
ชออนุญาต คัดลอกมาให้อ่านอีกรอบครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเอามาจากเวปไหน
Scotch Whisky
สก๊อตวิสกี้ น้ำอมฤตบนเกาะอังกฤษ
กำเนิดสก๊อตวิสกี้
สก๊อตวิสกี้ (Scotch Whisky) เป็นสุราอหังการที่มีชื่อเสียงเรียงนามระบือลั่นก้องไปทั่วโลก มันไม่เพียงแต่มีสำคัญในด้านเศรษฐกิจต่อสก๊อตแลนด์เท่านั้นแต่ยังมีความหมายอย่างยิ่งยวด สำหรับประเทศสหราชอาณาจักรอีกด้วย อุตสาหกรรมการผลิตสก๊อตวิสกี้ ได้กำเนิดบนที่ราบสูงของสก๊อตแลนด์มาช้านาน และวิวัฒนาการหลักลงฐานมาจนถึงปัจจุบันอย่างมั่นคงอาจจะกล่าวได้ว่า สก๊อตวิสกี้สามารถวางตัวเป็นนักเลงขนาดเบิ้มยึดตลาดสุราในโลกนี้เป็นส่วนใหญ่ คำว่า Whisky เป็นรากศัพท์มาจากคำว่า Uisge beatha (ยูธ บีทธา) ซึ่งเป็นภาษา Gaelic (ภาษาแกลลิก) ที่เก่าแก่ภาษาแกลลิกเป็นภาษาที่ชาวเซลท์ (Celt) ในสก๊อตแลนด์ภาคเหนือใช้พูดกันซึ่ง มีความหมายแปลว่า "น้ำอมฤตแห่งชีวิต"
กำเนิดของสก๊อตวิสกี้มาจากพระในศาสนาคริสต์โดยพระในชนบทของประเทศอังกฤษแต่เก่าก่อน พระคุณท่านมิเพียงแต่จะเชี่ยวชาญหลักแหลมในหลักธรรมอย่างแตกฉานเท่านันแต่ยังเป็นเอกทัคคะ ในการต้มเหล้าเถื่อนอีกด้วย แต่สุราดังกล่าวก็แพร่หลายอยู่แต่ในชนบทเท่านั้นชาวเมืองและชาววังส่วนใหญ่ยังสนใจแต่เหล้าไวน์ กล่าวกันว่าสก๊อตวิสกี้เริ่มมีการหมักกลั่นด้วยระบบเครื่องกลั่นทันสมัยโดยนักอุตสาหกรรมมืออาชีพตั้งแต่ปี ค.ศ.1494 ทางภาคเหนือของสก๊อตแลนด์ แถบถิ่นที่ถูกเรียกขานว่า "ไอท์แลนด์" และเริ่มมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเกี่ยวกับสก๊อตวิสกี้ในปี ค.ศ. 1944
ประเภทของสก๊อตวิสกี้
สก๊อตวิสกี้แท้ที่เป็นเหล้าหลักจริงมีเพียง 2 ประเภทคือ
Malt Whisky (มอล์ทวิสกี้) เป็นวิสกี้สก๊อตที่หมักกลั่นจากวัตถุดิบประเภทข้าวบาร์เลย์ที่ถูกเพาะเป็น มอล์ทล้วน ๆ และถูกปรุงแต่งด้วยหัวเชื้อคอนเซนเตรต (Concentrate)
Grain Whisky (เกรนวิสกี้) เป็นสก๊อตวิสกี้ที่หมักกลั่นจากวัตถุดิบประเภทข้าวบาร์เลย์ที่เพาะเป็นมอล์ทส่วนหนึ่งนำ ไปผสมกับธัญญพืชอื่น ๆ
การทำสก๊อตวิสกี้
การทำสก๊อตวิสกี้ขั้นตอนในการผลิตก็เป็นไปตามลำดับขั้นตอนดังนี้
การเพาะมอล์ท (Malting) คือขั้นตอนการนำข้าวบาร์เล่ย์ปเพาะให้งอกเป็นมอล์ท
การบด การคลุก (Mashing) เป็นขั้นตอนต่อจากขั้นตอนที่ 1 โดยนำข้าวมอล์ทที่เพาะได้ไปทำการบดคลุก เพื่อผสมกับสัดส่วนวัตถุดิบอื่น ๆ ให้เข้ากัน
การหมัก (Fermentation) ขั้นตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 วิธีการคือ
- วิธีใช้กรดบังคับการแปรธาตุ แล้วใช้เชื้อช่วย
- แบบใช้มอล์ทโดยอาศัยน้ำย่อยบังคับการแปรธาตุแล้ว ใช้เชื้อโมลด ์ช่วยการหมักนี้เชื้อที่นำไปหมักจะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลและ จากน้ำตาล
เป็นแอลกอฮอล์
การกลั่น (Distillation) การกลั่นมี 2 แบบ คือการกลั่นครั้งเดียวต่อเนื่องออกมาเป็นสุราดีกรีสูง (Continous Still) และการกลั่นแบบสองครั้ง หรือแบบกลั่นทับ (Pot Still) การกลั่นเกรนวิสกี้จะใช้แบบต่อเนื่องหรือแบบทับก็ได้ แต่การกลั่นวิสกี้มอล์ทต้องใช้แบบกลั่นทับ หรือกลั่นแบบสองครั้ง เพื่อจะสงวนกลิ่นรสของข้าวมอล์ทไว้
การเก็บบ่ม (Ageing) หลักจากกลั่นแล้ว ก็ต้องทำน้ำเหล้าให้เหลือ 45-68 ดีกรีเพื่อนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก ซึ่งเนื้อไม้ในถังได้ถูกย่างไฟเป็นที่เรียบร้อยแล้วการเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กนี้ จะทำให้น้ำเหล้ามีรสหอมและกลิ่นควันไฟจาง ๆ
การปรุงแต่ง ๆ (Blending) ถึอเป็นขั้นตอนที่สำคัญสุดยอดตอนหนึ่งของการผลิตเหล้า การปรุงเหล้าถือว่าเป็นศิลปะที่ล้ำลึกนักปรุงแต่งจะเฟ้นเหล้าที่เก็บบ่มได้คุณภาพมาผสมกันตามสัดส่วน เข้ากับหัวเชื้อต่าง ๆ ผู้ปรุงแต่งล้วนมีความช่ำชองในการคัดเลือกสุรามอล์ทสุราเกรนที่จะนำมาคละเคล้า โดยไม่เคยมีใครยอมเปิดเผยสัดส่วนของการผสมให้ใครได้รู้
การบรรจุ ( Bottled) เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อยที่จะนำเหล้าออกจำหน่ายซึ่งต้องอาศัยความสะอาดน้ำเหล้าที่บรรจุขวด เหล้าแล้วจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงคุณภาพให้เป็นอื่นใดอีก
เหล้าทั้งสองประเภทของสก๊อตมอล์ทวิสกี้ได้ชื่อว่าเป็นเหล้าที่ดีเลิศ เหนือชั้นกว่าเกรนวิสกี้ เพราะมีความละเมียดละไมกลมกล่อมกว่าเชื่อกันว่าแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไหล ซึมผ่านลำเนาไพรและผ่านชะง่อนหินหลืบซอกที่อุดมด้วยแร่ธาตุล้วนมีส่วน อย่างมากที่บันดาลให้สก๊อตวิสกี้ทั้งสองเด่นผงาดเหนือวิสกี้อื่นใดในโลก ส่วนวิทยาการสมัยใหม่ในการหมักกลั่นเป็นเพียงองค์ประกอบที่เสริม ความละเมืยดละไมของเหล้าดังกล่าว
สก๊อตวิสกี้เมื่อหมักกลั่นและเก็บบ่มแล้วก่อนจะบรรจุขวดขายอย่างน้อย ต้องเก็บบ่ม 3 ปีขึ้น ไปถึง 5 ปี แต่การทำวิสกี้ใน ประเทศอื่น ๆ หลายแห่งได้มีกฏหมายของประเทศนั้น ๆ บังคับให้เก็บบ่มสุราที่จะทำวิสกี้ไว้ในถังไม้โอ๊กตั้งแต่ 3 ปี ถึง 5 ปี ซึ่งเป็นการกำหนดอายุของน้ำเหล้าที่เก็บบ่มให้เหมาะสมไม่อ่อน หรือแก่เกินไปแต่จำเพาะมอล์ทวิสกี้ ตำรายืนยันว่าควรเก็บบ่มตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และไม่มีกำหนดอายุความแก่ ยิ่งเก็บบ่มนานเท่าใดก็ยิ่งดีรสเหล้าเท่านั้น
กำเนิดอเมริกันวิสกี้
พูดได้เต็มปากเต็มคำไม่ต้องอายว่า อเมริกันวิสกี้เกิดมาพร้อมกับการกำเนิดชาติ อเมริกาคือเมื่อชาวอเมริกันเริ่มมีประเทศก็มีเหล้าวิสกี้โดยทันที จึงไม่ต้องไปสืบราวเรื่องให้ลำบากเหมือนชาติเก่าแก่อื่น ๆ ร้านขายเหล้าในยุคอเมิกันบุกเบิก มักถูกพวกคาวบอยเรียกว่า "ฮองกี้ท๊อกซาลูนส์" หรือร้านเหล้าเสียงห่านป่าร้องวิสกี้ยุคแรกที่ชาวอเมริกันดื่มกิน ได้แก่ "วิสกี้ดิบ" คำว่าวิสกี้ดิบคือวิสกี้ที่ยังไม่ได้ปรุงแต่ง รสชาติเรียกว่าพอต้มกลั่นจากเตาไฟก็หิ้วมาใส่ขวดขายได้เลยรสชาติทั้งกระด้าง ทั้งบาดคอ และ ขื่นขมสารพัด แต่คาวบอยทั้งหลายก็ถูกใจ
กรรมวิธีการทำอเมริกันวิสกี้
เหล้าวิสกี้ทำจากธัญญพืชนานาพันธุ์ เช่น ข้าวมอล์ทของบาร์เล่ย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวฟ่าง โดยการนำข้าวไปบดแล้วนึ่งแล้วหมักด้วยเชื้อยีสต์ เมื่อส่าได้ที่ก็ทำการกลั่นด้วยเครื่องระบบต่อเนื่อง (Pantent Stills) แต่ถ้าเป็นมอล์ทวิสกี้ก็ต้องกลั่นด้วยเครื่องกลั่นแบบกลั่นทับ (Pot Stills) อเมริกันวิสกี้จะกลั่นด้วยเครื่องกลั่นระบบต่อเนื่องออกมาเป็นแอลกอฮอล์ 95 ดีกรี จากนั้นก็ไปลดดีกรีโดยการผสมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ ให้เหลือ ให้เหลือ 40-50 ดีกรี แล้วเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กนานกี่ปีนั่นขึ้นอยู่กับชนิดของสุรา หรือประเภทของวิสกี้นั้น ๆ เมื่อเก็บได้ที่ก็นำออกผสมปรุงแต่ง และบรรจุขวดขาย
ประเภทของวิสกี้
ประเภทของอเมริกันวิสกี้ถูงแบ่งโดยกฏหมายสรรพสามิตของสหรัฐ ประเภทของอเมริกันวิสกี้แบ่งออกได้ดังนี้
ประเภทเบอร์เบิ้นวิสกี้ เป็นวิสกี้ที่กำเนิดที่มลรัฐเคนตักกี้ โดยเป็นวิสกี้ที่ดีกรี ไม่เกิน 80 ดีกรี และมีส่วนผสมของข้าวโพด 51 % สุรานั้นมีการเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กเกินกว่า 4 ปี ถังไม้โอ๊กที่เก็บบ่มเป็นถังไม้ที่ถูกย่างไฟแล้วด้วยถ่านหินชนิดพิเศษเมื่อ เก็บบ่มได้ที่ก็คัดสุรามาทำการปรุงแต่งด้วยเครื่องหอมและหัวเชื้อต่าง ๆ แล้วบรรจุขวดขาย วิสกี้เบอร์เบิ้นแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ รวม 2 ชนิด คือ
1. เบลน สเตรซท์ เบอร์เบิ้นวิสกี้เป็นวิสกี้เบอร์เบิ้นชนิดเมื่อเก็บบ่มได้ที่แล้ว ระหว่างปรุงแต่ง (Blending) ต้องผสมกับวิสกี้อย่างอื่น หรือหัวเชื้อวิสกี้อย่างอื่นที่ไม่ใช่เบอร์เบิ้นวิสกี้ โดยปรุงออกมาให้มีรสค่อยข้างหวาน
2. สเตรซท์ เบอร์เบิ้นวิสกี้ เป็นวิสกี้เบอร์เบิ้นซึ่งเมื่อเก็บบ่มได้ที่แล้วระหว่างเบลนดิ้ง หรือระหว่างการปรุงสุราต้องปรุงผสมออกมาให้มีรสหวาน เป็นวิสกี้ที่ปรุงแต่งเครื่องหอมมากกว่าประเภทแรก และมีรสจัดและแรงกว่าประเภทแรกเช่นเดียวกัน
ประเภทคอร์นวิสกี้ หรือวิสกี้ข้าวโพดจะแตกต่างกว่าวิสกี้เบอร์เบิ้น โดยแน่นอน เพราะวิสกี้เบอร์เบิ้นใช้ข้าวโพด เป็นวัตถุดิบ 51 % แต่วิสกี้ข้าวโพดต้องใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบไม่ต่ำกว่า 80 % และเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กที่ไม่ได้เอาไฟเผาหรือไม่ต้องมีการเก็บบ่มใน ถังไม้โอ๊กเลย ซึ่งใกล้เคียงกับวิสกี้ดิบที่สมัยอเมริกันเริ่มบุกเบิก แถมยังเป็นเหล้าที่ปราศจากสี
ประเภทไรย์วิสกี้ เป็นวิสกี้ที่ใช้ข้าวไรย์เป็นวัตถุดิบ 51 % กลั่นด้วยเครื่องกลั่นต่อเนื่อง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ แบบไรย์และสเตรซท์ไรย์ สาระความแตกต่างก็เช่นเดียวกับเบอร์เบิ้น คืออยู่ในช่วงระหว่างปรุงแต่งรสชาติของเหล้าพื่อบรรจุขวดขาย
Brandy
เหล้าบรั่นดี ได้รับการเอ่ยขานยกย่องว่าเป็นยอดเหล้าของสุรากลั่นทั่งหมดเรียกว่าเลิศล้ำเหนือกว่า สุรากลั่นตระกูลอื่นใดในโลกทั้งสิ้น วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเหล้าบรั่นดีนั้นได้แก่องุ่นเพราะปลูกง่ายหาง่ายต้นทุนไม่แพง และ ให้ผลผลิตทางด้านสุรา มาก รสชาติก็เยี่ยม เหล้าบรั่นดีตระกูลคอนยัคและเหล้าตระกูลอาร์มายัค หรือเหล้า บรั่นดีที่ผลิตตามเหลี่ยมมุม อื่นของโลก ก็ล้วนใช้องุ่นในการผลิตบรั่นดีทั้งสิ้นแต่ถ้าใช้ผลไม้สดประเภทอื่น ๆ ในการทำเหล้าบรั่นดีเหล้าที่ผลิตได้จะถูกเรียกว่า ฟรุ้ท บรั่นดี (FRUIT BRANDY) ผลไม้สดต่าง ๆ ที่นิยมนำมาทำ การหมักกลั่นฟรุ้ทบรั่นดีได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล ลูกท้อ ลูกแพร เชอรรี่ สตอเบอร์รี่ รัสเบอรรี่ และแบล๊คเบอร์รี่
"กรรมวิธีการผลิตเหล้าบรั่นดี"
การทำเหล้าบรั่นดี วัตถุดิบคือผลไม้ชนิดต่าง ๆ แต่ผลไม้ที่สะดวกและนิยมนำมาทำเหล้า บรั่นดีมากที่สุดคือผลองุ่น ซึ่งมีขั้นตอนการผลิตดังนี้
ก่อนหมัก
นำผลไม้หรือองุ่นที่สุกจัดนำไปบดพอละเอียด (เพราะผลไม้ยิ่งสุกก็ยิ่งมีความหวานสูง ก็จะทำให้มีการเปลี่ยน น้ำตาลมาเป็นแอลกอฮอล์ได้มาก) เสร็จแล้วผสมกับเชื้อยีสต์ที่เหมาะ สมในการบังคับการแปรธาตุเชื้อยีสต์ที่ว่านี้ถ้าใช้องุ่นเป็นวัตถุดิบ ได้แก่ แซคโกฮาโรไมซีส อีลลิปโซลด์ เบอร์ 106 (Sacoharomyces Ellipsold No.106) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เลี้ยง ไว้ในห้องแล๊บ และทำการขยายพันธุ์ตาม มาตราส่วน ที่ต้องการแล้วนำมาผสมคลุกเคล้ากับ น้ำผลไม้ที่บดได้เพื่อให้เกิดการหมักและมีการบังคับการแปรธาตุ
การหมัก
การหมักส่าเพื่อทำเหล้าบรั่นดี จะน้องมีการหมักสองขั้นตอนด้วยกัน คือการให้เกิดการบังคับการแปรธาตุ
การหมักขั้นตอนที่หนึ่ง การหมักในระยะแรกใช้เวลาประมาณ 10 วัน เพื่อที่จะทำให้น้ำตาล ใน ผลไม้เกิดการแปรธาตุ เป็นแอลกอฮอล์เสียก่อน การหมักในขั้นตอนที่หนึ่งนี้ ให้ใช้อุณหภูมิระดับ เดียวกับการหมัก สุราชนิดอื่น ๆ คือประมาณ 25-30 องศาเซ็นติเกรดเมื่อได้ที่ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้จึงคั้นเอาเปลือกองุ่นหรือเปลือกผลไม้ออกให้หมด แล้วนำผลไม้ไปใส่ถังหมักใหม่อีกครั้งเป็นการหมักครั้งที่สอง
การหมักขั้นตอนที่สอง การหมักในขั้นตอนนี้ ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือนขึ้นไป โดย ให้อุณหภูมิในถังส่าอยู่ในระดับ 10-15 องศาเซ็นติเกรด ในบางประเทศผลิตเหล้าบรั่นดีอาจใช้เวลา การหมักส่าใน ช่วงนี้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี จึงจะนำส่าไปกั่นเป็นเหล้าบรั่นดี การหมักในขั้นตอนที่สองนี้ ส่าผลไม้ที่หมักได้ก็คือ ไวน์นั้นเองกรรมวิธีการทำบรั่นดีเริ่มแรกคล้ายไวน์มาก ผิดเพี้ยนกันบ้างเล็กน้อย แต่ผลสุดท้ายที่ได้ออกมา แตก ต่างกัน สุรา บรั่นดีต้องนำส่าดังกล่าวไปกลั่น แต่ไวน์ต้องนำไปพาสเจอร์ไรซ์ และปรุงแต่งออกจำหน่าย
การกลั่นสุราผลไม้เป็นสุราบรั่นดี
เมื่อการหมักส่าไวน์ได้ที่แล้ว ก็นำส่าไวน์ดังกล่าวไปกลั่นโดยใช้เครื่องกลั่นระบบกลั่นทับ (Pot Stills) กลั่นออกมาให้ได้แรงแอลกอฮอล์ 70-80 ดีกรีระบบยุโรป สุราที่กลั่นได้จำเป็นต้องคัดเลือกเกรด คือ ตัด หัว - หาง ออกไป และสุราที่ดีในช่วงกลางก็ต้องคัดสุราที่เหมาะสมไปทำการเก็บบ่มส่วนพวกที่ยังใช้ไม่ได้ ก็จะนำกลับไปผลมส่าที่จะกลั่น เพื่อกลั่นซ้ำอีกหน
การเก็บบ่ม
เมื่อคัดสุราที่เหมาะสมจะนำไปเก็บบ่มได้แล้ว ก็นำสุราดังกล่าวไปลดดีกรีเหลือ 45-65 ดีกรีระบบยุโรปเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กเป็นระยะเวลานาน ๆ ยิ่งเก็บนานเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลดีกับสุราบรั่นดีเท่านั้น เมื่อสุราบรั่นดีเก็บไว้ใน ถังโอ๊กนาน ๆ ก็จะมีสีเหลืองทองหอมกลิ่นไม้เผาและหินไฟ จากนั้นก็ถึงขั้นคัดสุราออกมาทำการปรุงแต่งบรรจุขวดจำหน่าย
Tequila เหล้าตากีล่า น้ำเมามือปืนจังโก้
เหล้าตากีล่า เป็นเหล้ากลั่นที่มีชื่อเสียงอีกตระกูลหนึ่งที่ควรจะจัดอยู่ใน จำพวกเหล้า พิสดารและเป็นสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศแม็กซิโก ดินแดนของจังโก้ชักปืนไวที่ว่าพิสดาร เพราะเหล้าตัวนี้ใช้วัตถุดิบในการผลิตแผกเพี้ยนไปกว่าขบวนเหล้าทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเป็นเหล้าพื้น ๆ ที่ชนทั่วไปรู้จักเช่นพวกเหล้าวิสกี้ทุกคน ก็กระจ่างใจดีว่าใช้วัตถุดิบจำพวก ธัญญพืชมาทำการผลิต วัตถุดิบพิสดารที่นำมาทำเหล้าตากีล่าก็คือ ต้นตะบองเพชรกลางทะเลทรายในประเทศแม็กซิโก เหล้าตากีล่าถ้าหมักกลั่นมาจากน้ำของต้นตะบองเพชรเพียงอย่างเดียว ก็คงยังไม่ถึงขั้นพิสดาร และแปลกประหลาด มากนักแท้จริง แล้วการทำเหล้าตากีล่าใช้วัตถุดิบ ที่หายากหา เย็นถึง 4 อย่าง ด้วยกัน ซึ่งแต่ละอย่างแทบจะหาจากที่อื่นไม่ได้เลย นอกจากกลางทะเลทราย เช่นนี้เองจึงถึอได้ว่า เหล้าตากีล่าเป็นเหล้าพิสดาร
--------------------------------------------------------------------------------
วัตถุดิบการทำเหล้าตากีล่า
เรื่องวัตถุดิบในการทำเหล้าตากีล่า ว่าไปแล้วก็ช่างเหลือเชื่อเหมือนหนังจีนกำลังภายในวัตถุดิบ 4 ชนิดที่นำมาหมักส่าก็คือ
น้ำจากต้นตะบองเพชรกลางทะเลทราย ตะบองเพชรที่จะนำมาคั่นน้ำเพื่อเอาไปทำเหล้าตากีล่า จะต้องเป็นตะบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน เพราะช่วงระยะดังกล่าวถึอว่าความเติบโตและความสมบูรณ์ของต้นตะบองเพชรอิ่มเอิบเต็มที่ น้ำที่คั้นได้จึงมีคุณค่า กว่าช่วงอื่น ๆ ลองคิดดูว่าต้นตะบองเพชร ออกดอกผลยากเย็นขนาดไหนแล้วการหาวัตถุดิบนี้ก็ต้องพลอยลำบากแสนเข็ญไปกับต้นไม้ด้วย แต่วัตถุดิบตัวที่สองกลับหายากยิ่งกว่าชนิดแรก 100 เท่า 1,000 เท่า
น้ำหวานจากต้นเซ็นจูรีพลานท์ คำว่าเซ็นจูรี คำแปลก็ง่าย ๆ คือศตวรรษหรือ 100 ปี ดังนั้นต้นเซ็นจูรีพลานท์ก็ต้องแปลว่าต้นไม่ศตวรรษ ที่ได้ชื้อว่าต้นไม้ศตวรรษเพราะเป็นต้นไม้ที่ 100 ปีจะมีดอกครั้งหนึ่ง และต้นเซ็นจูรีพลานท์นี้จะมีเฉพาะในประเทศแม็กซิโกเท่านั้นการจะเอาน้ำหวาน ของต้นเซ็นจูรีพลานท์มาทำการหมักส่าเพื่อกลั่นเหล้าก็จะต้องคอยให้ต้นเซ็นจูรีพลานท์ ออกดอกก่อนกว่าจะนำน้ำหวานจากต้นเซ็นจูรีพลานท์มาทำเหล้าตากีล่าได้จะต้องรอเป็น 100 ปีทีเดียว
ต้นยาดำ คนในเมืองไทยที่รู้จักต้นยาดำมีออกถมแต่ต้นยาดำในเมืองไทยกับต้นยาดำที่ชาวแม็กซิกัน นำไปทำเหล้าตากีล่าเป็นต้นยาดำคนละประเภท ต้องเป็นต้นยาดำพันธุ์พิเศษที่เรียกว่า "อเมริกาแอลโอ" ซึ่งขึ้นอยู่ละแวกทะเลทรายในอเมริกากลาง
ดอกโคมของต้นเมซคอล ต้นเมชคอลก็มีปลูกอยู่แถว ๆ แม็กซิโกเหมือนกันและวัตถุดิบที่จะนำมาทำเหล้าตากีล่า ก็จะต้องเป็นดอกโคนสีน้ำเงินของต้นเมชคอล ซึ่งกล่าวกันว่า 10-12 ปี จึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง
ดอกเมชคอลประหลาดกว่าดอกไม้อื่น ๆ ในโลกทั้งหมดเพราะเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเฉพาะไส้ดอกไม้มีความยาวถึง 20-30 ฟุต
ทั้งหลายทั้งปวงนี้แหล่ะที่ชาวแม็กซิโกนำมาทำเป็นเหล้าตากีล่าแม้ว่าวัตถุดิบของเหล้าตากีล่าที่ร่ายยาว มาให้ท่านเห็นนี้ ฟัง ๆ ดูจะมีรสชาติค่อนข้างขื่น แต่ทว่าพอผลิตเป็นเหล้าตากีล่าแล้ว กลับกลายเป็นยอดเหล้าชั้นดี โดยเฉพาะตากีล่าประเภทขาว สีใสสดเหมือนตาตั๊กแตนมีหมวกแม็กซิกันปะติดกับจุกเหล้า เป็นเหล้าอีกขนาดหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับนำมาผสมสูตรเหล้า-คอกเทลได้เยี่ยมที่สุดของโลก
--------------------------------------------------------------------------------
กำเนิดเหล้าตากีล่า
เหล้าตากีล่ามีแหล่งกำเนิดอยู่ในแผ่นดินแม็กซิโก คนป่าชาวพื้นเมืองทีมีชื่อว่าเผ่าแอสแทค เป็นผู้ผลิตเหล้าหมักขึ้นมาชนิดหนึ่งชื่อว่าพูลดี้เหล้าหมักชนิดนี้เมาได้สะเด็ดยาดวัตถุดิบที่ใช้หมักก็ได้แก่ ดอกโคมของต้นเมซคอล เมื่อโคลัมบัสพาลูกเรือบุกอเมริกากลาง ลูกเรือต่างติดอกติดใจเหล้าพูลดี้ของชาวป่าภายหลังสเปนยึดแม็กซิโกก็ได้นำความรู้เกี่ยวกับการกลั่นเหล้ามากลั่น เหล้าพูลดี้เป็นเหล้าตากีล่า
--------------------------------------------------------------------------------
วิธีทำเหล้าตากีล่าในปัจจุบัน
วิธีทำเหล้าตากีล่าก็เหมือนเหล้ากลั่นประเภทอื่น ๆ ทั่วไป เขาทำกัน คือวัตถุดับมาหมักด้วยเชื้อยีสต์การหมักส่าตากีล่าต้องหมักให้เกินกว่า 24 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะวัตถุดับทั้ง 4 ชนิดที่นำมาทำเหล้าตากีล่า มีความหวานไม่พอ ดังนั้นการหมักส่าก็จะต้องเติมน้ำเชื่อมน้ำตาลหรือน้ำอ้อยลงไปช่วยเพื่อให้เชื้อยีสต์สามารถทำปฏกิริยาบังคับ การแปรธาตุในน้ำส่าได้ การหมักส่าตากีล่ามีกรรมวิธีเยี่ยงเดียวกับเหล้าบรั่นดี คือต้องมี การหมักถึง 2 ครั้ง 2 หน เมื่อผ่าส่าจนได้ที่แล้วก็มาทำการกลั่นเครื่องกลั่นชนิดกับทับให้มีแรงแอลกอฮอล์ 52-53 ดีกรีระบบยุโรปจากนั้นก็นำไปเก็บบ่มในถังโอ๊กให้นาน 9 เดือนขึ้นไป เวลาจะปรุงแต่งบรรจุขวดก็อาจจะมาลดดีกรี หรือบางยี่ห้อไม่ลดดีกรีเลย
เหล้าตากีล่าที่ปรุงแต่งบรรจุขวดที่ทำออกมา 2 ประเภทด้วยกัน คือประเภทสีขาวบริสุทธุ์สดใน และ ประเภทที่สีทองนอกจากนั้น ยังมีเหล้าตากีล่าชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า ตากีล่าประเภทอะเนโว้ ซึ่งจะต้องเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จึงจะนำมาปรุงแต่งบรรจุขวดขายได้
--------------------------------------------------------------------------------
วิธีดื่มเหล้าตากีล่าให้อร่อย
เหล้าตากีล่าชนิดพิเศษหรือชนิดอะเนโว้ ใช้ดื่มโดยวิธีเดียวกับเหล้าวิสกี้ คือจะดื่มแบบเพียว ๆ ผสมน้ำแข็งที่เรียกว่า ออนเดอร์ร็อคก็ได้หรือจะผสมน้ำผสมโซดาเติมน้ำแข็งก็ได้แต่ถ้าให้ดีควรมีส้มหรือ มะนาว ฝานชิ้นบาง ๆ เสียบไว้ข้างแก้วเหล้าด้วย
บางคนดื่มเหล้าตากีล่าพิสดารกว่านี้ คือดื่มเพียว ๆ ตามด้วยเกลือป่นเหยาะตามเข้าไปในปากอีกนิดหนึ่งแล้วบีบมะนาวใส่ปากอีก 3-4 หยด ทำให้เกิดความหอมหวามความอร่อยอย่างประทับใจ เหล้าตากีล่าชนิดขาว และชนิดสีทอง โดยปกตินักดื่มทั่วไปมักจะนำไปผสมเป็นเหล้าคอกเทลเหมือนกับรัมขาว สูตรที่ระบือลือชื่อที่สุด ได้แก่ตากีล่าคอกเทลสูตรมาร์การิต้า ซึ่งผสมง่าย ๆ คือนำแก้วคอกเทลเสียบด้วยมะนาวฝาน เติมแกลือลงในแก้วเติมมะนาว เติมเหล้าตากีล่าและเติมน้ำตาลลงไปนิดหนึ่งก็จะกลายเป็นคอกเทลสูตรมาร์การิต้าทันที