ขอบคุณครับน้องรัก

สรุปน้ายังถือครองที่ดิน ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะโดนขับออกจากที่ หรืออย่างไรครับ
รู้สึกตอนนี้ยังอยู่ครับ
แต่ผมแนะนำให้ไปตรวจดูพิกัดที่ดินให้แน่นอน ว่าอยู่ในเขตป่าสงวนหรือไม่
หากอยู่ คงแนะนำให้ขายครับ
เพราะเรื่องนี้ทำกันบ่อยครับ ทางการมักปล่อยให้ชาวบ้านแผ้วถางบุกรุกไปจนหมดสภาพป่า
เมื่อพวกปลวกกินบ้านเมืองเห็นว่า ป่ามีสภาพเสื่อม ไม่อยู่ในลักษณะป่าต่อไป ก็
จะประกาศให้พื่นที่นั้นยกเลิกจากการเป็นป่าสงวน ไปเป็นเขตปฎิรูปที่ดิน เพื่อออกเอกสาร สปก ต่อไป
โดยก่อนประกาศก็จะเริ่มจับกุม รายสองราย ให้พวกที่เหลือต้องทิ้งที่ดินไป
ที่นี้พวกชาวบ้านที่เข้าไปครอบครองใหม่ ซึ่งอาจมาจากนักการเมือง ข้าราชการ เข้าไปยึดถือภายหลัง
ได้ สปก กันเป็นแถว ส่วนพวกที่เข้าไปบุกเบิกกลายเป็นแพะไป
แต่ระหว่างที่ยังไม่มีประกาศ อย่างไรก็ยังเป็นป่าสงวน ใครเข้าไปยึดถือครอบครอง หากป่าไม้เอาจริง
ย่อมมีความผิดฐานบุกรุกป่าสวงน ตาม พรบ ป่าไม้ จำคุกหนักแถมค่าปรับบาน
อืมมม์...พอเห็นภาพ ถึงว่ามีสวนส้มสวนผลไม้ให้หลายสิบไร่
ขอบคุณน้องรักอีกคราว มีเพื่อนให้ได้ใช้จริงๆ

จากที่น้องห้าแถลงมานั้น ผมเห็นควรให้พี่สามเป็นผู้บุกเบิกต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ และหากประสบความสำเร็จช่วยรีบแจ้งกลับมาโดยด่วน น้องสี่คนนี้จะรีบกู้สหกรณ์แล้วตามไปสมทบโดยเร็ว
เช็คอยู่ครับ ว่าที่มีใบ xบท 5 หรือ สปก.
หากว่ามีใบ สปก. ก็น่าลองอยู่ครับ
สปก อย่าซื้อเปล่า ต้องไปติดต่อ สำนักปฏิรูปที่ดินในเขตนั้นๆว่าสามารถเปลี่ยนผู้ถือครองในสารบบได้หรือไม่
(แต่ตามพรบ.ปฏิรูปบัญญัติห้ามโอนแต่ให้ สปก. จัดหาผู้ทำประโยชน์ใหม่แทน
เพราะหากซื้อแล้วนิ่งเฉยๆ สุดท้ายเขาติออกโฉนด เป็นชื่อของคนขายเดิมฮ้านน
มีที่ดินในนิคมเพื่อการเกษตร (คล้ายๆ สปก.)
ปรากฎว่าตอนนั้นซื้อมาแต่ไม่ได้ไปติดต่อแจ้ง นิคม ว่าเจ้าของเดิมสละไม่ครอบครองที่ดินที่นิคมจัดสรรแล้ว
ต่อมาพอครอบครองได้ ๒ ปี ทางนิคม ได้ออกเอกสาร เป็นหนังสือ น.ค. ๓ พอคนซื้อไปแจ้ง ปรากฎว่าไม่มีชื่อในทะเบียนผู้ครอบครองที่ดินนิคม
ทางนิคม จึงไม่ออกเอกสารสิทธิ์ให้ และถือว่าที่ดินนั้น ผู้ครอบครองเดิมไม่ครอบครองอีกต่อไป
สัหพักคนขายเดิม วื่งโร้มาบอกว่ายังทำอยู่ เพียงให้คนขายดูแลแทน
เป็นเรื่องสิครับ ผู้ซื้อก็วิ่งโร่มาศาลฟ้องผู้ขาย ฐานผิดสัญญา เรียกเงินคืน
สุดท้าย ที่ดิน สปก. นค. ก็คือที่หลวงที่ไม่อาจโอนหรือซื้อขายกันได้ตามกฎหมาย
สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาได้แพ้คดีไป ซวยอีก
คำพิพากษาที่ ๑๐๖๖๙/๒๕๔๖ ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินและอยู่ในระหว่างจำเลยยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์จึงต้องห้ามมิให้บุคคลที่ได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๓๙ การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง โดยกฎหมาย จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๐
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทที่เป็นโมฆะ ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องใด ๆขึ้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยเพราะมิใช่เป็นผลจากการผิดสัญญา แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับ ซึ่งตามมาตรา ๔๑๒ บัญญัติว่า ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้น เป็นเงินจำนวนหนึ่ง ท่านว่าต้องคืนเต็มจำนวนนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเรื่องลาภมิควรได้ จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกคำฟ้องนอกประเด็น
โจทก์
ไม่ทราบมาก่อนว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน จึงไม่ใช่โจทก์กระทำการตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่า ตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามมาตรา ๔๐๗ จำเลยต้องคืนเงินซึ่งได้รับไว้แก่โจทก์ตามมาตรา ๔๐๖ แต่ก็ไม่ได้สิทธิใดๆในที่ดินที่ซื้อ
ดังนั้นถ้าเราซื้อโดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินที่ซื้ออยู่ในเขตปฏิรูป จึงเป็นกระทำการตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่า ตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามมาตรา ๔๐๗ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนได้เลย
เอาอย่างนี้ นัดกินเหล้าไปด้วย แหลงไปด้วยดีกว่า ดีไหม อิ อิ