ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย...ด้วยใจจริง
"ขายข่าว" อันที่จริงเรื่องการเซ็นเซอร์ภาพลักษณะเคยมีกรมการที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้...
ขอความร่วมมือเชิงบังคับว่า "ต้องเซ็นเซอร์" เพื่อไม่ให้เป็นภาพที่ชวนสะเทือนขวัญแก่ประชาชน...
หนังสือพิมพ์ในปัจจุบันอยู่ในสถานะการณ์ไม่ค่อยดีนัก...ต้องนำข่าวที่ขายชาวบ้านได้...
เช่นเรื่องดังกล่าวตามกระทู้, เรื่องฉาวๆ ของดาราและคนมีชื่อเสียง, ข่าวอภินิหาร, ข่าวประหลาดๆ ที่ขอหวยได้ ฯลฯ
ต้องเอาข่าวเหล่านี้มาขายเพราะไม่อย่างนั้นขายไม่ได้...หนังสือพิมพ์หรือบานเบอะ...
ที่สำคัญโฆษณาก็ขายไม่ออก...หน้าเหลือเบะบ่ะ...
เคยติดต่อซื้อหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบนถนนวิภาวดีรังสิต...(มีหลายฉบับดี...จะได้ไม่รู้ว่าใคร 555)
จะลงครึ่งหน้าวันนั้นวันนี้...คำตอบที่ได้รับ "หน้าเต็ม...ไม่ว่างไปอีก 5-6 เดือน...ต้องลงชื่อรอไว้ก่อน"
ด้วยน้ำเสียงแบบไม่สนใจลูกค้า...ช่วงนี้เศรษฐ์กิจไม่ดี...โทรมาพี่ค่ะพี่ขา...มีหน้านั้นว่างหน้านี้ว่าง...ราคาพิเศษ
จากตอนติดต่อเองราคาขาดตัวไม่ลดสักบาท...ตอนนี้ให้ราคาเดิมแต่หน้าพิเศษตำแหน่งพิเศษค๊า...
หรือไม่ก็ให้ส่วนลดแบบพิเศษจริงๆ จนเราเองก็งง

การลงข่าวเหล่านี้จึงกลายเป็นจุดที่จะทำให้ขายได้...เพื่อความอยู่รอด...ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่าเพื่อไม่ให้กำไรลดลงต่างหาก...
ข่าวที่ขายชาวบ้านได้จึงอยู่บนหน้าหนึ่งเสมอๆ...แถมเนื้อข่าวอ่านแล้วเหมือนนิยาย...เหมือนผู้เขียนอยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด
การนำเสนอจะใส่ข้อมูลที่ "ตนเอง" วิเคราะห์เข้าไปด้วย...ซึ่งบางเรื่องตนเองไม่มีความรู้เลย...
เช่น...รถรุ่นหนึ่งพลิกค่ำผู้ขับตาย...ตลึงหลังคาทำจากกระดาษอัด, หรือคนขับตายเพราะติดเข็มขัดนิรภัย...
แสดงถึงความหมั่นเพียรในการทำงาน...ว่าไม่ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม...และไม่แสวงหาความจริงที่ถูกต้อง
ปลงแล้วกับสื่อที่จ้อง "ขายข่าว" เช่นนี้...อยากให้วิญาณของ "นักหนังสือพิมพ์" รุ่นเก่าๆ ที่ยึดมั่นอุดมการณ์และจารยาบรรณ
ช่วยดลใจให้นักข่าวเหล่านั้นรู้สำนักในหน้าที่และคำว่า "จรรยาบรรณ" หรือไม่ก็ดลใจให้เปลี่ยนอาชีพไปเป็น "นักเขียนนิยาย" จะดีกว่า
ปล.ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียทุกท่าน...และขอให้พระสยามเทวาธิราช ดลบัลดาลให้บ้านเมืองและประชาชนเป็นสุขด้วยเทิด...สาธุ