เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
กันยายน 12, 2025, 04:25:48 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อสงสัยครับ ... อายุเหล้า  (อ่าน 62331 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ป้อมทอง พรานชุมไพร
ดับบาป ด้วยบุญปืน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 780
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6885


นรชาติวางวาย สถิตย์ไว้ แต่ความดีประดับไว้โลกา


« ตอบ #75 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 08:48:50 PM »

เอาเป็นกระสายเล็ก ๆ  น้อย ๆ

ตากีล่า (Tequila)

    ตากีลา เป็นเหล้าสีขาว กลิ่นแรง หมักจากพืชที่เรียกว่า Mezcal ผลิตในประเทศเม็กซิโก ปกติตากีลาจะมีสีขาว แต่บางชนิดมีสีเหลืองทองจากการเก็บบ่มในถังไม้ ปกติชาวพื้นเมืองเม็กซิโก นิยมดื่มเหล้าตากีลาโดยไม่ผสม หากแต่ก่อนดื่มจะหยิบเกลือใส่ปาก บีบมะนาวตาม แล้วจึงยกเหล้า ขึ้นดื่ม เพื่อให้รสชาติของเหล้าคลุกเคล้ากับเกลือและมะนาวในปาก ในปัจจุบันนิยมนำตากีลามาทำเครื่องดื่มผสม เช่น Tequila Sunrise, Margarita เป็นต้น
   เหล้าตากีลาที่รู้จักกันดีในประเทศไทยก็จะมี Olmeca, Cuervo, Sauza ครับ   

พืชที่ว่าดังกล่าว   น่าจะเป็นพืชประเภทกระบองเพชรชนิดหนึ่ง    ที่ชอบกินส่วนมากจะเป็นเจ้าหมวกทอง
                         
วอดก้า (Vodka)     

    วอดก้า เป็นเหล้าสีขาวใส มีกลิ่นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก ดีกรี 40-50 ต้นกำเนิดอยู่ในรัสเซียและโปรแลนด์ สมัยก่อนไม่เป็นที่รู้จัก แต่ในปัจจุบันเป็นเหล้าที่นิยมกันมากครับ เป็นเหล้าที่หมักจากข้าวหรือมันฝรั่ง ผ่านการกรองและดูดกลิ่นจนเหลือสีเจือปนและกลิ่นน้อยที่สุด
   คำโฆษณาที่ว่า " It will leave you breathless " คือเมื่อดื่มวอดก้าแล้วจะไม่มีกลิ่นติดค้างเมื่อหายใจ เครื่องดื่มผสมวอดก้าที่เป็นที่รู้จักก็มี Screw Driver, Bloody Mary, Vodka Martini เป็นต้นครับ
   ส่วนเหล้าวอดก้าที่รู้จักกันดีในประเทศไทยก็มี Larios, Wyborowa, Borzoi , Stolighinaya   

เหล้าวอดก้า    ที่เพื่อนผมชอบนำมากินกับคือ    สโตลินายา  กับ  แอปสลูด     

จิน (Gin)     

    จิน เป็นเหล้าสีขาว มีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ ทำมาจากการกลั่นข้าวและผสมกลิ่นรสชาติของสมุนไพร และผลจูนิเปอร์ เป็นที่นิยมกันมากในฮอลันดา ปัจจุบันผลิตกันในหลายๆประเทศ กลิ่นและรสชาติก็แตกต่างกันไป เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีการผลิตและส่วนผสม
   จินที่ผลิตจากประเทศฮอลันดา รสจะเข้มข้นมาก นิยมดื่มโดยไม่ผสม แต่ควรแช่ให้เย็นจัด จินจากอังกฤษและอเมริกา นิยมดื่มเป็นเครื่องดื่มผสม ที่รู้จักกันแพร่หลายเช่น Gin Tonic, Tom Collins, Martini
   ส่วนจินที่รู้จักกันในประเทศไทย เช่น Beefeater, Gordon,Gilbey's ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้คำว่า London Dry Gin 

กินเหล้ายีน   สักสองแก้ว  แล้วจูบปากกับสาว          ปากหอมสดชื่น                                                                                           

บรั่นดี (Brandy)
   
   บรั่นดี เป็นเหล้าที่นิยมกันมาก ได้จากการหมักองุ่นให้เป็นไวน์(wine)แล้วจึงนำมากลั่นเป็นบรั่นดี จากนั้นนำไปเก็บบ่มให้ได้ สี กลิ่น รส ที่ดีครับ บรั่นดีที่มีขายตามท้องตลาด สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท
1. บรั่นดีพื้นเมือง (Domestic Brandy) เช่น Regency Brandy,German Brandy.
2. บรั่นดีมาตรฐาน (Regular Brandy) ส่วนมากเป็นบรั่นดีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
3. บรั่นดีเกรดสูง (Premium Brandy) เป็นบรั่นดีราคาแพงที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กเป็นเวลานาน โดยระบุคุณภาพเป็นอักษรย่อ หรือชื่อพิเศษ เช่น คอนยัค(Cognac) หรือ (Armagnac)

ที่ชอบมากเป็นพิเศษของผม    ต้อง  พะตรา   XO  (ไม่มีตราดังกล่าวก็กินได้นะครับ)

ข้อห้ามในการดื่มบรั่นดีคือ   ห้ามผสมโซดาเด็ดขาด    บรั่นดีต้องกินเพียว  ตบด้วยน้ำ
 
บรั่นดีผลไม้ (Fruit Brandy)
   
   บรั่นดีผลไม้ คือ บรั่นดีที่ทำจากผลไม้อื่นๆที่ไม่ใช่ผลองุ่น ซึ่งจะให้กลิ่นรสแตกต่างกันไปครับ แบ่งเป็น 2 ชนิดด้วยกัน
1. บรั่นดีผลไม้สีขาว (White Fruit Brandy) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ โดยไม่ต้องบ่มในถังไม้ จะได้กลิ่นหอม และรสของผลไม้นั้นๆ นิยมแช่ให้เย็นแล้วดื่มโดยไม่ผสม หรือนำไปผสมในค็อกเทลต่างๆก็ได้
2. บรั่นดีผลไม้ที่มีสี (Colour Fruit Brandy) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ แล้วนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก ผลไม้ที่นิยมนำมากลั่นก็มี แอปเปิ้ล,เชอร์รี่,พลัม,แพร์,ราสเบอร์รี่ ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป เช่น Apple Brandy, Calvados, Apple Jack, Kirsch, Poire William และอีกมากมาย ซึ่งอาจเรียกบรั่นดีผลไม้ประเภทนี้ว่า "Eau-de-vie"

 
เหล้าหวาน(Liqueur or Cordial)
   
   Liqueur และ Cordial มีความหมายคล้ายกันครับ ส่วนใหญ่คำว่า Liqueur มักจะหมายถึงเหล้าหวานของประเทศแถบยุโรป ส่วน Cordial หมายถึงเหล้าหวานทางสหรัฐอเมริกา
   เหล้าหวาน เป็นการผสมสุราชนิดใดก็ได้กับความหวาน และเพิ่มสี กลิ่น รสลงไป ซึ่งมาจากผลไม้ สมุนไพรหรือเครื่องเทศ จะเห็นว่าเหล้าหวานมีสีต่างๆมากมาย อาจดื่มเปล่าๆโดยผสมน้ำแข็ง ผสมค็อกเทลให้มีสีสวยงาม

เหล้าพวกนี้เหมาะที่จะใส่น้ำแข็งให้สาว ๆ  ดื่ม   กินง่าย   เมาง่าย   อิอิ
 
วิสกี้ (Whisky)                                                                                           

       วิสกี้ คือสุรากลั่นที่ทำจากข้าวชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือหลากหลายชนิดก็ได้ โดยนำมาหมักแล้วกลั่นให้มีดีกรีสูงขึ้น จากนั้นนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กเพื่อให้ได้สี กลิ่น รสที่ดีขึ้น แต่ก่อนจะนำมาบรรจุขวด บางชนิดยังนำไปปรุงแต่งสี กลิ่น รสอีกครั้ง เพื่อให้ได้มาตรฐานตามความนิยมของผู้บริโภค
   วิสกี้ที่นิยมกันมาก นอกจากวิสกี้ของท้องถิ่นแล้ว วิสกี้จากต่างประเทศที่นิยมกันมากก็มี Scotch Whisky,Irish Whisky,American Whisky,Canadian Whisky ซึ่งก็จะมีเอกลักษณ์ในด้าน กลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกันออกไปครับ               

วิสกี้  มีหลากหลายรูปแบบในการดื่ม     ไม่ขออธิบายก็แล้วกัน

 แอพเพอริทิฟ(Aperitif)


    แอพเพอริทิฟ คือเหล้าที่นิยมดื่มก่อนอาหาร เป็นเครื่องดื่มเก่าแก่ จัดอยู่ในประเภทเหล้ายา นิยมมากในประเทศฝรั่งเศส อิตาลี ทำจากเหล้า เหล้าองุ่น สมุนไพรและเครื่องเทศ แบ่งได้ 3 ชนิด
1. เวอร์มุธ (Vermouth) เป็นเหล้ายาทำจากรากไม้ รากยา และเครื่องเทศ รสชาติคล้ายๆยาบำรุงเลือดลมของไทย มีหลายยี่ห้อ เช่น Martini,Cinzano,Barbero,Dubonet,Pimm's No.1 เป็นต้น
2. บิตเตอร์ (Bitter) เป็นเหล้ายาที่มีรสขม นิยมดื่มแก้โรคกระเพาะ และช่วยย่อยอาหาร บางชนิดขมมาก แต่บางชนิดก็ขมอมหวานเช่น Campari,Fernet,Branca,Angostura Bitter
3. อนิซ (Anis) เป็นเหล้ายาสีเหลืองใสทำมาจากเมล็ดของ Anis มีกลิ่นหอมเย็นๆ นิยมดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น Pernod,Ricard,Pastis
   เหล้าแอพเพอริทิฟ นอกจากจะนิยมนำมาดื่มเพื่อเป็นยาแล้ว ยังนิยมนำไปทำเครื่องดื่มผสมอื่นๆอีกมากมาย

 ไวน์ (Wine)

   
      ไวน์ หรือที่เรียกว่า เหล้าองุ่น เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย แบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้ครับ
1. Table Wine หรือ Still Wine คือไวน์ที่หมักจากองุ่น โดยไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป ไม่มีแก๊ส ดีกรีที่นิยมก็ 10-13 ดีกรี นิยมดื่มในทุกโอกาส แต่ส่วนใหญ่จะดื่มประกอบอาหาร เพื่อเจริญอาหารและชูรสชาติของอาหาร มี 3 สี
- ไวน์แดง (Red Wine) จะมีตั้งแต่สีแดงอ่อน ถึงแดงเข้ม ขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่นที่นำมาหมัก และระยะเวลาในการหมัก ส่วนใหญ่ไวน์แดงจะมีรสฝาด และให้มีรสหวานน้อยมาก เรียกว่า Dry นิยมดื่มโดยไม่แช่เย็น
- ไวน์ขาว (White Wine) จะมีตั้งแต่เหลืองซีดจนถึงเหลืองทอง ลักษณะทั่วไปจะมีรสอ่อน กลิ่นน้อย ความหวานมีตั้งแต่หวานน้อย จนถึงหวานมาก ไม่มีรสฝาด นิยมดื่มแบบแช่เย็นครับ
-ไวน์ชมพู (Rose Wine) จะมีสีตั้งแต่ชมพูอ่อนจนถึงเกือบแดง ไวน์สีชมพูจะมีลักษณะระหว่างไวน์ขาวกับไวน์แดง คือมีความฝาดเล็กน้อยและมีรสเปรี้ยวอมหวาน จึงเป็นที่นิยม เพราะดื่มง่าย และนิยมแช่เย็นก่อนดื่ม
2. Sparkling Wine คือไวน์ที่มีแก๊ส จึงทำให้มีรสซ่า มีทั้งสีขาว ชมพูและแดง Sparkling Wine ใช้กรรมวิธีในการหมักไวน์ซ้ำเป็นครั้งที่สองภายในขวด และเก็บรักษาแก๊สนี้ไว้ จึงทำให้เกิดรสซ่า เป็นที่นิยมกันมาก จึงมีการจดลิขสิทธิ์ไว้ในชื่อ" cham pagne" ของฝรั่งเศส ส่วนไวน์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีคล้ายคลึงกันจะใช้คำว่า"Sparkling Wine" แชมเปญนิยมดื่มเพื่อแสดงความยินดีต่อกัน เสิร์ฟโดยแช่เย็นจัด
3. Fortified Wine คือไวน์ที่เพิ่มแอลกอฮอล์ให้สูงประมาณ 18-19 ดีกรี จะมีกลิ่น รส และแอลกอฮอล์มากกว่าไวน์ธรรมดาแช่เย็นเพียงเล็กน้อยก่อนดื่มครับ 

ไวน์ที่ชอบสำหรับส่วนตัวผม     ชอบไวน์สีแดงครับ   ระดับแอลกอฮอล์ต้อง  ๑๒.๕ ขึ้นไป 


                                                             
รัม (Rum)


    รัม เป็นเหล้าที่กลั่นจากอ้อยหรือกากน้ำตาล ผลิตมากตามหมู่เกาะฝั่งทะเลคาริเบียน ซึ่งปลูกอ้อยกันมาก แต่ก็มีผลิตจำหน่ายกันหลายประเทศเช่น Puertorico,Jamaica,Demeraran,Barbados เป็นต้น
รัมแยกตามความนิยมเป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1. รัมขาว (White Rum) เป็นรัมที่มีสีใส บางชนิดไม่ต้องเก็บบ่ม แต่บางชนิดต้องเก็บบ่มในถังไม้เพื่อให้กลิ่นรสดีขึ้น บางครั้งเรียกว่า Silver Rum เหมาะสำหรับนำไปผสมค็อกเทลที่ไม่ต้องการให้สีเปลี่ยน
2. รัมทอง (Gold Rum) เป็นรัมที่มีสีเหลืองใส ได้จากการเก็บบ่มในถังไม้เพื่อให้เกิดสี หรือผสมสี กลิ่น รสชาติ ด้วยคาราเมล (Caramel) ที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาล เป็นสีเหลืองทอง เพื่อให้ได้เหล้ารัม ที่มีกลิ่น สี รสชาติมากขึ้นกว่าเดิม
3. รัมดำ (Dark Rum) เป็นรัมที่มีสีเกือบดำ ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี และผสมกับคาราเมลที่เคี่ยวจนเป็นสีดำเกือบไหม้ จะได้กลิ่นและรสชาติมากขึ้น
   เหล้ารัมนิยมนำไปทำค็อกเทลมากครับ ที่รู้จักกันมากคือ Rum Coke หรือ Cuba Libre,Mai Tai นอกจากนั้น ยังนำไปผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เช่น น้ำผลไม้ต่างๆ ที่เรียกว่า Punch
   เหล้ารัมที่มีจำหน่ายจะมีดีกรีราว 40 ดีกรี แต่มีบางชนิดผลิตให้มีดีกรีสูงมากถึง 75.5 ดีกรี หรือที่เขียนว่า 151 Proof เพื่อให้เครื่องดื่มผสมมีความแรงเพิ่มขึ้น
 

แม่โขง   แสงโสม   จัดเป็นรัมชนิดหนึ่ง

บันทึกการเข้า

รักกันไว้เถอะ  เราเกิดร่วมแดนไทย   จะเกิดภาคไหนๆ    ก็ไทยด้วยกัน      
เชื้อสายประเพณีไม่มีขีดคั่น        เกิดเป็นไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย
ป้อมทอง พรานชุมไพร
ดับบาป ด้วยบุญปืน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 780
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6885


นรชาติวางวาย สถิตย์ไว้ แต่ความดีประดับไว้โลกา


« ตอบ #76 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 09:10:58 PM »

นำเสนอชีวาส

http://www.granitbleu.com/catalog/chivas/chivas+royal+salute+100+cask+selection

เรมีมาแตง

http://www.granitbleu.com/catalog/index.php?manufacturers_id=43
บันทึกการเข้า

รักกันไว้เถอะ  เราเกิดร่วมแดนไทย   จะเกิดภาคไหนๆ    ก็ไทยด้วยกัน      
เชื้อสายประเพณีไม่มีขีดคั่น        เกิดเป็นไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย
Udomkd
รักษ์ธรรมชาติ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3700
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41046



« ตอบ #77 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 09:16:25 PM »

เหล้าดี หรือ ไม่ดี หาใช่ การเก็บที่ดี หรือไม่ดี หาใช่ เยาว์วัย หรือ ยายแร้งทึ้ง หาใช่การ ดื่ม เป็น หรือ ไม่เป็น

เหล้าต้มกลั่นขาวใสเป็นตาตักแตน หรือ เหล้า หมัก ขาวขุ่น เป็นน้ำขาว ราคา ไม่ถึง 100 บาทไทย

ย่อมไม่ต่าง จาก เหล้า กลั่น สีทอง อำไพ ที่บ่มเก็บมานานแสนนาน

และ ไม่ต่างจาก เหล้าหมัก สีแดง เหมือน ดื่มเลือดตัวเอง ที่แก้วหนึ่ง ซื้อปืนได้ 1 กระบอก

การดื่ม สุราที่ ดีที่สุด อร่อยที่สุด ก็ คือ การ ดื่ม กับ สหายที่รู้ใจ
ขอคารวะพี่ท่านด้วย สุราใบไผ่เขียว สักจอกหนึ่ง


คารวะ ปรมาจารญ์ซ๊ะที่เดียวเลย ทั้งสองท่าน 

พี่ปืนแฝด ยิ่งนาน คารมยิ่งคม และนุ่ม เหมือนวิสกี้ ระดับพรีเมี่ยมแล้วน๊ะครับ
บันทึกการเข้า

รักมิตร รักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีด้ามขวาน
   รักมิตรรักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีคมขวาน
   รักมิตร รักเพื่อน
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Sr. Member
****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #78 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 09:17:20 PM »

ตากีล่า ใน ปัจจุบัน  ใช้ แก้ว ก้านสูง ปากบาน  เหมือน แก้ว แชมเปญ ไทยๆ  สมัยก่อน  แล้ว เอา  มะนาว มารูดตาม ขอบปากแก้ว จากนั้น  คว่ำ แก้ว ในถาดเกลือ  ให้เกลือจับ ขอบปากแก้ว  จากนั้น เอา ตากีล่า รินอย่างบรรจง ลงในแก้ว  เวลาดื่ม  ก็จะ ได้รสชาด พร้อมๆกัน
หรือ เอา มะนาว บีบ ลง บน หลังนิ้วโป้งซ้าย  จากนั้น เหยาะ เกลือ ลงไป  แล้ว ใช้ ชิวหา เรีย จากนั้นก็ดื่ม ตากีล่าตาม

Gognac  สำหรับ อาเจ็ก แล้ว  ต้องกิน เน้น กิน ไม่ดื่ม พร้อม อาหารจีน

 ส่วน ฝรั่งหัวแดงแล้ว หลังอาหาร จึง ดื่ม  ใช้แก้ว อวบใหญ่ ดั่ง นม นางยักษ์  ถ้าจะให้ไหล ลื่น ก็ ต้อง เอาแก้วไปลนไฟ เล็กน้อย ให้อุ่น  หรือ  ใช้ มือเรา คลึง ให้ ความร้อนจากมือ ไปสู่ แก้ว พร้อม กัน กาแฟ และ  ดูด ซิกก้า  รวม ถึง ถกปัญหา ที่ไม่ให้  ผู้หญิงเข้ามาฟัง หน้า เตาผิง  แต่ แดนสยามประเทศ ทำไม่ได้  ร้อน ตายชัก
บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
ป้อมทอง พรานชุมไพร
ดับบาป ด้วยบุญปืน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 780
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6885


นรชาติวางวาย สถิตย์ไว้ แต่ความดีประดับไว้โลกา


« ตอบ #79 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 09:24:31 PM »

ตากีล่า ใน ปัจจุบัน ใช้ แก้ว ก้านสูง ปากบาน เหมือน แก้ว แชมเปญ ไทยๆ สมัยก่อน แล้ว เอา มะนาว มารูดตาม ขอบปากแก้ว จากนั้น คว่ำ แก้ว ในถาดเกลือ ให้เกลือจับ ขอบปากแก้ว จากนั้น เอา ตากีล่า รินอย่างบรรจง ลงในแก้ว เวลาดื่ม ก็จะ ได้รสชาด พร้อมๆกัน
หรือ เอา มะนาว บีบ ลง บน หลังนิ้วโป้งซ้าย จากนั้น เหยาะ เกลือ ลงไป แล้ว ใช้ ชิวหา เรีย จากนั้นก็ดื่ม ตากีล่าตาม

Gognac สำหรับ อาเจ็ก แล้ว ต้องกิน เน้น กิน ไม่ดื่ม พร้อม อาหารจีน

 ส่วน ฝรั่งหัวแดงแล้ว หลังอาหาร จึง ดื่ม ใช้แก้ว อวบใหญ่ ดั่ง นม นางยักษ์ ถ้าจะให้ไหล ลื่น ก็ ต้อง เอาแก้วไปลนไฟ เล็กน้อย ให้อุ่น หรือ ใช้ มือเรา คลึง ให้ ความร้อนจากมือ ไปสู่ แก้ว พร้อม กัน กาแฟ และ ดูด ซิกก้า รวม ถึง ถกปัญหา ที่ไม่ให้ ผู้หญิงเข้ามาฟัง หน้า เตาผิง แต่ แดนสยามประเทศ ทำไม่ได้ ร้อน ตายชัก

เห็นภาพเลยครับพี่   

การที่ใช้ความร้อนอังแก้วทำให้ความหอมของบรั่นดีแตะจมูกกำซาบยิ่งขึ้น
บันทึกการเข้า

รักกันไว้เถอะ  เราเกิดร่วมแดนไทย   จะเกิดภาคไหนๆ    ก็ไทยด้วยกัน      
เชื้อสายประเพณีไม่มีขีดคั่น        เกิดเป็นไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #80 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 10:11:36 PM »

ชอบที่สุดครับ..วอดกา กับ เหล้าจิน.....หอมหวาน..เล่นแบบเพียว ๆ เลย....วันนี้ ก็ไปเล็งไว้แล้ว  ทั้ง สวิง วอดกา และจิน วันหลังจะไปซิว......วันนี้ตังค์หมดก่อน.....จริง ๆ ครับ..ชอบ ๆ  น้ำลายหก Grin
บันทึกการเข้า
salin - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1327
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2694



« ตอบ #81 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 10:29:31 PM »

...บรรยายได้เห็นภาพเลยครับ ท่านรอง Grin Grin

ขอบคุณครับ....
บันทึกการเข้า
NatthaphoN_
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13071

https://lh5.googleusercontent.com/-3fxkffwgtBc/AAA


« ตอบ #82 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 11:00:12 PM »

ป๋าป้อมกับผมคงได้คุยกันอีกยาว Wink
บันทึกการเข้า
NatthaphoN_
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13071

https://lh5.googleusercontent.com/-3fxkffwgtBc/AAA


« ตอบ #83 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2007, 11:30:16 PM »

..... แล้วทำไมต้องเก็บไว้นานขนาดนั้นล่ะครับผม .....
นี่แหละครับที่เรียกว่า สะสม ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็เสื่อมสภาพตามเวลาแต่มันมีคุณค่าทางใจ คล้ายกับปืนที่ผลิตใตจำนวนจำกัด(Limited Edition)ซึ่งไม่เสื่อมสภาพง่ายๆ แต่ก็ไม่ค่อยอยากให้กระสุนผ่านลำกล้องมากนักทำนองนั้นครับ
อื่อหื่อ... Shocked งามแท้SALUTE 25ปีขวดนี้ งามจริงๆยั่วให้ผมต้องกระสันอีกแล้ว Grin
ผมเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของพี่ ถ้าจะหามาเพิ่มในตู้อีกครับ
นับถือครับนับถือ....... Cheesyอย่าเรียกผมพี่เลยครับผมพึ่ง34เอง Wink

ไม่ทราบว่าทั้งสองท่าน มี หลุยส์ ๑๓ ของ ของเรมี่ มาแตง บ้างหรือเปล่า
ป๋าป้อมพอจะมีรูปมาให้ชมไหม๊ครับ หลุยส์ ๑๓ หน้าตาขวดมันเป็นอย่างไร
บันทึกการเข้า
ป้อมทอง พรานชุมไพร
ดับบาป ด้วยบุญปืน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 780
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6885


นรชาติวางวาย สถิตย์ไว้ แต่ความดีประดับไว้โลกา


« ตอบ #84 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 01:08:31 AM »

ป๋าป้อมกับผมคงได้คุยกันอีกยาว Wink
ผมทำลิงค์  หลุยส์ ๑๓  ไว้ให้ดูข้างบนแล้ว

เมื่อก่อน   ปี  พ.ศ.๒๕๒๗   เคยได้มาลิ้มรสขวดหนึ่ง    ตอนนั้น  XO  ธรรมดาขวดละ  ๒,๐๐๐

หลุยส์  ๑๓   ซื้อได้  ๘  ขวด    บักจอนดำ  ขวดละ  ๓๐๐  กว่า   ตอนนี้ที่เมกาขวดละ  ๒,๐๐๐

เมืองไทย  ไม่รู้ว่าเท่าไรแล้ว    เหล้าแบบนี้   คนซื้อไม่ค่อยได้กิน   คนกินไม่ค่อยได้ซื้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 11, 2007, 01:12:23 AM โดย ป้อมทอง » บันทึกการเข้า

รักกันไว้เถอะ  เราเกิดร่วมแดนไทย   จะเกิดภาคไหนๆ    ก็ไทยด้วยกัน      
เชื้อสายประเพณีไม่มีขีดคั่น        เกิดเป็นไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย
NatthaphoN_
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13071

https://lh5.googleusercontent.com/-3fxkffwgtBc/AAA


« ตอบ #85 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 07:13:12 AM »

ป๋าป้อมกับผมคงได้คุยกันอีกยาว Wink
ผมทำลิงค์  หลุยส์ ๑๓  ไว้ให้ดูข้างบนแล้ว
เมื่อก่อน ปี พ.ศ.๒๕๒๗ เคยได้มาลิ้มรสขวดหนึ่ง ตอนนั้น XO ธรรมดาขวดละ ๒,๐๐๐
หลุยส์ ๑๓ ซื้อได้ ๘ ขวด บักจอนดำ ขวดละ ๓๐๐ กว่า ตอนนี้ที่เมกาขวดละ ๒,๐๐๐
เมืองไทย ไม่รู้ว่าเท่าไรแล้ว เหล้าแบบนี้ คนซื้อไม่ค่อยได้กิน คนกินไม่ค่อยได้ซื้อ
แถวอีสานคงไม่มีขายเนาะครับป๋า
บันทึกการเข้า
สีอำพัน-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 258
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4432



« ตอบ #86 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 10:36:37 AM »

 น้ำลายหก น้ำลายหก น้ำลายหก น้ำลายหก
ชออนุญาต คัดลอกมาให้อ่านอีกรอบครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเอามาจากเวปไหน

Scotch Whisky
สก๊อตวิสกี้ น้ำอมฤตบนเกาะอังกฤษ

กำเนิดสก๊อตวิสกี้

สก๊อตวิสกี้ (Scotch Whisky) เป็นสุราอหังการที่มีชื่อเสียงเรียงนามระบือลั่นก้องไปทั่วโลก มันไม่เพียงแต่มีสำคัญในด้านเศรษฐกิจต่อสก๊อตแลนด์เท่านั้นแต่ยังมีความหมายอย่างยิ่งยวด สำหรับประเทศสหราชอาณาจักรอีกด้วย อุตสาหกรรมการผลิตสก๊อตวิสกี้ ได้กำเนิดบนที่ราบสูงของสก๊อตแลนด์มาช้านาน และวิวัฒนาการหลักลงฐานมาจนถึงปัจจุบันอย่างมั่นคงอาจจะกล่าวได้ว่า สก๊อตวิสกี้สามารถวางตัวเป็นนักเลงขนาดเบิ้มยึดตลาดสุราในโลกนี้เป็นส่วนใหญ่ คำว่า Whisky เป็นรากศัพท์มาจากคำว่า Uisge beatha (ยูธ บีทธา) ซึ่งเป็นภาษา Gaelic (ภาษาแกลลิก) ที่เก่าแก่ภาษาแกลลิกเป็นภาษาที่ชาวเซลท์ (Celt) ในสก๊อตแลนด์ภาคเหนือใช้พูดกันซึ่ง มีความหมายแปลว่า "น้ำอมฤตแห่งชีวิต"

กำเนิดของสก๊อตวิสกี้มาจากพระในศาสนาคริสต์โดยพระในชนบทของประเทศอังกฤษแต่เก่าก่อน พระคุณท่านมิเพียงแต่จะเชี่ยวชาญหลักแหลมในหลักธรรมอย่างแตกฉานเท่านันแต่ยังเป็นเอกทัคคะ ในการต้มเหล้าเถื่อนอีกด้วย แต่สุราดังกล่าวก็แพร่หลายอยู่แต่ในชนบทเท่านั้นชาวเมืองและชาววังส่วนใหญ่ยังสนใจแต่เหล้าไวน์ กล่าวกันว่าสก๊อตวิสกี้เริ่มมีการหมักกลั่นด้วยระบบเครื่องกลั่นทันสมัยโดยนักอุตสาหกรรมมืออาชีพตั้งแต่ปี ค.ศ.1494 ทางภาคเหนือของสก๊อตแลนด์ แถบถิ่นที่ถูกเรียกขานว่า "ไอท์แลนด์" และเริ่มมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเกี่ยวกับสก๊อตวิสกี้ในปี ค.ศ. 1944

ประเภทของสก๊อตวิสกี้

สก๊อตวิสกี้แท้ที่เป็นเหล้าหลักจริงมีเพียง 2 ประเภทคือ

Malt Whisky (มอล์ทวิสกี้) เป็นวิสกี้สก๊อตที่หมักกลั่นจากวัตถุดิบประเภทข้าวบาร์เลย์ที่ถูกเพาะเป็น มอล์ทล้วน ๆ และถูกปรุงแต่งด้วยหัวเชื้อคอนเซนเตรต (Concentrate)

Grain Whisky (เกรนวิสกี้) เป็นสก๊อตวิสกี้ที่หมักกลั่นจากวัตถุดิบประเภทข้าวบาร์เลย์ที่เพาะเป็นมอล์ทส่วนหนึ่งนำ ไปผสมกับธัญญพืชอื่น ๆ

การทำสก๊อตวิสกี้

การทำสก๊อตวิสกี้ขั้นตอนในการผลิตก็เป็นไปตามลำดับขั้นตอนดังนี้
การเพาะมอล์ท (Malting) คือขั้นตอนการนำข้าวบาร์เล่ย์ปเพาะให้งอกเป็นมอล์ท
การบด การคลุก (Mashing) เป็นขั้นตอนต่อจากขั้นตอนที่ 1 โดยนำข้าวมอล์ทที่เพาะได้ไปทำการบดคลุก เพื่อผสมกับสัดส่วนวัตถุดิบอื่น ๆ ให้เข้ากัน

การหมัก (Fermentation) ขั้นตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 วิธีการคือ
- วิธีใช้กรดบังคับการแปรธาตุ แล้วใช้เชื้อช่วย
- แบบใช้มอล์ทโดยอาศัยน้ำย่อยบังคับการแปรธาตุแล้ว ใช้เชื้อโมลด ์ช่วยการหมักนี้เชื้อที่นำไปหมักจะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลและ จากน้ำตาล
เป็นแอลกอฮอล์


การกลั่น (Distillation) การกลั่นมี 2 แบบ คือการกลั่นครั้งเดียวต่อเนื่องออกมาเป็นสุราดีกรีสูง (Continous Still) และการกลั่นแบบสองครั้ง หรือแบบกลั่นทับ (Pot Still) การกลั่นเกรนวิสกี้จะใช้แบบต่อเนื่องหรือแบบทับก็ได้ แต่การกลั่นวิสกี้มอล์ทต้องใช้แบบกลั่นทับ หรือกลั่นแบบสองครั้ง เพื่อจะสงวนกลิ่นรสของข้าวมอล์ทไว้
การเก็บบ่ม (Ageing) หลักจากกลั่นแล้ว ก็ต้องทำน้ำเหล้าให้เหลือ 45-68 ดีกรีเพื่อนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก ซึ่งเนื้อไม้ในถังได้ถูกย่างไฟเป็นที่เรียบร้อยแล้วการเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กนี้ จะทำให้น้ำเหล้ามีรสหอมและกลิ่นควันไฟจาง ๆ

การปรุงแต่ง ๆ (Blending) ถึอเป็นขั้นตอนที่สำคัญสุดยอดตอนหนึ่งของการผลิตเหล้า การปรุงเหล้าถือว่าเป็นศิลปะที่ล้ำลึกนักปรุงแต่งจะเฟ้นเหล้าที่เก็บบ่มได้คุณภาพมาผสมกันตามสัดส่วน เข้ากับหัวเชื้อต่าง ๆ ผู้ปรุงแต่งล้วนมีความช่ำชองในการคัดเลือกสุรามอล์ทสุราเกรนที่จะนำมาคละเคล้า โดยไม่เคยมีใครยอมเปิดเผยสัดส่วนของการผสมให้ใครได้รู้

การบรรจุ ( Bottled) เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อยที่จะนำเหล้าออกจำหน่ายซึ่งต้องอาศัยความสะอาดน้ำเหล้าที่บรรจุขวด เหล้าแล้วจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงคุณภาพให้เป็นอื่นใดอีก
เหล้าทั้งสองประเภทของสก๊อตมอล์ทวิสกี้ได้ชื่อว่าเป็นเหล้าที่ดีเลิศ เหนือชั้นกว่าเกรนวิสกี้ เพราะมีความละเมียดละไมกลมกล่อมกว่าเชื่อกันว่าแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไหล ซึมผ่านลำเนาไพรและผ่านชะง่อนหินหลืบซอกที่อุดมด้วยแร่ธาตุล้วนมีส่วน อย่างมากที่บันดาลให้สก๊อตวิสกี้ทั้งสองเด่นผงาดเหนือวิสกี้อื่นใดในโลก ส่วนวิทยาการสมัยใหม่ในการหมักกลั่นเป็นเพียงองค์ประกอบที่เสริม ความละเมืยดละไมของเหล้าดังกล่าว

สก๊อตวิสกี้เมื่อหมักกลั่นและเก็บบ่มแล้วก่อนจะบรรจุขวดขายอย่างน้อย ต้องเก็บบ่ม 3 ปีขึ้น ไปถึง 5 ปี แต่การทำวิสกี้ใน ประเทศอื่น ๆ หลายแห่งได้มีกฏหมายของประเทศนั้น ๆ บังคับให้เก็บบ่มสุราที่จะทำวิสกี้ไว้ในถังไม้โอ๊กตั้งแต่ 3 ปี ถึง 5 ปี ซึ่งเป็นการกำหนดอายุของน้ำเหล้าที่เก็บบ่มให้เหมาะสมไม่อ่อน หรือแก่เกินไปแต่จำเพาะมอล์ทวิสกี้ ตำรายืนยันว่าควรเก็บบ่มตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และไม่มีกำหนดอายุความแก่ ยิ่งเก็บบ่มนานเท่าใดก็ยิ่งดีรสเหล้าเท่านั้น
กำเนิดอเมริกันวิสกี้

พูดได้เต็มปากเต็มคำไม่ต้องอายว่า อเมริกันวิสกี้เกิดมาพร้อมกับการกำเนิดชาติ อเมริกาคือเมื่อชาวอเมริกันเริ่มมีประเทศก็มีเหล้าวิสกี้โดยทันที จึงไม่ต้องไปสืบราวเรื่องให้ลำบากเหมือนชาติเก่าแก่อื่น ๆ ร้านขายเหล้าในยุคอเมิกันบุกเบิก มักถูกพวกคาวบอยเรียกว่า "ฮองกี้ท๊อกซาลูนส์" หรือร้านเหล้าเสียงห่านป่าร้องวิสกี้ยุคแรกที่ชาวอเมริกันดื่มกิน ได้แก่ "วิสกี้ดิบ" คำว่าวิสกี้ดิบคือวิสกี้ที่ยังไม่ได้ปรุงแต่ง รสชาติเรียกว่าพอต้มกลั่นจากเตาไฟก็หิ้วมาใส่ขวดขายได้เลยรสชาติทั้งกระด้าง ทั้งบาดคอ และ ขื่นขมสารพัด แต่คาวบอยทั้งหลายก็ถูกใจ


กรรมวิธีการทำอเมริกันวิสกี้

เหล้าวิสกี้ทำจากธัญญพืชนานาพันธุ์ เช่น ข้าวมอล์ทของบาร์เล่ย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวฟ่าง โดยการนำข้าวไปบดแล้วนึ่งแล้วหมักด้วยเชื้อยีสต์ เมื่อส่าได้ที่ก็ทำการกลั่นด้วยเครื่องระบบต่อเนื่อง (Pantent Stills) แต่ถ้าเป็นมอล์ทวิสกี้ก็ต้องกลั่นด้วยเครื่องกลั่นแบบกลั่นทับ (Pot Stills) อเมริกันวิสกี้จะกลั่นด้วยเครื่องกลั่นระบบต่อเนื่องออกมาเป็นแอลกอฮอล์ 95 ดีกรี จากนั้นก็ไปลดดีกรีโดยการผสมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ ให้เหลือ ให้เหลือ 40-50 ดีกรี แล้วเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กนานกี่ปีนั่นขึ้นอยู่กับชนิดของสุรา หรือประเภทของวิสกี้นั้น ๆ เมื่อเก็บได้ที่ก็นำออกผสมปรุงแต่ง และบรรจุขวดขาย

ประเภทของวิสกี้
ประเภทของอเมริกันวิสกี้ถูงแบ่งโดยกฏหมายสรรพสามิตของสหรัฐ ประเภทของอเมริกันวิสกี้แบ่งออกได้ดังนี้

ประเภทเบอร์เบิ้นวิสกี้ เป็นวิสกี้ที่กำเนิดที่มลรัฐเคนตักกี้ โดยเป็นวิสกี้ที่ดีกรี ไม่เกิน 80 ดีกรี และมีส่วนผสมของข้าวโพด 51 % สุรานั้นมีการเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กเกินกว่า 4 ปี ถังไม้โอ๊กที่เก็บบ่มเป็นถังไม้ที่ถูกย่างไฟแล้วด้วยถ่านหินชนิดพิเศษเมื่อ เก็บบ่มได้ที่ก็คัดสุรามาทำการปรุงแต่งด้วยเครื่องหอมและหัวเชื้อต่าง ๆ แล้วบรรจุขวดขาย วิสกี้เบอร์เบิ้นแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ รวม 2 ชนิด คือ

1. เบลน สเตรซท์ เบอร์เบิ้นวิสกี้เป็นวิสกี้เบอร์เบิ้นชนิดเมื่อเก็บบ่มได้ที่แล้ว ระหว่างปรุงแต่ง (Blending) ต้องผสมกับวิสกี้อย่างอื่น หรือหัวเชื้อวิสกี้อย่างอื่นที่ไม่ใช่เบอร์เบิ้นวิสกี้ โดยปรุงออกมาให้มีรสค่อยข้างหวาน

2. สเตรซท์ เบอร์เบิ้นวิสกี้ เป็นวิสกี้เบอร์เบิ้นซึ่งเมื่อเก็บบ่มได้ที่แล้วระหว่างเบลนดิ้ง หรือระหว่างการปรุงสุราต้องปรุงผสมออกมาให้มีรสหวาน เป็นวิสกี้ที่ปรุงแต่งเครื่องหอมมากกว่าประเภทแรก และมีรสจัดและแรงกว่าประเภทแรกเช่นเดียวกัน

ประเภทคอร์นวิสกี้ หรือวิสกี้ข้าวโพดจะแตกต่างกว่าวิสกี้เบอร์เบิ้น โดยแน่นอน เพราะวิสกี้เบอร์เบิ้นใช้ข้าวโพด เป็นวัตถุดิบ 51 % แต่วิสกี้ข้าวโพดต้องใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบไม่ต่ำกว่า 80 % และเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กที่ไม่ได้เอาไฟเผาหรือไม่ต้องมีการเก็บบ่มใน ถังไม้โอ๊กเลย ซึ่งใกล้เคียงกับวิสกี้ดิบที่สมัยอเมริกันเริ่มบุกเบิก แถมยังเป็นเหล้าที่ปราศจากสี

ประเภทไรย์วิสกี้ เป็นวิสกี้ที่ใช้ข้าวไรย์เป็นวัตถุดิบ 51 % กลั่นด้วยเครื่องกลั่นต่อเนื่อง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ แบบไรย์และสเตรซท์ไรย์ สาระความแตกต่างก็เช่นเดียวกับเบอร์เบิ้น คืออยู่ในช่วงระหว่างปรุงแต่งรสชาติของเหล้าพื่อบรรจุขวดขาย
Brandy

เหล้าบรั่นดี ได้รับการเอ่ยขานยกย่องว่าเป็นยอดเหล้าของสุรากลั่นทั่งหมดเรียกว่าเลิศล้ำเหนือกว่า สุรากลั่นตระกูลอื่นใดในโลกทั้งสิ้น วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเหล้าบรั่นดีนั้นได้แก่องุ่นเพราะปลูกง่ายหาง่ายต้นทุนไม่แพง และ ให้ผลผลิตทางด้านสุรา มาก รสชาติก็เยี่ยม เหล้าบรั่นดีตระกูลคอนยัคและเหล้าตระกูลอาร์มายัค หรือเหล้า บรั่นดีที่ผลิตตามเหลี่ยมมุม อื่นของโลก ก็ล้วนใช้องุ่นในการผลิตบรั่นดีทั้งสิ้นแต่ถ้าใช้ผลไม้สดประเภทอื่น ๆ ในการทำเหล้าบรั่นดีเหล้าที่ผลิตได้จะถูกเรียกว่า ฟรุ้ท บรั่นดี (FRUIT BRANDY) ผลไม้สดต่าง ๆ ที่นิยมนำมาทำ การหมักกลั่นฟรุ้ทบรั่นดีได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล ลูกท้อ ลูกแพร เชอรรี่ สตอเบอร์รี่ รัสเบอรรี่ และแบล๊คเบอร์รี่

"กรรมวิธีการผลิตเหล้าบรั่นดี"
การทำเหล้าบรั่นดี วัตถุดิบคือผลไม้ชนิดต่าง ๆ แต่ผลไม้ที่สะดวกและนิยมนำมาทำเหล้า บรั่นดีมากที่สุดคือผลองุ่น ซึ่งมีขั้นตอนการผลิตดังนี้

ก่อนหมัก
นำผลไม้หรือองุ่นที่สุกจัดนำไปบดพอละเอียด (เพราะผลไม้ยิ่งสุกก็ยิ่งมีความหวานสูง ก็จะทำให้มีการเปลี่ยน น้ำตาลมาเป็นแอลกอฮอล์ได้มาก) เสร็จแล้วผสมกับเชื้อยีสต์ที่เหมาะ สมในการบังคับการแปรธาตุเชื้อยีสต์ที่ว่านี้ถ้าใช้องุ่นเป็นวัตถุดิบ ได้แก่ แซคโกฮาโรไมซีส อีลลิปโซลด์ เบอร์ 106 (Sacoharomyces Ellipsold No.106) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เลี้ยง ไว้ในห้องแล๊บ และทำการขยายพันธุ์ตาม มาตราส่วน ที่ต้องการแล้วนำมาผสมคลุกเคล้ากับ น้ำผลไม้ที่บดได้เพื่อให้เกิดการหมักและมีการบังคับการแปรธาตุ


การหมัก
การหมักส่าเพื่อทำเหล้าบรั่นดี จะน้องมีการหมักสองขั้นตอนด้วยกัน คือการให้เกิดการบังคับการแปรธาตุ

การหมักขั้นตอนที่หนึ่ง การหมักในระยะแรกใช้เวลาประมาณ 10 วัน เพื่อที่จะทำให้น้ำตาล ใน ผลไม้เกิดการแปรธาตุ เป็นแอลกอฮอล์เสียก่อน การหมักในขั้นตอนที่หนึ่งนี้ ให้ใช้อุณหภูมิระดับ เดียวกับการหมัก สุราชนิดอื่น ๆ คือประมาณ 25-30 องศาเซ็นติเกรดเมื่อได้ที่ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้จึงคั้นเอาเปลือกองุ่นหรือเปลือกผลไม้ออกให้หมด แล้วนำผลไม้ไปใส่ถังหมักใหม่อีกครั้งเป็นการหมักครั้งที่สอง

การหมักขั้นตอนที่สอง การหมักในขั้นตอนนี้ ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือนขึ้นไป โดย ให้อุณหภูมิในถังส่าอยู่ในระดับ 10-15 องศาเซ็นติเกรด ในบางประเทศผลิตเหล้าบรั่นดีอาจใช้เวลา การหมักส่าใน ช่วงนี้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี จึงจะนำส่าไปกั่นเป็นเหล้าบรั่นดี การหมักในขั้นตอนที่สองนี้ ส่าผลไม้ที่หมักได้ก็คือ ไวน์นั้นเองกรรมวิธีการทำบรั่นดีเริ่มแรกคล้ายไวน์มาก ผิดเพี้ยนกันบ้างเล็กน้อย แต่ผลสุดท้ายที่ได้ออกมา แตก ต่างกัน สุรา บรั่นดีต้องนำส่าดังกล่าวไปกลั่น แต่ไวน์ต้องนำไปพาสเจอร์ไรซ์ และปรุงแต่งออกจำหน่าย

การกลั่นสุราผลไม้เป็นสุราบรั่นดี

เมื่อการหมักส่าไวน์ได้ที่แล้ว ก็นำส่าไวน์ดังกล่าวไปกลั่นโดยใช้เครื่องกลั่นระบบกลั่นทับ (Pot Stills) กลั่นออกมาให้ได้แรงแอลกอฮอล์ 70-80 ดีกรีระบบยุโรป สุราที่กลั่นได้จำเป็นต้องคัดเลือกเกรด คือ ตัด หัว - หาง ออกไป และสุราที่ดีในช่วงกลางก็ต้องคัดสุราที่เหมาะสมไปทำการเก็บบ่มส่วนพวกที่ยังใช้ไม่ได้ ก็จะนำกลับไปผลมส่าที่จะกลั่น เพื่อกลั่นซ้ำอีกหน

การเก็บบ่ม
เมื่อคัดสุราที่เหมาะสมจะนำไปเก็บบ่มได้แล้ว ก็นำสุราดังกล่าวไปลดดีกรีเหลือ 45-65 ดีกรีระบบยุโรปเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กเป็นระยะเวลานาน ๆ ยิ่งเก็บนานเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลดีกับสุราบรั่นดีเท่านั้น เมื่อสุราบรั่นดีเก็บไว้ใน ถังโอ๊กนาน ๆ ก็จะมีสีเหลืองทองหอมกลิ่นไม้เผาและหินไฟ จากนั้นก็ถึงขั้นคัดสุราออกมาทำการปรุงแต่งบรรจุขวดจำหน่าย
Tequila เหล้าตากีล่า น้ำเมามือปืนจังโก้

เหล้าตากีล่า เป็นเหล้ากลั่นที่มีชื่อเสียงอีกตระกูลหนึ่งที่ควรจะจัดอยู่ใน จำพวกเหล้า พิสดารและเป็นสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศแม็กซิโก ดินแดนของจังโก้ชักปืนไวที่ว่าพิสดาร เพราะเหล้าตัวนี้ใช้วัตถุดิบในการผลิตแผกเพี้ยนไปกว่าขบวนเหล้าทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเป็นเหล้าพื้น ๆ ที่ชนทั่วไปรู้จักเช่นพวกเหล้าวิสกี้ทุกคน ก็กระจ่างใจดีว่าใช้วัตถุดิบจำพวก ธัญญพืชมาทำการผลิต วัตถุดิบพิสดารที่นำมาทำเหล้าตากีล่าก็คือ ต้นตะบองเพชรกลางทะเลทรายในประเทศแม็กซิโก เหล้าตากีล่าถ้าหมักกลั่นมาจากน้ำของต้นตะบองเพชรเพียงอย่างเดียว ก็คงยังไม่ถึงขั้นพิสดาร และแปลกประหลาด มากนักแท้จริง แล้วการทำเหล้าตากีล่าใช้วัตถุดิบ ที่หายากหา เย็นถึง 4 อย่าง ด้วยกัน ซึ่งแต่ละอย่างแทบจะหาจากที่อื่นไม่ได้เลย นอกจากกลางทะเลทราย เช่นนี้เองจึงถึอได้ว่า เหล้าตากีล่าเป็นเหล้าพิสดาร

--------------------------------------------------------------------------------

วัตถุดิบการทำเหล้าตากีล่า
เรื่องวัตถุดิบในการทำเหล้าตากีล่า ว่าไปแล้วก็ช่างเหลือเชื่อเหมือนหนังจีนกำลังภายในวัตถุดิบ 4 ชนิดที่นำมาหมักส่าก็คือ

น้ำจากต้นตะบองเพชรกลางทะเลทราย ตะบองเพชรที่จะนำมาคั่นน้ำเพื่อเอาไปทำเหล้าตากีล่า จะต้องเป็นตะบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน เพราะช่วงระยะดังกล่าวถึอว่าความเติบโตและความสมบูรณ์ของต้นตะบองเพชรอิ่มเอิบเต็มที่ น้ำที่คั้นได้จึงมีคุณค่า กว่าช่วงอื่น ๆ ลองคิดดูว่าต้นตะบองเพชร ออกดอกผลยากเย็นขนาดไหนแล้วการหาวัตถุดิบนี้ก็ต้องพลอยลำบากแสนเข็ญไปกับต้นไม้ด้วย แต่วัตถุดิบตัวที่สองกลับหายากยิ่งกว่าชนิดแรก 100 เท่า 1,000 เท่า

น้ำหวานจากต้นเซ็นจูรีพลานท์ คำว่าเซ็นจูรี คำแปลก็ง่าย ๆ คือศตวรรษหรือ 100 ปี ดังนั้นต้นเซ็นจูรีพลานท์ก็ต้องแปลว่าต้นไม่ศตวรรษ ที่ได้ชื้อว่าต้นไม้ศตวรรษเพราะเป็นต้นไม้ที่ 100 ปีจะมีดอกครั้งหนึ่ง และต้นเซ็นจูรีพลานท์นี้จะมีเฉพาะในประเทศแม็กซิโกเท่านั้นการจะเอาน้ำหวาน ของต้นเซ็นจูรีพลานท์มาทำการหมักส่าเพื่อกลั่นเหล้าก็จะต้องคอยให้ต้นเซ็นจูรีพลานท์ ออกดอกก่อนกว่าจะนำน้ำหวานจากต้นเซ็นจูรีพลานท์มาทำเหล้าตากีล่าได้จะต้องรอเป็น 100 ปีทีเดียว

ต้นยาดำ คนในเมืองไทยที่รู้จักต้นยาดำมีออกถมแต่ต้นยาดำในเมืองไทยกับต้นยาดำที่ชาวแม็กซิกัน นำไปทำเหล้าตากีล่าเป็นต้นยาดำคนละประเภท ต้องเป็นต้นยาดำพันธุ์พิเศษที่เรียกว่า "อเมริกาแอลโอ" ซึ่งขึ้นอยู่ละแวกทะเลทรายในอเมริกากลาง

ดอกโคมของต้นเมซคอล ต้นเมชคอลก็มีปลูกอยู่แถว ๆ แม็กซิโกเหมือนกันและวัตถุดิบที่จะนำมาทำเหล้าตากีล่า ก็จะต้องเป็นดอกโคนสีน้ำเงินของต้นเมชคอล ซึ่งกล่าวกันว่า 10-12 ปี จึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง

ดอกเมชคอลประหลาดกว่าดอกไม้อื่น ๆ ในโลกทั้งหมดเพราะเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเฉพาะไส้ดอกไม้มีความยาวถึง 20-30 ฟุต

ทั้งหลายทั้งปวงนี้แหล่ะที่ชาวแม็กซิโกนำมาทำเป็นเหล้าตากีล่าแม้ว่าวัตถุดิบของเหล้าตากีล่าที่ร่ายยาว มาให้ท่านเห็นนี้ ฟัง ๆ ดูจะมีรสชาติค่อนข้างขื่น แต่ทว่าพอผลิตเป็นเหล้าตากีล่าแล้ว กลับกลายเป็นยอดเหล้าชั้นดี โดยเฉพาะตากีล่าประเภทขาว สีใสสดเหมือนตาตั๊กแตนมีหมวกแม็กซิกันปะติดกับจุกเหล้า เป็นเหล้าอีกขนาดหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับนำมาผสมสูตรเหล้า-คอกเทลได้เยี่ยมที่สุดของโลก

--------------------------------------------------------------------------------

กำเนิดเหล้าตากีล่า
เหล้าตากีล่ามีแหล่งกำเนิดอยู่ในแผ่นดินแม็กซิโก คนป่าชาวพื้นเมืองทีมีชื่อว่าเผ่าแอสแทค เป็นผู้ผลิตเหล้าหมักขึ้นมาชนิดหนึ่งชื่อว่าพูลดี้เหล้าหมักชนิดนี้เมาได้สะเด็ดยาดวัตถุดิบที่ใช้หมักก็ได้แก่ ดอกโคมของต้นเมซคอล เมื่อโคลัมบัสพาลูกเรือบุกอเมริกากลาง ลูกเรือต่างติดอกติดใจเหล้าพูลดี้ของชาวป่าภายหลังสเปนยึดแม็กซิโกก็ได้นำความรู้เกี่ยวกับการกลั่นเหล้ามากลั่น เหล้าพูลดี้เป็นเหล้าตากีล่า


--------------------------------------------------------------------------------

วิธีทำเหล้าตากีล่าในปัจจุบัน
วิธีทำเหล้าตากีล่าก็เหมือนเหล้ากลั่นประเภทอื่น ๆ ทั่วไป เขาทำกัน คือวัตถุดับมาหมักด้วยเชื้อยีสต์การหมักส่าตากีล่าต้องหมักให้เกินกว่า 24 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะวัตถุดับทั้ง 4 ชนิดที่นำมาทำเหล้าตากีล่า มีความหวานไม่พอ ดังนั้นการหมักส่าก็จะต้องเติมน้ำเชื่อมน้ำตาลหรือน้ำอ้อยลงไปช่วยเพื่อให้เชื้อยีสต์สามารถทำปฏกิริยาบังคับ การแปรธาตุในน้ำส่าได้ การหมักส่าตากีล่ามีกรรมวิธีเยี่ยงเดียวกับเหล้าบรั่นดี คือต้องมี การหมักถึง 2 ครั้ง 2 หน เมื่อผ่าส่าจนได้ที่แล้วก็มาทำการกลั่นเครื่องกลั่นชนิดกับทับให้มีแรงแอลกอฮอล์ 52-53 ดีกรีระบบยุโรปจากนั้นก็นำไปเก็บบ่มในถังโอ๊กให้นาน 9 เดือนขึ้นไป เวลาจะปรุงแต่งบรรจุขวดก็อาจจะมาลดดีกรี หรือบางยี่ห้อไม่ลดดีกรีเลย

เหล้าตากีล่าที่ปรุงแต่งบรรจุขวดที่ทำออกมา 2 ประเภทด้วยกัน คือประเภทสีขาวบริสุทธุ์สดใน และ ประเภทที่สีทองนอกจากนั้น ยังมีเหล้าตากีล่าชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า ตากีล่าประเภทอะเนโว้ ซึ่งจะต้องเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จึงจะนำมาปรุงแต่งบรรจุขวดขายได้


--------------------------------------------------------------------------------

วิธีดื่มเหล้าตากีล่าให้อร่อย
เหล้าตากีล่าชนิดพิเศษหรือชนิดอะเนโว้ ใช้ดื่มโดยวิธีเดียวกับเหล้าวิสกี้ คือจะดื่มแบบเพียว ๆ ผสมน้ำแข็งที่เรียกว่า ออนเดอร์ร็อคก็ได้หรือจะผสมน้ำผสมโซดาเติมน้ำแข็งก็ได้แต่ถ้าให้ดีควรมีส้มหรือ มะนาว ฝานชิ้นบาง ๆ เสียบไว้ข้างแก้วเหล้าด้วย

บางคนดื่มเหล้าตากีล่าพิสดารกว่านี้ คือดื่มเพียว ๆ ตามด้วยเกลือป่นเหยาะตามเข้าไปในปากอีกนิดหนึ่งแล้วบีบมะนาวใส่ปากอีก 3-4 หยด ทำให้เกิดความหอมหวามความอร่อยอย่างประทับใจ เหล้าตากีล่าชนิดขาว และชนิดสีทอง โดยปกตินักดื่มทั่วไปมักจะนำไปผสมเป็นเหล้าคอกเทลเหมือนกับรัมขาว สูตรที่ระบือลือชื่อที่สุด ได้แก่ตากีล่าคอกเทลสูตรมาร์การิต้า ซึ่งผสมง่าย ๆ คือนำแก้วคอกเทลเสียบด้วยมะนาวฝาน เติมแกลือลงในแก้วเติมมะนาว เติมเหล้าตากีล่าและเติมน้ำตาลลงไปนิดหนึ่งก็จะกลายเป็นคอกเทลสูตรมาร์การิต้าทันที
บันทึกการเข้า

อันวันใดไม่สำคัญเท่าวันนี้ เป็นวันที่สำคัญกว่าวันไหน
อันวันนี้สำคัญกว่าวันใด  วันไหนไหนไม่สำคัญเท่าวันนี้
สีอำพัน-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 258
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4432



« ตอบ #87 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 10:38:09 AM »

ต่อครับ
Vodka เหล้าวอดก้า น้ำเมาของนัดดื่มคอพระกาฬ

--------------------------------------------------------------------------------
เมื่อเอ่ยถึงชื่อถึง "แม่น้ำวอลก้า" ย่อมเป็นที่รู้จักแจ้งกันทั่วบ้านทั่วเมือง คือแม่น้ำสาย สำคัญที่ไหลผ่านไปบนแผ่นดินกว้างของประเทศรัสเซีย สองฟากฝั่งของวอลก้าล้วนเคยเป็นทุ่งสังหารของมนุษย์ที่กรำศึกโรมรัน มานับครั้งไม่ถ้วน คำว่าวอดก้า "Vodka"ในภาษารัสเซียเขียน เป็น "Voda" ซึ่งแปลได้ว่า "น้ำ" หรือ "น้ำอมฤตแห่งชีวิต "ตระกูลเหล้าวอดก้าเกือบเป็นสาขาหนึ่งของ เหล้าวิสกี้ ทั้งนี้เพราะวัตถุดิบที่นำมาหมักกลั่นเป็นเหล้าวอดก้าส่วนใหญ่นิยม ใช้ธัญญพืชชนิดต่าง ๆ แม้แต่ระบบการกลั่น เหล้าวอดก้าก็ใช้เครื่องกลั่น แบบคอนตินิวอัสสตีลล์เช่นเดียวกับการกลั่นเกรนวิสกี้ ผิดเพี้ยนต่างกันก็ตรงปรุงแต่งบรรจุขวดเท่านั้น ดีกรีของเหล้าวอดก้าไต่สูงไปถึงขั้น สุดยอดหรือขั้นน้อง ๆ ของแอลกอฮอล์ บริสุทธื์ ในขณะที่เหล้าวิสกี้ถูกปรุงแต่งบรรจุขวดเป็นสุราดีกรี ขนาดกลาง เหล้าวอดก้าเป็นสุราทีมีดีกรีสูงสุดของโลก

--------------------------------------------------------------------------------

กำเนิดเหล้าวอดก้า

เรื่องกำเนิดของเหล้าวอดก้า เป็นเรื่องถกเถียงกันไม่สิ้นสุด ตำราของท่านเกจิอาจารย์ว่าด้วยกำเนิดของเหล้ากล่าวถึงการมาของเหล้ามีสองฝักสองฝ่ายบ้าง ก็ชี้ชัดว่าเหล้าวอดก้ากำเนิดในรัสเซีย บางตำราก็ยืนยันว่าโปแลนด์ เป็นชาติแรกที่หมักกลั่นเหล้าวอดก้าได้

เหล้าวอดก้าในรัสเซีย
เหล้าวอดก้าในรัสเซียเริ่มกำเนิดในศตวรรษที่ 12 ในยุคนั้นการทำเหล้าวอดก้าได้ผลิตอย่าง กะร่อมกะแหร็ม จนศตวรรษที่ 14 ชาวรัสเซียจึงได้นิยมดื่มเหล้าวอดก้ากัน และเริ่มมีการผลิตเหล้าพันธุ์นี้กันอย่างเป็นกิจลักษณะในรัสเซีย การผลิตเหล้าวอดก้านอกจากใช้ธัญญพืชนานาชนิดเป็นวัตถุดิบแล้ว ผู้ต้มเหล้าบางคนก็ทำวอดก้าจากน้ำมะเขือเทศด้วย เหล้าวอดก้าของรัสเซียส่วนมากดีกรีสูงจัดและไร้กลิ่นรสของวัตถูดิบขบวน เหล้าวอดก้าที่ผลิตกันในหลาย ๆ ประเทศเหล้าวอดก้าของรัสเซียมีดีกรีสูงสุดบางขวดสูงถึง 95 ดีกรีระบบยุโรป

เหล้าวอดก้าในโปแลนด์
ชาวโปลิชเชื่อฝังใจว่า เหล้าวอดก้าได้ถือกำเนิดในประเทศโปแลนด์เป็นชนชาติแรกของโลก ไม่ใช่ กำเนิดในประเทศรัสเซียเหล้าวอดก้าของชาวโปลิชที่ผลิตขึ้นมาส่วนมาก เพื่อไว้ใช้ดื่มคู่กับยารักษาโรคมากกว่า ที่จะทำขึ้นมาเพื่อเป็นน้ำเมาที่ไว้ดื่มผ่อนคลายอารมณ์ หรือไว้ดื่มเพื่อความสนุกสนานเหล้าวอดก้าในรัสเซีย ไร้กลิ่นรส จนเกือบจะเป็นสุราขาวดีกรีสูง แต่ที่โปร์แลนด์แผกเพี้ยนออกไปเพราะเหล้าวอดก้าในโปแลนด์ มีการปรุงแต่งให้หอมเย้ายวนอุดมด้วยกลิ่นจรุงใจของผลไม้ กลิ่น อายชื่นของ ดอกไม้ และ กลิ่นเร้าอารมย์ของเครื่องเทศ

สรุป เหล้าวอดก้าเป็นสุราไร้สีดีกรีสูง วัตถุดิบที่ถือเป็นหลักในการหมักก็คือข้าวเหล้าวอดก้าจะกำเนิดจากไหน ไม่ สำคัญ แต่ทุกวันนี้เหล้าวอดก้าเด่นดังอยู่ในที่ประเทศที่นิยมดื่มเหล้าคอกเทลโดยมีสหรัฐเป็นผู้กลั่นเหล้า วอดก้าได้มากเป็นอันดับหนึ่ง คุณสมบัติที่เยี่ยมยอดสามารถเจือผสมเข้ากับเหล้าทุกประเภทได้นี้เอง จะเป็นทางให้เหล้าวอดก้าเดินไปสู่ความ ยิ่งใหญ่ได้อย่างราบรื่นในอนาคต
GIN

การกำเนิดเหล้ายิน
การผลิตเหล้าเจนีเวอร์ หรือเจนีวา หรือเหล้ายิน เพิ่งจะเริ่มในปลายศตวรรษที่ 16 การทำเหล้าเจนีเวอร์ของชาวดัชในยุคแรก ใช้มอล์ทของข้าวบาร์เลย์ผสมกับวิสกี้ไรย์และหมักกลั่นก็กลั่นด้วยพอทสตีลล์ขนาดจิ๋ว ออกมาเป็นน้ำเหล้าดีกรีขนาดปานกลาง คือ 70 - 85 ดีกรีระบบยุโรปเมื่อปล่อยให้แอลกอฮอล์เย็นตัวลงประมาณ 2-3 วัน ก็จะนำสุราดังกล่าวมาหมักซ้ำกับผลจูนีเปอร์และเครื่องเทศต่าง ๆ พอส่าได้ที่แล้วก็ลำเลียง ไปกลั่นซ้ำอีกหนหนึ่งในประเทศอังกฤษได้มีการผลิตเหล้าพิสดารไปอีกชนิดหนึ่งคือการ ใช้กากน้ำตาล (Mol.) เป็นวัตถุดิบในการ หมักกลั่นเหล้ายิน เมื่อผลิตสำเร็จรูปออกมาจึงเรียกเหล้ายินชนิดนี้ว่า "ไดร์ยิน" หรือเหล้ายินที่มีหวานแต่น้อย ซึ่งได้รับความนิยมจากคอทองแดงในมหานครลอนดอนมากโข ทุกวันนี้ประเทศอังฤษเป็นชาติที่ผลิตเหล้ายินได้มากเป็นอันดับหนึ่ง และเหล้ายินของอังกฤษก็ได้รับความนิยม จากนักเลงสุราสูงสุด

--------------------------------------------------------------------------------

คุณสมบัติที่เลิศของเหล้ายิน
เหล้ายินเปรียบเสมือนเหล้ายาของพวกฝรั่งตาน้ำข้าว เหล้ายินชนิดหลักก็โดยกากนำแอลกอฮอล์เกรนไปหมักกับผลจูนีเปอร์ และเครื่องเทศสมุนไพรอีกบางชนิดแล้วนำไปกลั่นซ้ำ เครื่องเทศสมุนไพร่ต่าง ๆ ที่ใช้โดยทั่วไปก็มีดังนี้

เปลือกสัม (Orang Peel) ให้กลิ่นหอมและรสซ่า
ลูกอาหนี (Anise) ซึ่งให้กลิ่นหอมยั่วยวนชวนใจ
ยี่หร่า (Caraway) เป็นยากระตุ้นพลังขับเลือดขับลม
หวายเทศ (Caramus) เป็นยาอายุวัฒนะ
ออร์ริส (Orris) ต้นลานที่มีรากหอม และเป็นยาแก้โรคสารพัดชนิด
โกฎน้ำเต้า (Rhubarv) เป็นยารักษาโรคสารพัดโรคอีกชนิดหนึ่ง
เมล็ดอามันต์ (Almond) เมล็ดเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมมาก
คาลัมบา (Calamba) ต้นไม้รากขมชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นยารักษาโรค
จูนีเปอร์ (Junuper) ้นไม้ที่มีผลเขียวรสเผ็ดและหอมหวานเป็นสิ่งที่เหล้ายินขาดไม่ได้เลย คือถ้าหล้ากลั่นที่ผลิตในลักษณะยินแต่ขาดส่วนผสมของ จูนีเปอร์อาจไม่ถูกจัดอยู่ในประเภทเหล้ายินไปเลย


นี้เป็นตัวอย่างส่วนน้อยของเครื่องเทศสมุนไพรต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตสุรายินอื่นจากนี้ยังมีอีกมากผลจากการนำแอลกอฮอล์ ที่คัดเลือกแล้วไปกลั่นซ้ำ ๆ ซาก ๆ โดยผสมผลจูนีเปอร์และเครื่องเทศสมุนไพรนานาชนิดนี่เองทำให้เหล้ายินมีคุณสมบัติดีเลิศชนิดหนึ่ง ที่เหนือกว่าเหล้ากลั่นชนิดอื่นใด คือเป็นเหล้าที่ปราศจาก "ฟูเซลออย" ซึ่งเป็นน้ำมันที่ปนละลายอยู่ในน้ำเหล้าที่มีโทษต่อร่างกาย เป็นปัจจัยที่ทำให้คอเหล้าเมาค้าง ปวดหัว คลื่นไส้ และ อาเจียน

คำว่าเหล้าเจนีเวอร์ หรือเจนีวาที่ใช้เรียกว่าเหล้ายินนั้นไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเมืองเจนีวา ในประเทศสวิสเซอร์แลนดเลยแต่คงจะมีเหตุผลมาจากการใช้ผลจูนีเปอร์เป็นวัตถุดิบเป็นแน่แท้ ที่ทำให้เหล้ายินมีชื่อถูกเรียกขานเป็นเหล้าเจนีเวอร์ หรือ เจนีวาในฝรั่งเศส เหล้ายินถูกเรียกว่า (genie've) หรือ เจนีวา เหมือนกัน


--------------------------------------------------------------------------------
ประเภทต่าง ๆ ของเหล้ายิน มีหลายประเภท ที่เด่นดังมากได้แก่ชนิดต่าง ๆ เหล่านี้

โอล์ด ทอม ยิน คือเหล้ายินที่ผลิตด้วยโมลาส หรือไดร์ยินนั่นเองชาวอังกฤษในนครลอนดอนติดใจมาก

ไพล์เม้าท์ ยิน เป็นเหล้ายินที่บริษัทไพล์เม้าท์ ได้ผลิตจนโด่งดังจึงเรียกเหล้ายิน ของเขาควบไปกับชื่อริษัทโกลเด้นยินเป็นเหล้ายิน ที่มีการเก็บบ่มเช่นเดียวกับ เหล้าวิสกี้ หรือบรั่นดี โดยทำการเก็บบ่มใน ถังไม้โอ๊กจนน้ำเหล้ามีสีเหลืองทอง

เหล้ายินผลไม้ เป็นเหล้ายินที่ใช้ส่วนผลมของผิวมะนาว ผิวส้มบ้างเป็นส่วนประกอบในการผสมหมักลั่นครั้งที่สอง


--------------------------------------------------------------------------------
สรุปสุรายินกล่าวได้ว่าเหล้ายิน คือสุรากลั่นที่นำแอลกอฮอล์ที่บริสุทธิ์ที่สุด (คัดเอาหัว - หางทิ้งไปชั้นหนึ่ง) ทำการหมักกับเครื่องเทศ สมุนไพรและผลจูนีเปอร์แล้วนำไปกลั่นซ้ำเป็นครั้งที่สองจึงเป็นสุรา ที่มีสารพิษตกค้างน้อยที่สุด ดื่มแล้วเชิดชูสุขภาพผู้ดื่มได้เหนือกว่าสุรากลั่นอื่นใด
RUM (เหล้ารัม) เมรัยจากน้ำอ้อย

เหล้ารัม เป็นสุรากลั่นตระกูลหนึ่งที่มีชื่อเสียงลือลั่น ไม่แพ้ เหล้ากลั่นชั้นยอดเยี่ยมตระกูล อื่นใดในโลก แต่คำว่า " เหล้ารัม " ดูเหมือนจะ ยังไม่เป็นที่คุ้นหูคุ่นตาของนักดื่มชาวไทยมากนัก เมื่อเอ่ยถึงเหล้ารัม ขออย่าได้รีบผลีผลามคิดเลยเถิดไปว่าเป็นเหล้าที่ทำมาจากรำข้าวที่มีไว้ เลี้ยงหมูอย่างเด็ดขาด เพราะว่าคำว่า "รัม" ในที่นี่แปลทับศัพท์ มาจากคำภาษาอังกฤษที่ใช้ คำว่า "RUM"

--------------------------------------------------------------------------------
กำเนิดเหล้ารัม

เหล้ารัม เป็นสุรากลั่นที่ผลิตจากวัตถุดิบจำพวกน้ำอ้อย น้ำเชื่อมของน้ำผลไม้และกากน้ำตาลแหล่งกำเนิดของเหล้ารัม อยู่ทางหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ประเทศในแถบทะเลคาริบเบี้ยน อาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาใต้ รัฐที่มีชื่อเสียงในการผลิตสุรารัมเหล่านั้นคือ เปอโตริกา, คิวบา, เดเมอรารา, บาร์บาโดส, ทรินิแดด,ไฮติ, แซนโตโดมิงโก, จาไมก้า, กีอานาของอังกฤษ และ กีอานาของฝรั่งเศส เหล้ารัมที่มีชื่อเสียงล้วนหมักกลั่นและขนย้ายไปจากภูมิภาคแถบถิ่นนี้แทบทั้งสิ้น

กำเนิดรัม ได้มีผู้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของเหล้าว่ามาจากพวกอินเดียนแดง ซึ่งเป็นชาวพื้นฐานในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกโดยพวกพ่อหมอผีทำน้ำเชื่อมผลไม้ ให้เป็นเหล้าซึ่งหมักกลั่นจากน้ำศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาสูง เพื่อไว้ดื่มกินในวันสำคัญ เมื่อคราวคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้กางเรือใบท่องไปสู่โลกกล้างเป็นครั้งที่ 2 ก็ได้มีโอกาสลิ้มลองเหล้ารัมของพวกอินเดียนแดงดังกล่าวที่เมืองอโซเรส (Azores) บนเกาะ (Barbados) ในปี ค.ศ.1600 นั้นเป็นครั้งแรกที่ชาวตะวันตกรู้จักเหล้ารัม


--------------------------------------------------------------------------------
กรรมวิธีการผลิตเหล้ารัม

เหล้ารัมเป็นสุรากลั่นที่ทำจากน้ำอ้อย กากน้ำตาล หรือน้ำเชื่อมของผลไม้รสชาติของเหล้ารัมจากแหล่งผลิต แต่ละแห่งก็ผิดเพี้ยนแตกต่างกันออกไปสาเหตุก็มาจากวัตถุดิบ กรรมวิธีและขั้นตอนในการผลิตกรรมวิธีของการผลิตเหล้ารัมหลักใหญ่มีแตกแขนงออกไป 2 กรรมวิธี คือ ชนิดตามกรรมวิธีของจาไมก้า (Jamaica) และชนิดตามกรรมวิธีของเดเมอรารา (Demerara)

กรรมวิธีของจาไมก้า ใช้น้ำเชื่อมหรือกากน้ำตาลของอ้อยเป็นวัตถุดิบหลัก และผสมด้วยฟองน้ำได้จากทำน้ำตาลการที่ต้องใช้วัตถุดิบทั้งสามชนิด คือกากน้ำตาล ฟองน้ำตาล และ กากน้ำส่ามาผสมคละเคล้าแลกปมักให้เกิดแอลกอฮอล์ ช้า ๆ โดยใช้เชื้อยีสต์ชนิดพิเศษจุดประสงค์ก็เพื่อทำให้สุรามีรสนุ่มนวล เฉียบขาดและเร้ารึงใจอย่างประหลาดเป็นความรู้สึกที่ยาก แก่การบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ กรรมวิธีการทำรัมของเดเมอรารา ใช้กากน้ำตาลทรายละลายน้ำ นั้นเป็น 2 กรรมวิธีหลักที่ผู้ผลิตรัมเลือกปฎิบัติ

สุรารัมเมื่อกลั่นเสร็จแล้ว ก็จะต้องมาลดดีกรีให้เหลือ 45 - 60 ดีกรี เพื่อนำไปเก็บบ่มใน ถังไม้โอ๊กเมื่อเก็บบ่มไว้นาน ๆ ก็จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ หรือมีสีเหลืองแก่ซึ่งเกิดจากภาชนะที่เก็บบ่มสุราแต่ก็ไม่มี หลักเกณฑ์ตายตัวว่า "สุรารัมต้องเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กเสมอไปไม่เหมือนกับการผลิตวิสกี้และบรั่นดี รัมนั้นได้ชื่อว่าเป็นเหล้าประจำวันของราชนาวีอังกฤษ ลูกประดู่เมืองวิสกี้ทุกคนถือคติประจำใจว่า "ไม่อยากเมาคลื่นจะต้อง เมารัมเข้าไว้" ในปี พ.ศ.1609 เรืออังกฤษลำหนึ่งมีเซอร์จอห์น ซัมเมอร์ เป็น กัปตันพบพายุเฮอริเคนที่เกาะเมอร์มูดาจนลูกเรือ เมาคลื่นตาม ๆ กันแต่เมื่อดื่มเหล้ารัมแทนน้ำก็สามารถพาเรือกลับอังกฤษได้คราวนั้นหมด เหล้ารัมเป็นพัน ๆ แกลลอนส์และเป็น ธรรมเนียมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาว่าเลือดประดู่ทั้งหลายต้องดื่มเหล้ารัม
Champagne

แชมเปญ เป็นชื่อจังหวัดหรือเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส อยู่ห่างจากกรุงปารีส 90ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแต่โดยทั่วไป โดยเฉพาะพูดถึงเหล้า องุ่น) แชมเปญ ก็คือ เหล้าองุ่นมีฟองที่มีราคาแพงและมีชื่อเสียงที่สุดChampagne เป็น "King of Wine" ได้รับการควบคุมการผลิตโดยกฎหมายบังคับอย่างเข้มงวด เช่น พื้นที่การ ปลูกและพันธุ์องุ่นรวมถึงขั้นตอนในการผลิต ถ้าเปรียบเทียบกับไวน์ หรือเหล้าองุ่นทั่วไปซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถหา ประวัติความเป็นมาได้แชมแปญเป็นเหล้าองุ่นใหม่ซึ่งถูกคันพบและผลิตเป็นครั้งแรกในศตวรรษ ที่ 17 โดยพระนิกายเบเนดิกทีน ชื่อ ดอมเพอริยอง (Dom Perignon) ผู้พบวิธีการนำจุกคอร์ก (Cork) มาควบคุมการหมักเหล้าองุ่น ครั้งที่ 2 ในขวดทำให้เกิดฟองอากาศโดย ธรรมชาติซึ่งต่อมาได้มีการ นิยมนำไปดิ่มในพิธีการฉลองหต่าง ๆ และแพร่หลายไปทั่วโลก

--------------------------------------------------------------------------------

ลักษณะเฉพาะของแชมเปญ

ดินที่ใช้ในการปลูกองุ่นเป็นดินชอล์กสีขวา ทำให้เกิดรส, กลิ่น ในเหล้าองุ่นแตกต่างจากเขตองุ่นอื่น ๆ พันธุ์องุ่นในเขตมี 3 ชนิดเท่านั้น Pinot Noir (พินอง นัวร์), Pinot Meunier (พินอง เมนูเออร์) ซึ่งเป็น องุ่นดำและ Chardonnay (ชาโดเน่) เป็นองุ่นขาว โดยทั่วไปแชมเปญจะทำจาก Pinot (องุ่นดำ) ในปริมาณ 2/3 และ Chatdonnay (ชาโดเน่) อีก 1/3 การเก็บองุ่นต้องทำในปลายเดือนกันยายน หรือ 100 วันหลังจากองุ่นผลิดอกองุ่นถูกเก็บและบีบน้ำในไร่ บีบครั้งที่ 1 ได้น้ำองุ่นชั้นเลิศ, บีบครั้งที่ 2-3 ยังใช้ทำแชมเปญได้ ส่วนการบีบครั้งที่ 4 จะเป็นน้ำองุ่นที่ไปใช้ทำไวน์ราคาถูก ๆ บริษัทผู้ผลิตแชมเปญจะนำเอาน้ำองุ่นจากไร่ต่าง ๆ ไปหมักเป็นเหล้าองุ่นในถังใบใหญ่โดยผสมผสานน้ำองุ่นจากไร่ต่าง ๆ ถ้ามีปีระบุต้องนำเหล้าองุ่นเฉพาะปีมาผสมกัน เท่านั้น) เพื่อที่ว่ารสชาติจะได้ไม่แตกต่างกัน เป็นเวลาประมาณ 6 เดือน จากนั้นนำเหล้าองุ่นไปบรรจุขวด และเติมยีสต์เพื่อให้เกิดปฎิกริยาครั้งที่ 2 ในขวด โดยทุกขวดจะถูกนำไปเก็บไว้นห้องใต้ดินที่มี อุณหภูมิคงที่ เป็นเวลา 3-5 ปี ในระหว่างการเก็บไวน์จะมีการทำ Remuage โดยที่ขวดจะได้รับการหมุนขยับจากแนวนอนจนถึงแนวตั้งคอขวดลง เพื่อให้ตะกอนที่เกิดขี้นระหว่างการหมัก มารวมตัว กันที่คอขวด Degorgement คือขั้นตอนการนำเอาตะกอนออกจากขวดโดยแช่คอขวดให้ส่วนที่มีตะกอนแข็งตัว แล้วเปิดขวดความดันจากแก๊สที่เกิดขึ้นจากการหมักจะดันตะกอน ออกจากขวด (ในอดีตไม่มีเทคนิคอันนี้ การนำตะกอนออกแต่ละครั้งจะเปลืองไวน์ประมาณ 1/4 ขวดเติมน้ำเหล้าองุ่นหรือน้ำตาลลงในขวดแทนส่วนที่เสียไป แล้วปิดจุคคอร์กและรับดัวลวดเพื่อรักษาความดัน (Corkage) เก็บไว้อย่างต่ำ 6 เดือน ก่อนส่งออกจำหน่ายต่อไป

รสชาติของไวน์มีฟอง (แชมเปญ)

Brut, Natture - ไม่หวานมาก หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) อยู่น้อยประมาณ 0-2 % ของน้ำเหล้า
Extra Dry,Extra Sec,Tres Sec - ไม่หวาน หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 2-3 %
Sec - หวานน้อย หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 4-5 %
Demi Sec - หวานปานกลาง หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 7-9 %
Rich,Doux - หวานมาก หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 5-10 %

ในอดีตมักนิยมดื่มแชมเปญประเภทหวาน (ประมาณ 30 ปีที่แล้ว) ปัจจุบัน Brut หรือแชมเปญแบบไม่หวานมากเป็นที่นิยมดื่มมาก แชมเปญยังมีหลายแบบ เช่น Vintage, Non-intage,Pink Rose, Blanc de Blancs


--------------------------------------------------------------------------------

การเก็บแชมเปญ
หลังจากใช้เวลานานในกระบวนการผลิต คุณภาพของแชมเปญจะไม่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเก็บในห้องใต้ดินอีกนานเท่าใดก็ตามแต่แชมเปญ อาจเก็บได้นาน 4-5 ปี โดยวางขวดในลักษณะ นอนและรักษา อุณหภูมิที่ประมาณ 10 - 15 องศา C อุณหภูมิที่เหมาะแก่การดื่มแชมเปญและเหล้าองุ่นมีฟองชนิดอื่น จะต้องเย็นจัดประมาณ 5 - 9 องศา C ผู้ชำนาญด้านเหล้าองุ่นแนะนำ ให้แช่แชมเปญในถังน้ำแข็งไม่ควรแช่เย็น ในตู้เย็นเพราะจะเย็นเกินไป


--------------------------------------------------------------------------------

วิธีการเปิดขวดแชมเปญที่ถูกต้อง
หลังจากแกะลวดรัดออกแล้ว ให้จับขวดมือหนึ่งและจับจุกคอร์กอีกมือหนึ่ง ค่อย ๆ หมุนขวดจุกคอร์กจะหลุดออกมาย่างง่ายดาย เช็ด ขวดก่อนเทใส่แก้ว การเปิดขวดแชมเปญแบบ เขย่า ความดันภายในจะดันจุกคอร์กให้ระเบิดออกไปมีผลทำให้น้ำแชมเปญไหลออกมา เสียของไปโดยเปล่าประโยชน์ และเมื่อเปิดขวดแล้วควรดื่ม ให้หมดเพราะแชมเปญ ไม่สามารถเก็บข้ามวันได้ แก้วประเภทมีก้านยาว เหมาะแก่การดื่มแชมเปญทั้งสิ้นแต่ถ้าเป็นแก้วที่มีด้านบนทรงเรียวเล็ก Flute จะดีที่สุด เพราะจะเก็บฟองแชมเปญได้นาน


อื่น ๆ
แชมเปญบางยี่ห้อ เช่น ดอม เพดริยอง (Dom Perignon) เลอ กรอง ดาม (Le Grande Dome), หลุยส์ ปอมเมอรี่ (Louise Pommery (, คูเว่ย์ เซอร์ วินสตัน เซอร์ชัลล์ (Cuvee Sir Winston Churchill), Vintage and Special Lable ล้วนแต่ ทำจากน้ำองุ่น ที่บีบครั้งที่ 1 และจากไร่องุ่นที่แบ่งโดยรัฐบาลว่าเป็นไรชั้น 1 มีองุ่นพันธุ์ Chardonnay ซึ่งแพงกว่าองุ่นดำมากและปริมาณการผลิตได้ น้อยกว่าราคาจึงแพง

เหล้าองุ่นมีฟอง ยังมีการทำอีกมากในเขตอื่นของประเทศฝรั่งเศษและทั่วโลก แต่จะเรียกตัวเองว่า Sparkling Wine เท่านั้น การผลิต ถ้าบรรจุแก๊สแบบน้ำอัดลมราคาก็จะถูก, ถ้าหมักครั้งที่ 2 จำนวนมากในถังเหล็กใหญ่ก็แพงขึ้นหน่อย ถ้าทำการผลิตเหมือนแชมเปญก็ แพงมากแต่ราคาก็ยังถูกกว่าแชมเปญแท้กว่าครึ่ง


Sparkling Wine มีชื่อเรียกในภาษาอื่น ๆ คือภาษาเยอรมัน เรียกว่า Sekt (เซกท์) ภาษาอิตาเลี่ยน เรียกว่า Spumante (สปูเมนเต้) - Asti (แอสติ - เป็นเขตปลูกองุ่นที่มีชื่อเสียง และราคาแพง) และบ่อยครั้งจะเห็นบนฉลากของเหล้าองุ่นมีฟองที่ผลิตจากออสเตรเลีย, สเปน, และสหรัฐอเมริกา พิมพ์คำว่า "แชมเปญ" ซึ่งเป็นการเรียกหรือระบุชื่อที่ไม่ถูกต้อง
บันทึกการเข้า

อันวันใดไม่สำคัญเท่าวันนี้ เป็นวันที่สำคัญกว่าวันไหน
อันวันนี้สำคัญกว่าวันใด  วันไหนไหนไม่สำคัญเท่าวันนี้
สีอำพัน-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 258
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4432



« ตอบ #88 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 10:39:15 AM »

ต่ออีกครับ

Wine

ประเภทของเหล้าไวน์

ถ้าจะให้จำแนกประเภทของเหล้าไวน์ออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เราก็สามารถแยกแยะเหล้าไวน์ใน โลกนี้ ออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันคือ พวกเทเบิ้วไวน์ (Table Wines) พวกสปาร์กลิ้งไวน์ (Sparking Wines) และพวก ฟอร์ติไฟด์ไวน์ (Fortified Wines) ซึ่งแต่ละพวกก็ยังสามารถไล่เรียงลูกหลายย่อย ๆ ออกไปอีกหลาย ๆ ตระกูล

พวกเทเบิ้ลไวน์ (Table Wines) เป็นไวน์ยอดนิยม ซึ่งไวน์ในท้องตลาดส่วนใหญ่ก็เป็นไวน์จาก ตระกูลนี้ทั้งสิ้นเป็นไวน์ที่เหมาะสมสำหรับดื่มคู่กับอาหาร มีแอลกอฮอล์ในน้ำสุราระหว่าง 7 - 15 ดีกรีระบบยุโรป นอกจากนั้นไวน์ขาวและไวน์แดงของเทเบิ้ลไวน์ก็ยังแตกสาขาออกไปอีก อย่างไวน์ขาว ก็มีทั้งประเภทหวาน และ ประเภทไม่หวาน สำหรับไวน์ขาว ประเภทไม่หวานชนิดที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้แก่ จำพวก Chablis ไวน์ Muscadet Riesling สำหรับไวน์ขาวนี้อาหาร ที่เหมาะสำหรับดื่มคู่ กับ ไวน์ขาว ได้แก่ เนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่ออกทางสีขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อปู สำหรับไวน์แดง ไวน์แดงจากแค้วนบอร์โดซ์ของฝรั่งเศสถึอว่าเป็นไวน์ที่เยี่ยมที่สุดของโลก และไวน์แดงทุกชนิด จะไม่ออกรสหวานเลย อาหารที่คู่กับไวน์แดงได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ออกทางสีแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อเก้ง เนื้อแกะ ฯลฯ

พวกสปาร์กลิ้งไวน์ (Sparkling Wines) ไวน์ประเภทนี้ได้แก่ ไวน์ประเภทที่มีฟองนั่นเองหรือเป็น ไวน์จำพวกที่มีดีกรีปานกลางคือมีแรงแอลกอฮอล์ระหว่าง 15 - 18 ดีกรี ระบบยุโรป ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาวและส่วนน้อยจะเป็นไวน์แดง หรือ ไวน์สีชมพู รสของไวน์ประเภทนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่ไม่หวานเลยระเรื่อยไปจนหวานนิดหน่อย หวานมาก และหวานมาก เป็นไวน์ที่ไม่เหมาะสำหรับดื่มคู่กับอาหารแต่เป็นการดื่มฉาบฉวยในบางโอกาส โดยเฉพาะในโอกาสฉลองชัย ไวน์ประเภทนี้ ปกติชนทั่วไปไม่นิยมเรียกว่าไวน์แต่จะมีชื่อเสียงเรียงนามจำเพาะเจาะจงของมันเรียกเป็นเอกเทศ เช่น เหล้าแชมเปญ เหล้าชาร์มัง เหล้าคาร์บอเนต เหล้าสปาร์กลิ้งเบอร์กันดี

พวกฟอร์ตืไฟด์ไวน์ (Fortified Wines) เป็นเหล้าไวน์ประเภทที่มีดีกรีสูงที่สุดคือมีแรง แอลกอฮอล์ ระหว่าง 18 - 22 ดีกรี ระบบุโรปและเป็นไวน์นักดื่มทั่วไปไม่นิยมเรียกว่าเหล้าไวน์ แต่จะมีชื่อจำเพาะเจาะจงของมันเองเช่นเดียวกับสปาร์กลิ้งไวน์แถมเหล้าไวน์นี้แผกเพี้ยน ไปกว่าเหล้าไวน์ตระกูลอื่น ๆ คือน้ำเหล้าแทนที่จะเป็นไวน์ล้วน ๆ แต่เป็นการนำไวน์มาผสมกับบรั่นดี โดยมีบรั่นดี เจือผสมอยู่ใน ฟอร์ติไฟด์ไวน์ 15 % ไวน์ในตระกูลนี้บางตัวก็เป็นไวน์พิสดารอย่างเช่น เหล้า เชอรี่ ของ สเปญประเภทฟีโนเมื่อรินน้ำเหล้าใส่แก้วก็จะมีดอกไม้ เบ่งบานในน้ำเหล้าให้ผู้ดื่มได้ หวือหวาอีกด้วย

--------------------------------------------------------------------------------
อุณหภูมิในการเสริฟ์ไวน์

ควรปรับให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับเสริฟ์อย่างช้า ๆ สำหรับไวน์ขาวรส ไม่ หวาน (Dry White Wine) และ ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) ควรเสริฟ์ในขณะที่มี อุณหภูมิระหว่าง 8 - 12 องศา C แต่อย่าให้เย็นจัดจนเริ่มจับเป็นเกล็ด หรือแข็งจน เป็นน้ำแข็ง ไวน์ที่ค่อนข้าง หวาน หรือไวน์ ขาวหวาน,แชมเปญหรือไวน์ฟอง (Sparkling Wine) อาจ เสริฟ ในอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่า ไวน์ขาว หรือไวน์รสไม่หวาน ได้ คือ ประมาณ 6 - 8 องศา C ไวน์แดงอ่อน รสนุ่ม จะต้องเสริฟ ณ อุณหภูมิ ของห้องเก็บไวน์มาตรฐาน (Cellar)ประมาณ 10 - 12 องศา C ไวน์แดงที่เข้มข้น ควรเสิรฟ์ใน อุณหภูมิ "Chambre" คือให้ไวน์ มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิในห้องที่อบอุ่นปานกลาง เช่น ไวน์บอร์โด เสิร์ฟที่ อุณหภูมิ 18 -19 องศา C ส่วน ไวน์เบอร์ กันดี เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15 - 16 องศา C


--------------------------------------------------------------------------------
สิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง

การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิรฟ์ไวน์ขาว

เสิร์ฟเย็นจัดจนเกินไป หรือกลายเป็นน้ำแข็ง
แช่เย็นไว้ในตู้เย็นนานกว่า 2 ชั่วโมง
แช่ไวน์ไว้ในช้องทำน้ำแข็ง
ใส่น้ำแข็นในไวน์


การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิร์ฟไวน์แดง

อุ่นให้ร้อนจนเกินไป การทำให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิ "Chambre" ไม่ได้หมายความว่า อุ่นด้วย ความร้อน
ใส่ขวดไวน์ไว้ในหม้อน้ำร้อน
สำหรับไวน์ทุกชนิด

ต้องปรับอุณหภูมิของไวน์อย่างช้า ๆ ให้เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการดื่ม ไม่ควรใช้วิธีลดหรือเพิ่มอุณหภูมิที่เร็วเกินไป

อุณหภูมิที่ไวน์จะมีรสดีที่สุด กฎทั่วไป

ไวน์ใหม่ควรจะเสิร์ฟให้มีความเยํนมากกว่าไวน์ที่เก็บหลายปี
อย่าลืมว่า ขณะที่รับประทานอาหาร อุณหภูมิของไวน์ในแก้วจะเพิ่มขึ้น
ไวน์ที่เสิร์ฟในอุณหภูมิระหว่าง 6 องศา C และ 8 องศา C ในห้องที่มีอุณหภูมิ 18 องศา C จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 10 องศา C ถึง 12 องศา C ได้ในเวลาประมาณ 10 นาที
แก้วดีที่เหมาะกับไวน์ดี ลักษณะที่จำเป็นของแก้วไวน์ที่ดี มีดังนี้คือ

แก้วไวน์จะต้องมีขนาดใหญ่พอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรินไวน์จนเต็มแก้ว
ควรเป็นแก้วทรงกลม ปากแก้วแคบเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นไวน์อบอวลอยู่ในแก้ว และหอมเตะจมูกของผู้ดื่มได้
ควรมีก้านแก้วยาว เพื่อไม่ให้อุณหภูมิของแก้วไวน์ในแก้วเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปในขณะที่ดื่ม

--------------------------------------------------------------------------------

สิ่งสำคัญที่พึงนึกถึง
แก้วที่ดีจะต้องทำขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการดื่มและการดมกลิ่นหอมของไวน์ ไม่ใช่เพียง เพื่อมองดูสวยงามเท่านั้น
ควรหลีกเลี่ยงแก้วที่หนาหรือแก้วที่มีสีสัน
ตัวแก้วควรจะทำมมาจากเแก้วเนื้อดี มีรูปร่างเรียวบางที่สุดที่จะทำได้ และควรจะใสสะอาดด้วยแค่เพียงแสงไฟก็เพียง พอแล้วที่จะทำให้เราสามารถชื่นชมกับสีสัน ประกายแวววาว และความใสของไวน์นั้นได้
ความสะอาดของแก้วไวน์ แก้วไวน์จะต้องสะอาดปราศจากรอยเปรอะเปื้อน

ระวังรอยลิปสติกที่อาจหลงเหลืออยู่
ล้างแก้วในน้ำอุ่น ๆ ไม่ต้องใช้น้ำยาล้าง
ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดเช็ดแก้ว
ระวังอย่าให้ฝุ่นจับอยู่บนชั้นวางแก้ว

วิธีเปิดขวดไวน์

เมื่อคุณได้เลือกหยิบไวน์มาจากหิ้งเก็บไวน์เพื่อเสิร์ฟให้แขกผู้มีเกียรติของคุณนั้นควรคำนึงว่าคุณได้เก็บ ไวน์ นี้ไว้อย่างดี โดยไม่ได้ถูกแสงสว่าง และอยู่ในอุณหภูมิที่สม่ำเสมอที่ 10 - 20 องศา C

ควรสังเกต ถ้าเป็นไวน์แดงคุณภาพสูง ที่ผ่านการบ่มในขวดหลายปี ถ้าไม่มีตะกอนอยู่ที่ก้นขวดก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ตะกร้า เสิร์ฟแต่ในกรณีที่เป็นไวน์ที่ผ่านการบ่มมานาน ก็อาจมีตะกอน จากกรดของเปลือกองุ่นอยู่ก้นขวดคุณจะต้องใช้ความระมัด ระวังในการเสิร์ฟไวน์ขวดนี้เป็นพิเศษโดยใช้ตะกร้าเสิร์ฟ และวางขวดให้อยู่ในแนวนอนตามสภาพที่มันอยู่บนหิ้งเก็บไวน์และระวังอย่า เขย่าขวดเพื่อไม่ให้ตะกอนเจือปนกับไวน์รสกลมกล่อมขวดนี้ได้

วิธีเปิดฝาขวด (ควรทำอย่างเบามือ)

ใช้มีดกรีดส่วนที่เป็นโลหะหรือพลาสติกที่หุ้มรอบคอขวดออก ให้ต่ำจากฝาขวด 1 ซม. เพื่อไม่ให้ไวน์ สัมผัสวัสดุใด ๆ รอบคอ ขวดในขณะริน และเช็ดด้วยผ้าสะอาด

วิธีเปิดจุกคอร์ก

การจะเปิดจุกคอร์กได้ดี ควรจะมีที่เปิดจุกคอร์กแบบเกลียวเพื่อความสะดวกในการเปิด
เมื่อดึงจุกคอร์กออกมาแล้ว ให้ดมกลิ่นจากจุกคอร์กนี้อย่างระมัดระวัง ถ้ามีกลิ่นบูดอยู่ในจุกคอร์กจะต้องเก็บไวน์ขวดนี้ และ เสิร์ฟไวน์ขวดใหม่ทันที
เช็ดรอบคอขวดอีกครั้ง โดยเช็ดรอบขอบด้านในของขวดด้วย
รินไวน์ลงในแก้วเล็กน้อยเพื่อชิมรสชาติ
วิธีเปิดขวดแชมเปญหรือไวน์ฟอง

จับขวดด้วยมือหนึ่ง และใช้มืออีกช้างหนึ่งปลดลวดที่รัดจุกคอร์กอยู่
เอียงขวดเล็กน้อยให้เป็นมุมเฉียง จับจุกคอร์กให้แน่นขณะที่หมุนขวดไปด้วย จุกคอร์กจะขยับออกอย่างง่าย ๆ ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงจุกคอร์ก ออกทีละน้อย เพื่อให้แก๊สภายในขวด ดันออกมาอย่างเงียบ ๆ ช้า ๆ โดยไม่ทำให้ฟองล้นออกมา
เช็ดรอบคอขวดด้วยผ้าสะอาด เทแชมเปญเพียงเล็กน้อยลงในแก้วแต่ละใบ แล้วจึงเติมลงในแก้วแต่ละใบอีกครั้งให้เป็น 2/3 ของแก้ว
อย่าบดบังฉลากบนขวด เพราะฉลากที่ออกแบบมาอย่างสวยงามเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งที่ดึงดูดใจผู้ดื่ม
ไม่ควรใช้ที่เขย่าผมสเหล้าเพื่อเพิ่มฟองอย่างเด็ดขาด เพราะจะเป็นการทำลายฟองและกลิ่มหอมของไวน์ชนิดนี้ให้หมดไปและ ยังเป็นการดูหมิ่นความพยายามของทั้งผู้ผลิตและ ผู้เก็บรักษาอีกด้วย

การรินไวน์อย่างถูกวิธี

ไม่มีอะไรจะง่ายดายเท่าการรินไวน์ อย่างไรก็ตาม คุณควรทำตามนำแนะนำเหล่านี้อย่างตั้งใจด้วย

อย่าให้ขวดอยู่สูงจากแก้ว ควรให้คอขวดอยู่ใกล้กับปากแก้ว เพื่อที่ไวน์จะได้ไหลลงแก้วอย่างเบา ๆ ละไวน์ไม่กระเพื่อม
อย่าให้คอขวดไวน์อิงติดกับปากแก้วขณะริน
ระวังให้ไวน์หยดสุดท้ายที่คุณรินนั้นหยดลงในแก้วไวน์ ไม่ใช่หยดลงบนผ้าปูโต๊ะทำได้โดยหมุนขวดเล็กน้อยใน ขณะที่ยกคอขวดขึ้นจากนั้นเช็ดคอขวดทันทีด้วย ผ้าสะอาด ก่อนที่จะเสิร์ฟไวน์ ให้แขกคนต่อไป(เสิร์ฟจากซ้ายไปขวา และสุภาพ- สตรีก่อนสุภาพบุรุษ)
ถ้าคุณใช้ผ้ารองถือขวด เมื่อหยิบขวดไวน์ออกจากถังแช่ จะต้องระวังไม่ให้ผ้าปิดบัง ฉลากบนขวดไวน์ซึ่งเปรียบเสมือนประกาศนียบัตรรับรองไวน์ขวดนั้นเลยทีเดียว
อย่ารินไวน์จนปริ่มถึงขอบแก้ว
อย่าปล่อยให้แก้วว่างเปล่า โดยไม่ได้เติมไวน์ รวมทั้งอย่ารินไวน์ให้มากเกินไป
ไวน์ และอาหาร ความสมดุลแห่งรสชาติ

แม้เราจะทำตามกฎที่ผู้เชี่ยวชาญได้ปฎิบัติสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหันหลังให้กับการแสวงหาความผสมกลมกลืนของรสชาติที่แปลกใหม่ หรือแตกต่างกันออกไปหลักสำคัญก็คือ จะต้องจัดอาหารและไวน์ ให้ส่งเสริมรสชาติของกันและกันโดยไม่ไปกลบหรือทำลายเอกลักษร์ของรสชาติ ที่มีอยู่เฉพาะตัวความผสมกลมกลืนของรสชาตินี้ ก็เหมือนกับความผสมกลมกลืนของสีสัน หรือดนตรี

คุณควรจะต้องเสิร์ฟไวน์หลายชนิในอาหารต่อมื้อ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะสร้าง "ลำดับ"จากความอ่อนนุ่มที่สุด ไปสู่รสชาติเต็ม ขั้น โดยเสริฟ

ไวน์รสไม่หวาน ก่อน ไวน์หวาน
ไวน์ขาว ก่อน ไวน์แดง
ไวน์แดง ก่อน ไวน์ที่มีรสหวาน
และไวน์ใหม่ ก่อน ไวน์ที่เก็บบ่มไว้หลายปี

และมีแต่น้ำเท่านั้น ไม่ใช่ไวน์ ที่เหมาะจะดื่มร่วมกับอาหารที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู สลัด พุดดิ้งส้ม หรือพุดดิ้งช็อกโกแลต เพราะอาหารเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นศัตรูกับไวน์ ทำให้ไวน์ไม่มีรสชาติ หรือมีรสชาติเปลี่ยนไป
Beer ( เบียร์ )
ความนุ่มนวลบนฟองชวยชื่น

กำเนิดเบียร์โบราณ
เชื่อกันว่าเบียร์มีมาเกือบ 9,000 ปีแล้วโดยชาวบาบีโลนเป็นชาติแรกที่คิดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขึ้นมาที่ต่อมาถูก เรียกว่าเบียรไว้สำหรับสังเวยเทพเจ้าของเขาชาวบาบีโลนนิยมดื่มเบียร์กันทั้งบ้านทั้งเมืองโดยมีร้านขายเบียร์ผุดขึ้นมาทั่ว ราชอาณาจักรราวกับดอกเห็ดซึ่งแหล่งขายเบียร์ในยุคนั้นเรียกว่าBit Sikariผู้บันทึกไว้ว่าชาวอียิปต์รู้จักทำเบียร์ทีหลังกว่า ชาวบาบีโลนแต่อียิปต์ก็เป็นชาติที่เก่าแก่ที่คิดค้นเบียร์ได้เอง

กำเนิดเบียร์ยุคใหม่
ประวัติศาสตร์ของเบียร์ยุคใหม่เริ่มที่ประเทศเยอรมันเจ้าตำรับแห่งเบียร์ โดยชาวเยอรมันโบราณได้เป็นผู้คิดค้นทำเบียร์ขึ้นในแคว้นบาวาเรีย โดยไม่ได้ลอกเลียนแบบการทำเบียร์จากชาติใด ๆ เครื่องดื่มที่มีฟองชนิดนี้ชาวเยอรมันทำจากข้าวมอล์ท ยุคนั้นเรียกว่า Peor หรือ Bior จนเพี้ยนมาเป็นคำว่า Beer ส่วนใหญ่ของผู้ทำเบียร์ในยุคนั้นได้แก่พระ ที่ต้องการชักจูงให้ผู้คนนับถือศาสนาคริสต์ โดยเอาเบียร์เป็นเครื่องล่อ


--------------------------------------------------------------------------------

ปัจจัยทีใช้ในการทำเบียร์
เบียร์คือสุราชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในประเภทสุราแช่ (คือสุราที่ยังไม่ได้กลั่น) เบียร์แต่ละยุคโบราณมีวัตถุดิบและกรรมวิธีหลายอย่างได้แก่พวกธัญญาพืชนานาพันธุ์ และผลไม้ต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันเบียร์ส่วนใหญ่ผลิตจากข้าวมอล์ทของข้าวบาร์เล่ย์เท่านั้นวิธีทำอย่างย่อคือนำข้าวมอล์ทไปบดแล้วต้มให้สุก หมักด้วยเชื้อยีสต์กับดอกฮอพ พาสเจอร์ไรซ์และนำเก็บไว้ในห้องเย็น 2-3 เดือน ก็จะได้น้ำเบียร์ที่ดื่มแล้วกระชุ่มกระชวยส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเบียร์มีดังนี้

มอล์ท ( Malts ) มอล์ทคือการนำข้าวบาร์เล่ยมาเพาะให้งอกรากการทำเบียร์ให้ได้คุณภาพดี จะต้องเลือกข้าวบาร์เล่ย์ที่จะเพาะเป็นมอล์ทที่มีคุณภาพดี มีผู้ผลิตเบียร์จำนวนไม่น้อยที่ทุ่นค่าใช้จ่ายของต้นทุนโดยเอาธัญพืชอื่น ๆ เช่น ข้าวเหนียว ข้าวโพด ข้าวโอ๊ตและข้าวไรย์มาเป็นส่วนผสมในการผลิตเบียร์ สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เบียร์มันและหอมไม่เท่าที่ควรข้าวบาร์เล่ย์ 2 พันธุ์ที่นิยมนำมาทำเบียร์ที่สุด คือ พันธุ์ ทู-ราว บาร์เล่ย์ และพันธุ์ ซิก-ราว บาร์เล่ย์ ผู้ผลิตเบียร์ในยุโรปส่วนใหญ่จะใช้สองพันธุ์นี้ เช่น เยอรมัน สเปญ ฝรั่งเศษ อังกฤษ และ เดนมาร์ก

ฮอพส์ (Hops) ฮอพส์เป็นดอกไม้ที่มีรสขมและหอม มีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคหลายชนิด การนำดอกฮอพมาผสมในเบียร์อังกฤษเป็นชาติแรก คุณสมบัติพิเศษของฮอพคือ ทำให้เกิดกลิ่นหอมอันเย้ายวนในน้ำเบียร์ และขมลึก ๆ ดอกฮอพมีหลายพันธุ์ด้วยกัน

น้ำ ( Water ) น้ำตามธรรมชาติที่ส่วนผสมของแคลเซี่ยมเหมาะสำหรับการทำเบียร์รสเข้มข้น เช่น ประเทศอังกฤษเบียร์ชนิดปอลเอล ผลิตที่เบอร์ตัน ออนเทรสต์ มีชื่อเสียงมาก เพราะน้ำที่นั่นมีปริมาณแคลเซี่ยมซัลเฟต (ยิปซัม) มากกว่าที่อื่นที่อเมริกา น้ำก็อิทธิพลต่อเบียร์ที่นั่นมาก เช่นน้ำจากทะเลสาบเฮมล็อคบริเวณดังกล่าวก็เป็นแหล่งผลิตเบียร์มีชื่อรายใหญ่หลายราย

ยีสต์ ( Yeast ) การทำเบียร์ยุคโบราณใช้ยีสต์ตามธรรมชาติที่มีในอากาศทั่ว ๆ ไปในปี ค.ศ.1876 จึงได้มีการคิดค้นตัวยีสต์ จากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ขึ้นยีสต์ตามธรรมชาตินั้นเมื่อทำปฏิกริยาทางวิทยาศาสตร์น้ำส่า บางครั้งจะทำได้ตัวยีสต์ที่ให้กลิ่นรสที่เราไม่ต้องการ การเตรียมเชื้อยีสต์จากห้องปฏิบัติการเราสามารถควบคุมและเฟ้นตัวยีสต์ที่เราต้องการมาทำการหมักกับเบียร ์ได้ยีสต์ที่นำมาใช้กับเบียร์มีประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือประเภทที่กินน้ำตาลจนอิ่มแล้วซบเซาง่วงนอนตกไปอยู่ที่ก้นถังยีสต์ประเภทนี้ใช้ทำ ลาเคอร์เบียร์ ส่วนอีกประเภทหนึ่งตรงกันข้ามกับประเภทแรกคือ เมื่อกินน้ำตาลจนอิ่มกลับกระฉับกระเฉงลอยตัวขึ้นไปผาดโผนอยู่บนน้ำส่าของเบียร์

วัตถุปัจจัยอื่นที่ใช้เป็นองค์ประกอบในการทำเบียร์
ปัจจัยอื่น ๆ เหล่านั้น ได้แก่สีคราเมล ใช้ปรุงแต่งเบียร์ทำให้เบียร์มีสีสันเป็นเหลืองทอง หรือดำมืด หรืออาจเป็นจำพวกน้ำเชื่อมบางชนิดที่ผู้ผลิตเบียร์ผสมในน้ำเบียร์ให้มีเอกลักษณะจำเพาะเจาะจง ผู้ผลิตบางรายใช้หรือน้ำของเนื้อย่างผสมในเบียร์

บันทึกการเข้า

อันวันใดไม่สำคัญเท่าวันนี้ เป็นวันที่สำคัญกว่าวันไหน
อันวันนี้สำคัญกว่าวันใด  วันไหนไหนไม่สำคัญเท่าวันนี้
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #89 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 10:44:16 AM »

เดี๋ยวมีโอกาสดี ๆ ..จะหาวอดกา....ซักขวด...ไปนั่ง..กินกับข้าว..ซักมื้อนะ...อาจารย์.... Grin
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.172 วินาที กับ 21 คำสั่ง