
ขอเล่าเรื่องส่วนตัวที่รบกวนจิตใจนิดนึง คือ ขอพื้นที่ระบายความรู้สึก ว่างั้น
คำเตือน เรื่องนี้ เยิ่นเย้อและไร้สาระ กรุณาสกรอลผ่านหากไม่พร้อมอ่านข่าวดี กับข่าวร้ายที่มาพร้อมกันในเวลาไล่เลี่ยกัน
ข่าวดี คือ เรา หมายถึงครอบครัวตัวกลมของผม มีเงินเข้าบัญชีมาร่วมแสน เป็นเงินตกเบิก พสร. ของครูแมวเขา
แต่เงินอะไรก็ช่าง มันดีทั้งนั้นแหละ
ข่าวร้าย คือ ร้านไอติมผัด ปิดกิจการแล้ว แพแตก...เจ้ามิว หลานครูแมว ที่ผมดึงตัวมาช่วยกู้กิจการคราวนั้น กลับไปทำงานสุราษฎร์
น้องเมีย แพ้ท้อง ทำต่อไม่ได้ โดยนิสัยส่วนตัวของเจ้ามิว ถ้าน้องเมียไม่มาเปิดร้าน มันก็ไม่ทำ...!! เอาสิ
.........ผม โดนหางเลข เพราะแผนทั้งหมด ผมเป็นคนวางแปลนให้เขา คราวที่ผมเข้าไปช่วยกู้กิจการครั้งก่อน
หลายคนคงคิดว่า ผมช่วยเพราะนั่นคือน้องเมีย
ตอบว่าผมช่วย เพราะนั่นคือ น้องสะใภ้ ครับ
.....ถ้าเป็นชาวบ้านชาวเมือง ลงทุนมือเติบไปถึง แปดแสนบาท (เฉพาะสองอย่างนี้นะ อย่างอื่นมีอีกหลายแสน)
แล้ววางแผนสะเพร่า สร้างเงื่อนไขของงานไปอิงกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เพราะไม่มีคนค้าน ....
หากพลาดพลั้งขึ้นมา ...ผมจะดูเฉย ๆ อาจเอามาแต่งนิทานเล่าพวกเราด้วยซ้ำ
วันหนึ่ง สิ่งที่ผมคาดไว้ก็เกิดขึ้นจริง และล้มเป็นโดมิโน่ แรงกว่าที่ผมคาด...
ผมควรจะดูเฉย ๆ มั๊ย
จากซีรีย์เรื่องยาวครั้งก่อน ผมโดดลงไปช่วยกู้กิจการเขา พอกะว่าเขาทรงตัวได้ ผมก็วางมือ ปล่อยให้เขาดำเนินกิจการต่อไป
ผมมาทำอะไรตามเรื่องตามราวของผม วิ่งรถรับส่งนักเรียน ตัดยาง ทำไม้ ขับแม็กโค ซ่อมคอม อยู่กับเมียกับลูก
กิจการของเขาก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ผมก็นิ่งนอนใจ เออ อย่างน้อยถึงจะไม่บูมเท่าช่วงแรก แต่ก็พอดึงทุนกลับมาได้มั่งล่ะวะ
แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น....
เขามือสมัครเล่น ทำเหยาะแหยะกับกิจการที่ลงทุนไปเกือบล้าน
ได้ยังไงวะ...!!! เงินเป็นล้าน ฐานะอย่างเรา ๆ มีโอกาสแตะต้องยอดเงินขนาดนั้นได้กี่ครั้งในชีวิต....
ออกเวรบ่ายสี่ เปิดร้านพลบค่ำ.... ขับรถรึเดินมาล่ะวะนั่น...
งานค้างานขายนะโว้ย ไม่ใช่ศิลปินวาดภาพริมถนน ที่จะติสแตกได้ตามใจชอบ นึกจะเปิดก็เปิด ตอนไหนก็ได้ตามใจฉัน
แต่นั่นมันกิจการของเขา เงินเขา จะทำยังไงก็เรื่องของเธอ ฉันช่วยแล้วนะ ไม่ได้กอดอกยืนดู ถึงเวลาต้องช่วยตัวเองบ้าง
ก่อนจะปิดกิจการ ทิ้งเครื่องมือและวัสดุราคาสี่ห้าแสนให้สูญเปล่า เขามีลูกค้าเข้าร้านวันละไม่เกิน 10 ถ้วย ....
แล้วก็ นั่งเล่นเฟสรอลูกค้า พอเห็นเงียบติดต่อกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง ก็ดับเครื่อง ปิดร้าน ....
แทนที่จะหาจุดบอด หาข้อบกพร่อง หาแคมเปญมาเอาใจ มาดึงลูกค้าเข้าร้าน ...
พูดได้คำเดียว ...ห่วยแตก.....
ปิดกิจการเฉย ๆ ผมคงไม่ปรี๊ดแตกหรอก แค่หมั่นใส้กับการบริหารที่ห่วยของเขาแค่นั้น
แต่เขา...คิดว่าเป็นเพราะการ"แพลนนิ่ง" ของผมในครั้งนั้น ผิดพลาด จนเขาไปไม่รอด
ผิดพลาดยังไง เพราะเขาต้องการให้ผมเป็น มือหลัก ของร้าน เป็นผู้จัดการ เขาเป็นเจ้าของ
เพราะผมทำ เขาวางใจได้ ลูกค้าเข้าวันหนึ่ง ๆ หลักร้อย ตอนอยู่ร้าน เคยทำตัวเลขถึงร้อยยีบห้า
แต่ผมกลับยกให้คนอื่น ยกให้เด็กซึ่งเป็นหลานเขามาสานต่อ
........ไอ้เจ้ามิวก็ช่างเหลือเกิน เข็นไม่ขึ้น....ปากอมอะไรอยู่ ไม่คุยกับลูกค้า นั่งคุ่ย..อยู่ได้
เขาเคยเปรยเรื่องนี้กับผม ว่า ต้องการให้ผมไปทำต่อ
ผมก็พยายามบอก ว่า ผมเข้าไปช่วยได้ชั่วคราว ผมมีทางไปของผมอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนั้น พักไว้ก่อน
เขาก็ยัง เสนอค่าตอบแทนให้ผม เดือนละเจ็ดพัน.... โถ... ยางตรูสองเช้าก็มากกว่าแล้ว
ผมปฏิเสธ....และถอนตัวออกมา นั่นคือความผิดของผมในความคิดเขา
เออ ผมผิดก็ได้ ว่าแต่ เงินใครล่ะ ของผมสักบาทมั๊ย ....เงินที่ได้มาจากการดับสูญของน้องชายผมนั่นน่ะ
เงินได้มาง่าย ๆ ก็น่าจะมีสติ มีสัมปชัญญะในการเอาออกมาใช้สักหน่อย นี่ใช้ยังกะสามล้อถูกหวย
..............
ตอนนี้ หากเป็นผม สิ่งที่ควรทำคือ ตัดเวรจ้างที่รับ ๆ เอาไว้ก่อนหน้า ขายเพื่อนไปซะสักเดือน
หาทำเลใหม่ ไปอยู่ศูนย์อาหารกลางคืนของมหาลัย ล็อกว่าง ๆ พอมี ค่าเช่าเดือนละพันเอง
หาเด็กมาทำ เอาเด็กมหาลัยนั่นแหละ พวกปีปลาย ๆ หรือพวกผีแอบ จบแล้วไม่ยอมไป มีเยอะไป
หาสักสองสามคน เป็นรีดันแดนชี่ พวกนี้มันคุมยาก จะเอาเป๊ะ ๆ กับมันไม่ได้ แต่หลัก ๆ ต้องมีอยู่คนนึง
แล้วลดราคา ลดปริมาณลงมาหน่อย ลืม ๆ กฏของเฟรนด์ไชน์ไปเสียบ้าง มาเล่นปริมาณแทนคุณภาพ
กันงบแต่งร้านให้ดูดี สักสามสี่หมื่นคงพอ เพราะศูนย์อาหารมันก็โรงอาหารดี ๆ นี่เอง แต่ขายของซอร์ฟ ๆ ของกินเล่นซะมากกว่า
เปิดตั้งแต่แดดร่มลมตก ไปจนดึกดื่น ช่วงใกล้สอบเปิดถึงตีสองตีสาม นักศึกษาทั้งมหาลัยเวียนเข้าเวียนออกทั้งคืน
..........
แนวคิดนี้ ผมเคยเสนอไปแล้ว แต่ถูกปฏิเสธทันควัน เพราะเขามีแนวของเขาอยู่แล้ว
ประมาณว่า ทำสินค้าให้มีระดับ ใครอยากเข้าถึงระดับ ต้องเข้ามาหาเขาเอง....
.........เอ่อ นั่นมันนักศึกษานะครับ ไม่ใช่หนุ่มสาวออฟฟิศ แล้วหล่อนขายไอติมนะ ไม่ใช่กาแฟแก้วละร้อย
เรื่องนี้ ไม่มีผลทางเศรษฐกิจกับผมหรอก แต่มันเสียความรู้สึก...โคด ๆ เลย