
ต่อนะครับ....
ตอน บุญสลึงเฟื้อง ยายแฟงมีอาชีพเป็นแม่เล้า เจ้าของซ่อง อาศัยแรงกายที่ขายกามของหญิงโสเภณีเป็นอยู่ แกไม่ต้องทำอาชีพอื่นให้เหน็ดเหนื่อย หากินบนความทุกข์ของคนอื่นนี่สบายที่สุด จะไปทำอย่างอื่นให้เมื่อยตุ้มทำไม อาชีพแม่เล้าทำให้แกร่ำรวย มีเงินทองมากขึ้นทุกวัน จนใครๆ พากันนับถือ (นับถือเงินตรา)
เมื่ออายุมากขึ้น ยายแฟงคิดอยากทำบุญใหญ่สักครั้งหนึ่ง เผื่อจะช่วยลบรอยบาปที่ฉาบทาชีวิตลงได้บ้าง จึงได้บริจาคเงินจำนวนมากสร้างวัดใหม่ยายแฟง หรือวัดคณิกาผล ที่เรียกกันในเวลาต่อมาที่ป้อมปราบศัตรูพ่าย ฝั่งพระนคร
การสร้างวัดได้สำเร็จเสร็จลงด้วยดี ยายแฟงแกดีใจมากว่าแม้ตัวแกจะมีอาชีพเป็นเพียงแม่เล้า แต่ก็สามารถมีเงินสร้างวัดได้อย่างท่านเศรษฐีเชียวนะ วันฉลองวัด ยายแฟงได้นิมนต์สมเด็จฯ โต ไปเทศน์แสดงอานิสงส์ของการสร้างวัด จะได้บุญมากน้อยอย่างไร เทศนาธรรมของสมเด็จฯ โต ตอนหนึ่งมีว่า
ยายแฟงสร้างวัดครั้งนี้ ได้ผลอานิสงส์บกพร่อง ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเงินที่สร้างวัดเป็นเงินที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นที่ไม่ชอบด้วยธรรมเนียม ถ้าเปรียบอานิสงส์นี้ด้วยเงินเหรียญบาท ยายแฟงก็ได้ไม่เต็มบาท จะได้สักสลึงเฟื้องเท่านั้น นี่ว่าอย่าเกรงใจกันนะ
ใครๆ ฟังแล้วก็ชอบใจ หัวเราะกันครื้นเครง แต่ยายแฟงฟังแล้วเกร็งๆ ซ้ำขัดเคือง กาลเวลาผ่านไป ยายแฟงพิจารณาดูแล้วเห็นจริงตามที่สมเด็จฯ โตว่า จึงไม่โกรธเคืองสมเด็จฯ อีกต่อไป
......................................................
ตอน ยศศักดิ์น่าขบขัน เมื่อตอนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ สมเด็จฯ โตตอนนั้นเป็นมหาโต ต้องมีอันต้องจาริกไปตามป่าลำเนาไพรดงพญาไฟ ท่านก็เคยไปอยู่มานานหลายปี ยังได้ข้ามไปประเทศลาวและเขมรอีก รวมเวลาที่หนีเข้าป่าได้ ๒๕ ปี ตลอดเวลาที่รัชกาลที่ ๓ ขึ้นครองราชย์
ในช่วงนี้ท่านได้ฝึกฝนอบรมเป็นอย่างดี ทำให้ท่านลึกซึ้งในพระธรรมมากขึ้น พอสิ้นรัชกาลที่ ๓ พระจอมเกล้าฯ ก็ขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อมา งานแรกที่พระองค์ทรงกระทำ ก็คือ ประกาศหาตัวมหาโต สั่งให้ค้นหากันจ้าละหวั่น พระที่มีรูปร่างผอมๆ หน้าตาคล้ายมหาโตจะถูกจับส่งเข้าเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก
ข่าวการจับพระมหาโตดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ชาวบ้านต่างรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินสั่งให้จับมหาโต สมเด็จฯ โต ในฐานะมหาโตได้ฟังข่าวจากชาวบ้านแล้วก็อุทานออกมาว่า
กูหนีมา ๒๕ ปี ทำไมเพิ่งมาประกาศจับ
เพราะท่านไม่รู้จักว่าบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ไม่ใช่รัชกาลที่ ๓ ประกาศจับท่าน เมื่อไต่ถามได้ความว่าเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว ท่านก็ไปปรากฏตัวที่บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น บอกให้ตำรวจช่วยนำท่านเข้าบางกอก
เมื่อเข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๔ พระองค์ตรัสถามว่า
เป็นสมัยของฉันปกครองแผ่นดินแล้ว ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกัน
ต่อมารัชกาลที่ ๔ มีพระบรมราชโองการให้กรมสังฆการีวางฎีกาตั้งพระราชาคณะตามธรรมเนียม พระมหาเข้าไปตามฎีกานิมนต์ จึงทรงถวายสัญญาบัตรตาลปัตรแฉกหักทองด้ามงา เป็นพระราชาคณะที่ พระธรรมกิตติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
ออกจากวังแล้ว ท่านเดินแบกพัดไปถึงบางขุนพรม บางลำพู เพื่ออำลาญาติโยมที่รู้จักกัน แล้วกลับไปวัดมหาธาตุ ร่ำลาพระภิกษุสงฆ์ แล้วลงเรือข้ามไปวัดระฆัง ท่านเดินแบกตาลปัตรพัดแฉก สะพายถุงย่ามสัญญาบัตร เครื่องอัฐบริขาร กาน้ำเหล่านี้ เต็มไม้เต็มมือท่าน ดูพะรุงพะรังไปหมด ยิ่งท่านทำท่าเก้งๆ กังๆ ยิ่งทำให้ผู้พบเห็น ทั้งพระ เณร เด็กวัดและญาติโยม รู้สึกตลกขบขัน แม้ใครจะไปช่วยถือท่านก็ไม่ยอม
ท่านเดินรอบวัดระฆัง พร้อมกับประกาศว่า
เจ้าชีวิต ทรงตั้งฉันเป็นพระธรรมกิตติมาเฝ้าวัดระฆังฯ วันนี้จ้ะ เปิดประตูโบสถ์รับฉันเถอะจ้ะ
พอท่านเข้าไปในโบสถ์ ผู้มุงดูทั้งหลาย โดยเฉพาะพระเณรก็พากันตามเข้าไป ช่วยกันจัดโน่นทำนี่ ตามความเหมาะสม วันนั้นจึงสนุกกันทั้งคืน
เรื่องนี้ท่านคงต้องการจะให้มองเห็นยศถาบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นเรื่องเล่นๆ นั่นเอง ไม่ควรจะไปจริงจังอะไรกับมันมากนัก เดี๋ยวมันจะขบกัดเอา
......................................................
ตอน เรื่องของหมา คนอย่ายุ่ง บนศาลาทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเนืองแน่นไปด้วยสาธุชนผู้สนใจในการบุญทั้งหลาย พระสงฆ์จำนวนมากนั่งอยู่บนอาสน์สงฆ์เพื่อสวดมนต์ และฉันภัตตาหาร โดยมีสมเด็จฯ โต นั่งเป็นประธานสงฆ์อยู่
ขณะที่ทายกทายิกากำลังนำอาหารมาถวายพระภิกษุสงฆ์อยู่นั้น สุนัขคู่หนึ่งขึ้นมาสมสู่กันบนศาลา มองแล้วน่าอุจาดตามาก ญาติโยมทั้งหลายจึงช่วยกันไล่ตีให้ลงไปจากศาลา จะมาทำอนาจารบนสถานที่ทำบุญย่อมไม่สมควร
เสียงไล่สุนัขอึงคะนึงทั่วศาลา หาความสงบไม่ได้ สมเด็จฯ โต เห็นเป็นการไม่สมควร จึงร้องห้ามว่า
อย่า ! อย่าไปไล่เขา เรื่องของเขา เรื่องของสัตว์ก็เป็นเรื่องของสัตว์ เรื่องของคนก็เป็นเรื่องของคน ไม่เกี่ยวข้องกัน อย่าไปวุ่นวายเลย
สัตว์เป็นภพภูมิที่ต่ำ เขาก็ต้องทำอย่างต่ำๆ นั่นแหละ จะให้รู้สึกละอาย มีสำนึกดี-ชั่ว เหมือนมนุษย์เห็นจะไม่ได้ ฉะนั้นเขาจะทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปเถิด เพียงแต่มนุษย์สุดประเสริฐอย่าไปทำอย่างเขาก็แล้วกัน
......................................................
ตอน ปราบพระทะเลาะกัน มนุษย์เมื่อรวมอยู่กันเป็นสังคมย่อมมีปัญหาบ้างเป็นธรรมดา เพราะมากคนก็ทำให้มากความ สังคมพระสงฆ์ แม้จะเป็นสังคมแห่งความดีงาม มีศีลมีวินัยสูงกว่าชาวบ้านโดยทั่วไปก็จริง แต่ก็อดที่จะมีปัญหาให้กระทบกระทั่งกันมิได้
ครั้งหนึ่ง พระที่วัดระฆังคู่หนึ่งด่าทอกันดังขรมวัด ท้าทายจะชกต่อยกัน
องค์ที่ถูกท้าชกร้องว่า พ่อไม่กลัว
อีกองค์หนึ่งก็ร้องตอบว่า พ่อก็ไม่กลัวเหมือนกัน
ต่างองค์ต่างเก่ง ท้ากันเหยงๆ ไม่มีใครกลัวใคร สมเด็จฯ โต (ตอนนั้นเป็นพระเทพกวี) นั่งอยู่ในกุฏิของท่าน ได้ยินเสียงทะเลาะกัน เห็นพฤติกรรมอันผิดวิสัยของสมณะแล้ว ไม่สามารถจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้ ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ก่อนที่มันจะลุกลามไปใหญ่โต
ท่านจัดดอกไม้ ธูป เทียน ใส่พาน รีบเดินเข้าไประหว่างพระทั้งสอง นั่งคุกเข่าน้อมพานเข้าไปถวายพระทั้งคู่นั้น แล้วก็ประนมมือกล่าวอ้อนวอนขอฝากเนื้อฝากตัวว่า
พ่อเจ้าประคุณ ! พ่อจงคุ้มฉันด้วย ฉันฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นจริงแล้วว่าพ่อเก่งเหลือเกิน เก่งพอได้ เก่งแท้ๆ พ่อเจ้าประคุณ ลูกฝากตัวด้วย
พระคู่นั้นเกิดรู้สึกละอายใจ เลิกทะเลาะกันกลับเข้าไปในกุฏิ พิจารณาเห็นโทษความผิด กิเลสของตัวเองแล้วจึงออกมากราบขอโทษท่าน มาคุกเข่ากราบสมเด็จฯ โต สมเด็จฯ โตก็คุกเข่าตอบบ้าง พระทั้งสองเห็นสมเด็จฯ โตกราบตนเอง ก็ให้รู้สึกเกรงกลัว ท่านเป็นถึงเจ้าอาวาส มีอำนาจหน้าที่ปกครองดูแลเรา จะมากราบเราได้อย่างไร ลำบากใจนักจึงกราบสมเด็จฯ โต ตอบ
ปรากฏว่าในวันนั้น กราบกันไปกราบกันมาอยู่นานจนเหนื่อยแล้วจึงเลิกรากันไป
จะเห็นว่าวิธีปราบพระทะเลาะกันของสมเด็จฯ โต ได้ผลดีโดยไม่ต้องปากเปียกปากแฉะ เพราะพระทั้งสององค์เกิดความละอายและเสียใจที่ประพฤติอย่างนั้น เมื่อกราบท่านเสร็จแล้ว ก็ปฏิญาณตนว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก
......................................................
ตอน โลกพร่องอยู่เสมอ คราวหนึ่งที่สมเด็จฯ โต ไปบิณฑบาตในพระราชวัง พระที่มารับบิณฑบาตนั้น นิมนต์เป็นเวรกันมารับ เรียกว่า บิณฑบาตเวร
วันนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบาตรด้วยแตงโม สมเด็จฯ โต ท่านได้เอาย่ามใบใหญ่ ตัดกันเป็นช่องโตถือไป เมื่อทรงหยิบแตงโมใส่ย่าม แตงโมก็ลอดช่องย่าม ตกไปบนพื้นดิน
พระจอมเกล้าฯ รู้ได้ทันทีถึงปริศนาธรรม จึงรับสั่งว่า ฟ้ารู้ทันแล้ว
สมเด็จฯ โตถวายพระพรว่า โลกมันพร่องอยู่เสมอ ไม่รู้จักเต็มอย่างนี้
ปริศนาธรรมนี้ท่านมุ่งสอนรัชกาลที่ ๔ ไม่ให้มัวเมาในกามคุณ ควรจะอิ่มเสียที เพราะกามนั้นถึงจะถมตามต้องการอย่างไร มันก็ไม่เต็มได้หรอก ความอยากในกามมันไม่มีสิ้นสุด มีแต่หยุดเท่านั้นจึงจะเต็มได้
......................................................
ทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี คุณขีด : กระผมอยากทราบเรื่องกฎแห่งกรรมเพราะเป็นกุญแจของบุญและบาป คนที่ไม่รู้จักบุญและบาปก็เพราะไม่รู้จักกฎแห่งกรรม บางคนไม่เชื่อว่าบุญมีจริงบาปมีจริง แล้วบางทีทำบุญกลายเป็นได้ผลบาป ทำบาปกลายเป็นผลดี ทั้งนี้เป็นเพราะว่าไม่ทราบชัดในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นกระผมอยากให้หลวงพ่อสมเด็จได้โปรดขยายกฎแห่งกรรมให้กว้างขวาง ให้เป็นที่รู้ชัดสักหน่อยครับว่ามีกฎอันแท้จริงอย่างไร
สมเด็จโต : กฎแห่งกรรมนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ก็เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติของการเติบโตของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่ท่านสร้างในอดีตภพย่อมนำมาสู่ท่านในปัจจุบันภพ ฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้กรรมเหล่านั้นที่ท่านทำไปแล้วแต่ท่านลืมไปเพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ที่ยึดว่าทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เพราะมนุษย์ผู้นั้นไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐานของเหตุและปัจจัย
ถ้าท่านหว่านพืชชนิดใดลงดิน พืชชนิดนั้นจะขึ้นตามเหล่ากอของพืชพันธุ์นั้น กรรมใดที่ท่านสร้างมาในภพที่ท่านลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้นยังตามเสวยตามภพชาติต่างๆ อยู่ ยกตัวอย่าง ซึ่งเปรียบง่ายๆ สมมติว่าเมื่อสองปีก่อนท่านได้ฆ่าคนตายในที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้วท่านหนีไปอยู่ที่หนองคาย (เปรียบเหมือนท่านฆ่าคนตายในภพก่อนแล้วมาเกิดใหม่ในภพนี้) เรียกว่าท่านเกิดภพนี้ทั้งที่เป็นคนเดิมคือจิตวิญญาณเดิมจากภพก่อน แต่มาอยู่ภพนี้หรือเมืองนี้
ในขณะที่ท่านหนีจากกรุงเทพฯ (ภพก่อน) ไปอยู่หนองคาย (ภพนี้) เกิดสำนึกผิดขึ้นมา จึงถือศีลทำบุญให้ทาน เป็นมิตรกับชาวบ้านที่หนองคาย ชาวบ้านที่หนองคายก็ยกย่องสรรเสริญว่าท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมน่าเคารพนับถือ แต่กรรมที่ท่านสร้างไว้คือฆ่าคนตายที่กรุงเทพฯ เมื่อสองปีก่อนนั้น ชาวบ้านที่หนองคายไม่รู้กับท่านด้วย และตำรวจ (กรรม) นั้นก็กำลังตามหาท่านอยู่ เปรียบเสมือนการตามของภพของกรรมไปถึงที่นั่น
แม้ว่าท่านกำลังถือศีลถืออุโบสถอยู่ในโบสถ์ หรือแม้ว่าบางคนมาบวชเป็นพระเพื่อหนีคุกหนีตารางก็ตามที เมื่อตำรวจสืบพบเจอตัวท่านแม้จะอยู่ที่วัดถือศีลหรือบวชเป็นพระอยู่ ตำรวจก็จับท่านทันทีเพื่อไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง คนที่หนองคายแถวที่ท่านอยู่ย่อมไม่พอใจหรือด่าทอตำรวจที่มาจับคนดีที่ถือศีลในอุโบสถอยู่
ก็เหมือนกรรมที่ไม่ดีที่ตามมาทันท่านตอนที่ท่านกำลังทำดี ทำให้ท่านคิดว่าทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี กลับพบเจอและได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี ท่านอาจลืมกรรมที่ท่านทำไว้ในภพชาติก่อนแล้ว เพราะมันผ่านมานานแล้ว ข้ามภพข้ามชาติมาจนจำไม่ได้ว่าทำกรรมไม่ดีอะไรไปบ้าง จึงทำให้คิดว่าภพนี้ชาตินี้ทำแต่ความดี แล้วทำไมไม่ได้ดี
คล้ายกันกับคนทำชั่วหรือทำไม่ดีในปัจจุบัน แต่กลับได้ดิบได้ดี เพราะภพชาติก่อนเขาเคยทำดีไว้ แล้วกรรมดีนี้ตามมาทันและส่งผลให้เขาได้ดิบได้ดี แม้ในขณะปัจจุบันเขากำลังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ตามที เพราะเป็นกรรมคนละส่วนกับกรรมเก่าที่เขาทำดีในภพชาติก่อน ส่วนกรรมใหม่ที่เขาทำไม่ดีในขณะนี้ยังไม่ส่งผล ต้องรอให้ผลในกาลต่อไป
เปรียบเหมือนเราเพิ่งปลูกข้าวดำนาเสร็จ จะให้กล้าในนาออกดอกออกรวงข้าวในวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยย่อมเป็นไม่ได้ จะต้องรอเดือนรอเวลาจนกว่าต้นกล้าจะครบกำหนดที่จะออกรวงให้ผลิตผลเป็นเมล็ดข้าว จึงจะเก็บเกี่ยวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กฎแห่งกรรมก็เช่นเดียวกันกับกฎธรรมชาติ เช่น การปลูกพืชปลูกต้นไม้ชนิดต่างกันย่อมต้องจะรอการออกดอกออกผลเป็นเวลาไม่เท่ากัน
ซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมของพืชชนิดนั้นๆ ที่จะใช้เวลาไม่เท่ากันนานเป็นเดือนหรือนานเป็นปีจึงจะให้ผล เช่น ปลูกพริกย่อมให้ผลิตผลเร็วกว่าปลูกมะม่วง ปลูกข้าวย่อมให้ผลเร็วกว่าปลูกมะพร้าว เป็นต้น เช่นเดียวกันกับผลของกรรมแต่ละชนิด กรรมหนักกรรมเบา มีเจตนาหรือไม่เจตนา เป็นต้น จึงให้ผลกรรมหนักเบาต่างกันต่างเวลาตามเหตุปัจจัย
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรมคือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ท่านสร้างกรรมดีไว้ในปัจจุบันนี้ กรรมนั้นอาจจะให้ท่านเสวยผลในภพอีกภพหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อแห่งกงกรรมกงเกวียนที่จะแยกแยะออกมา ชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เราแต่ละคนที่เกิดมาในปัจจุบันชาตินี้ เกิดมาเป็นร้อยๆ พันๆ ภพชาติเป็นกงกรรมกงเวียนที่ทับถมทั้งดีและชั่ว โดยเจ้าตัวก็แยกแยะไม่ออก
ยกตัวอย่างง่ายๆ เสมือนหนึ่งท่านคิดตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอตกเย็นท่านมานั่งทบทวน ท่านก็แยกแยะทบทวนไม่ค่อยออกว่าเวลาไหนท่านมีอกุศลอารมณ์ เวลาไหนมีโทสจริต เวลาไหนมีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหวแห่งจิตวิญญาณนี้เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้นจึงแยกได้ว่าท่านสร้างกรรมใดไว้ ท่านย่อมจะต้องเสวยกรรมนั้นในภพชาติแน่นอน
......................................................

วันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ...พรุ่งนี้มาต่อ ขอบคุณทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่านครับ