร Admissions เป็นครั้งที่ ๒ แล้วครับ แต่ไม่ใช่พวกที่เป็นปัญหาตามข่าว (ข่าวเรียกเด็กซิ่ว แต่จริง ๆ คือคนที่ไม่มีคะแนน O-NET ในปีที่จบครับ)

ครั้งก่อน จำได้เลา ๆ ว่าน้องเขาเลือกคณะประเภท รัฐศาสตร์ ๒ อันดับ (จุฬา) เศรษฐศาสตร์ (จุฬา) และดูเหมือนมนุษย์ศาสตร์ (เกษตร)

ครั้งนี้เขาได้สอบ A-NET และวิชาเฉพาะเพิ่มเติม ซึ่งบางวิชาก็ได้คะแนนเพิ่ม บางวิชาก็ได้คะแนนลดลง (คะแนนส่วนนี้จะเลือกใช้ที่มากกว่าในแต่ละรายวิชาครับ)

ครั้งนี้เขาเลือก .... ๑. วิศวะ จุฬาฯ ... ๒. วิทยาศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ... ๓. วิทยาศาสตร์ มศว. ... ๔. วิศวะ เกษตรฯ (โครงการพิเศษ)

คะแนนไม่มากไม่มาย เลยติดอันดับ ๔ ครับ

อย่างไรเสีย ผมก็เสียใจกับการจากไปของน้องเขาครับ  Cry
บันทึกการเข้า

jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #22 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 11:03:10 AM »

ในหนังสือพิมพ์บางฉบับ ได้กล่าวถึงคำสัมภาษณ์ของมารดา ประมาณว่าน้องเขาเครียดเพราะในปีที่แล้ว ตอนประกาศคะแนนครั้งแรก น้องเขาสามารถติดรัฐศาสตร์ได้เลย แต่ก็มาลดคะแนนเขาลง ทำให้ไม่ติด ... เลยเครียด ...

ขอแก้ตัวแทน สทศ. ดังนี้

กรณีข้างต้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว (๒๕๔๙) คือเป็นปีแรกที่ สทศ. จัดสอบ O-NET ทั้ง ๆ ที่ยังจัดตั้งไม่เรียบร้อย ไม่มี ผอ. ไม่มีพนักงาน มีลูกจ้างชั่วคราวอยู่ ๗-๘ คน ....

การจัดสอบทั้งประเทศ ยอดผู้เข้าสอบประเมินกันไว้ที่ ๕๐๐,๐๐๐ คน ย่อมไม่ใช่ของง่ายครับ (กระทรวงศึกษาสอบ NT ลักษณะเดียวกันมาก่อนแล้ว ยังไม่ยอมสอบทั้งหมด ใช้วิธีสุ่มเอา) ... สิ่งที่เกิดขึ้นในการประกาศคะแนนครั้งแรกมี ๒ สิ่งที่พอจะเรียกว่าปัญหาครับ

๑. สทศ. ประกาศคะแนน T-SCORE .... ซึ่งไม่ใช่คะแนนดิบครับ เป็นคะแนนที่ผ่านการปรับค่ามาแล้ว ....
๒. ประกาศแล้ว บางคนไม่มีคะแนน บางคนคะแนนหาย บางคนคะแนนเกิน .... เพราะอะไรนั้น ยังไม่เห็นใครสรุปแบบชัด ๆ ครับ ... แต่คนทำไปอเมริกาแล้ว ....

เนื่องจากการคัดเลือกในระบบกลาง (เอ็นทรานซ์) ทปอ. กำหนดให้ใช้คะแนน O-NET ด้วย และจะใช้คะแนนดิบเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีการประกาศรอบ ๒ ซึ่งดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย เพราะเมื่อประกาศมา ผม (และคนอื่น ๆ) พบว่าไม่สอดคล้องกันกับ T-SCORE ในครั้งแรก .... อธิบายง่าย ๆ คือ สมมติผมจะหาค่าเฉลี่ยของวิชาภาษาไทย ถ้าดูจากการคำณวนคะแนนดิบ ไปเป็น T-SCORE ก็จะหาค่าเฉลี่ยได้ .... ผมพบว่าในแต่ละคนมีค่าเฉลี่ยคนละค่า .... แสดงว่า ..... .... .... มั่วมา (มั๊ง)  :Smiley

อีกทั้งปัญหาคะแนนหายอีก ทำให้เลขาฯ สกอ. อ.ภาวิชต้องลงมาล้วงลูก รับงานนี้มาเล่นเอง โดยการตั้งคณะกรรมการกลาง ตรวจสอบการตรวจคะแนนของการสอบครั้งนั้นครับ .... ผลการตรวจสอบ โดยโปรแกรมที่เขียนใหม่ คนกลุ่มใหม่ (ที่ไม่เคยทำเอ็นทรานซ์)  พบว่า ....

คะแนนที่ สทศ. ตรวจมีความเชื่อถือได้มากครับ (ตรวจถูก) .... แต่ตรงที่ทำให้ป่วน เป็นกระบวนการในการตรวจสอบข้อมูลผู้เข้าสอบต่างหาก ... ซึ่งท่าน รมต. จาตุรงค์ก็ให้ข่าวไปว่าเป็นความผิดพลาดในระบบบัญชีรายชื่อครับ ....

หลังการตรวจสอบเสร็จสิ้น ... สกอ. จึงช่วยประกาศคะแนนรอบ ๓ ......  ตกใจ ...... (จริง ๆ น้องมันบอกมีรอบ ๔ รอบ ๕ ด้วย แต่ไม่สำคัญนัก เหมารวมไปเลย)

ดังนั้น สิ่งที่คุณแม่ของน้องเข้าใจ ก็ไม่ผิดนัก แต่ไม่ใช่การลดคะแนน .....

ผมมองว่ามันเป็นกรรมของเด็กรุ่นนั้นจริง ๆ (กรรมที่ผู้ใหญ่ก่อให้) ... (จำได้ว่าสมาชิกของเราบางท่านก็ผจญกรรมนี้ด้วย)

ในการประกาศคะแนนทั้ง ๓ รอบ เวลาจะคาบเกี่ยวกับช่วงรับสมัคร Admissions ครับ บางคนรอจนมีการประกาศคะแนนจาก สกอ. แล้วจึงสมัคร ... บางคนพอทราบคะแนนครั้งแรกแล้วก็สมัครเลย (และไม่ได้มาสมัครใหม่) ....

เกร็ดช่วงนี้ ท่านสมาชิกลองหาหนัง Final Score มาดูครับ เห็นว่ามีขายแล้ว .... (ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับหนังนะครับ แต่ใครจะซื้อมาฝากก็ยินดี)  Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 16, 2007, 11:10:46 AM โดย jakrit » บันทึกการเข้า

ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #23 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 11:04:18 AM »


 ถ้าจะมีคนให้โทษผมว่าต้องโทษพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วดันสร้างสังคมที่ประชันกันแต่วัตถุขึ้นมามากกว่า เด็กๆเพียงแต่พยายามเอาชีวิตรอดในสังคมที่เราสร้างขึ้นเท่านั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าพวกเด็กๆเห็นแต่ภาพที่ผิดๆอยู่ตลอดเวลา จึงใช้ชีวิตไปตามภาพที่เห็น

เหตุการณ์ของกระทู้นี้ที่เด็กเอ็นไม่ติดสิ่งที่ตนเองคาดหวัง เลยเข้าใจเอาเองว่าชีวิตตนจบสิ้นแล้วจากสื่อที่โหมประโคมแต่ความสำเร็จของชีวิตตลอด และแสดงด้านที่ชีวิตจะต้องล้มเหลวว่าเป็นจุดสิ้นสุดของโลก จึงจบชีวิตตนเองลง เป็นเรื่องน่าเศร้าครับ

ทั้งที่ความจริงความสำเร็จและความล้มเหลวเป็นของที่คู่กันในชีวิต ในขณะที่คุณประสบความสำเร็จก็จะต้องมีคนผิดหวัง และในขณะที่คุณผิดหวังก็จะมีผู้อื่นประสบความสำเร็จและคุณก็ควรจะยินดีกับเค้า

โลกและชีวิตเป็นเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว แต่ข้อเท็จจริงในปัจจุบันกลับถูกบิดเบือนให้เด็กๆเห็นแต่ด้านที่ประสบความสำเร็จ และเหยีดหยามความผิดหวังจนผิดปกติโลกไป


เห็นด้วยครับ การมองมุมที่สดใสมุมเดียว ทำให้ขาดภูมิคุ้มกันความผิดหวัง

เหตุการณ์คล้ายๆกัน ผมเคยมีเพื่อนของเพื่อนที่ฆ่าตัวตายเพราะได้เกรด 3.9 จากที่เคยได้ 4.00 มาตลอดชีวิต


Life is a series of experiences, each one of which makes us bigger, even though sometimes it is hard to realize this. For the world was built to develop character, and we must learn that the setbacks and grieves which we endure help us in our marching onward.

Henry Ford






บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #24 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 11:05:57 AM »

ความเครียดบางอย่าง อาจเกิดจากตัวเอง บางอย่างอาจเป็นเพราะคนอื่นช่วยทำให้เครียด ... ดังนั้นเด็กยุคนี้ต้องสร้างภูมิคุ้มกันหลาย ๆ อย่างครับ

แจ้งมาเพื่อทราบ
บันทึกการเข้า

ธำรง
Hero Member
*****

คะแนน 1727
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8568


.....รักในหลวง.....


« ตอบ #25 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 11:57:08 AM »

ผมไม่อยากกล่าวอะไรที่เป็นการซ้ำเติมเด็กที่ฆ่าตัวตาย
เห็นว่าเป็นความผิดปกติทางความคิดของเขา
แล้วสังคมครอบครัว และสังคมรอบตัวเด็กก็มาเป็นแรงกดดันจนแตกหักไป

เด็กอีกเป็นหมื่นเป็นแสนของปีนี้ก็ใช่ว่าจะได้สิ่งที่ตัวอยากได้ เขาก็ยังดำเนินชีวิตอยู่ได้
ผมมีลูกหลานเอ็นฯปีนี้เหมือนกัน สอนเขาเพียงว่าเรียนดีก็มีโอกาสสอบได้คะแนนสูง
คะแนนสูงก็เหมือนมีกำลังซื้อสูง เอาไปเลือกซื้อที่เรียนได้อย่างใจ ... ทำให้ดีที่สุด...ได้ก็ดี ไม่ได้ก็แล้วไป

และชีวิตก็ไม่ได้จบอยู่ที่การเข้ามหาวิทยาลัย..........ความสุขความสำเร็จของคนต้องดูจนถึงปัจฉิมวัย
คนเรียนในสายวิชาชีพ เช่น แพทย์ วิศว เภสัช บัญชี ...... ใช่ว่าจะดีเสมอไป...ก็อาจเสียโอกาสอีกหลายอย่างในชีวิต

.....ความสุขเกิดจากความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ต่างหาก..... :Smiley



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.065 วินาที กับ 21 คำสั่ง