เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 20, 2025, 04:33:38 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อผมไปซ้อมกอล์ฟกับสาวสวย (ตอนอวสานมาแล้วครับ)  (อ่าน 7562 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:13:27 AM »

พอดีแวะไป Pantip ครับ เลยเจอกระทู้นี้มา เลยเอามาฝากครับ ต้องขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ใน Pantip ด้วยนะครับ

http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S3562290/S3562290.html

เมื่อผมไปซ้อมกอล์ฟกับสาวสวย
ก่อนที่ผมจะทำงานที่นี่ บริษัทเดิมที่ผมทำงานด้วยเปรียบเหมือนแดนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยนางฟ้า สาวสวรรค์เดินกันให้ขวักไขว่ละลานตาไปหมดจนให้คะแนนไม่ถูกว่าใครสวยกว่าใครเหมือนไปดูประกวดนางงามจักรวาลยังไงอย่างงั้นที่เดียวเชียวล่ะ นั่นเป็นฝ่ายการตลาดซึ่งรวมฝ่ายขายเอาไว้ด้วย ฝ่ายเดียวที่ทำให้ผมจ้องตาเป็นมันดุจพยัคฆ์จ้องจับเนื้อสมัน ถ้าจะให้บรรยายคงไม่รู้จบเพราะแต่ละนางนอกจากจะประชันกันแต่งกายชนิดสุดเลิศหรู ส่วนไหนโชว์ได้เป็นโชว์แหลกแล้ว รูปร่างและส่วนสัดของแต่ละนางถ้าจับมาแต่งชุดง่ายน้ำแบบทู พีซ แล้วล่ะก็ตาไม่กุ้งยิงค่อยมาต่อว่ากัน

ส่วนใบหน้านั้นจะเอาแบบไหนล่ะ แบบจุ๋ม...น่ารักก็มีเยอะ แบบท้าทายเซ็กซี่ก็มีไม่น้อย แบบสุภาพอ่อนโยน งดงามก็มีเป็นเทือก แบบหยาดเยิ้มเหมือนดูดกัญชามาก็เป็นกระตั่ก สรุปแล้วคือแดนสวรรค์นั่นแหละ

และเป็นฝ่ายเดียวที่ทำให้ผมต้องเดินไปอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะตอนง่วงนอน

ฝ่ายเดียวที่ผมไม่อยากไปและไม่เคยคิดจะไปเลยคือฝ่ายบัญชีและการเงินซึ่งเป็นฝ่ายเดียวที่มีสาวโสดแยะที่สุด หมายถึงโสดทั้งที่ไม่น่าจะโสดน่ะ แถมยังต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งชั้น ใช่ว่าจะเมื่อยอะไรหรอกนะ แต่ไม่น่าไป ถ้าเป็นฝ่ายการตลาด ต่อให้ต้องตะกายขึ้นไปสักสิบชั้นยังไงก็ยังต้องไป

ที่ว่าไม่น่าไปเพราะมองไปไหนนับได้เลยว่ามีกี่นางที่ไม่ใส่แว่นตา ดูให้เห็นๆ เลยว่ามีใครที่ยิ้มบ้าง ทรงผมก็ไม่ต่างไปจากยุค 60 เครื่องแต่งองค์ก็เหมือนขุดเอามาจากที่คุณยายทิ้งไว้ให้

แต่หากจะบอกว่าไม่มีคนงามเสียเลยก็ดูจะเกินไป ก็มีอยู่บ้างแหละ แต่อย่าไปจีบเข้าเชียวเพราะคำถามที่เธอจะถามต่อมาจากการแนะนำตัวคือ "คุณคิดจะจริงใจกับฉันหรือเปล่า?" หรือ "คุณจะแต่งงานกับฉันเมื่อไร?" เป็นต้น แค่เป็นต้นนะครับ ยังมีคำถามอื่นๆ อีกมากมายที่รับรองได้ว่าไม่มีใครอยากได้ยิน

ส่วนฝ่ายอื่นๆ จะให้กล่าวถึงก็มีเพียงเล็กน้อยเช่น ฝ่ายกฎหมายที่วางตัวเหมือนเทวดา เห็นคนอื่นเป็นอ้ายเซ่อไปหมด นึกว่าตัวเองรู้กฎหมายก็พูดข่มเขาไปทั่ว เฉพาะที่นี่เท่านั้นนะครับ นักกฎหมายคนอื่นที่ดีๆ มีเยอะแยะ ไม่ยักจะเหมือนที่นี่

ฝ่ายธุรการและบุคคลก็แสนจะเรื่องมาก ขนาดม้วนกระดาษชำระยังให้พนักงานในฝ่ายคลี่ออกมานับเลยว่ามีทั้งหมดกี่แผ่นจะได้แบ่งสรรให้พนักงานได้ถูก ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด คุณว่าน่าทึ่งไหม

ที่บริษัทมีเฉพาะผู้บริหารเท่านั้นที่เล่นกอล์ฟ อาจมีผมคนเดียวกระมังที่เล่นกอล์ฟทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แต่จะว่าผมไม่ได้เป็นผู้บริหารก็ไม่ถูกนัก ผมก็บริหารในฝ่ายงานของผมนั่นแหละ ฝ่ายที่ผมทำงานอยู่เรียกว่าฝ่ายวิจัยข้อมูล น่าเบื่อครับ เพราะวันๆ อ่านแต่หนังสือ เก็บข้อมูล ตัวเลข บ้าบอพวกนี้แหละ

เพราะผมเล่นกอล์ฟ เลิกงานผมจะไปซ้อมกอล์ฟบ้าง บางวันก็โดดงานไปเล่นกอล์ฟบ้าง ไม่มีความลับใดที่ปิดได้มิด ส่วนใหญ่ที่ปิดไม่มิดก็เพราะเจ้าตัวแหละที่เป็นคนแถลงไขออกมาเอง ผมก็เหมือนกัน อดไม่ได้หรอกที่จะคุยโม้ให้เพื่อนๆ ในที่ทำงานฟัง เมื่อความไม่ลับที่ผมเล่นกอล์ฟแพร่งพรายออกไป วันหนึ่ง.....

วันหนึ่ง พนักงานสาวแสนสวย หุ่นเพรียวลมสั่นไหวกระเพื่อมไปทั้งร่างชื่อสมมติว่า ปานจะกลืน เอ่ยกับผมขณะที่เราทานอาหารเที่ยงรวมกลุ่มกันอยู่ว่า

"คุณจะสอนให้ชั้นเล่นกอล์ฟหน่อยได้ไหม"

มีเหรอที่จะไม่ได้


โปรดติดตามต่อไป


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 12, 2005, 11:11:02 AM โดย Tonyman » บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:14:01 AM »

บทที่ 2 เตรียมตัว


ผมแทบจะสะกดใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ใจเต้นระทึกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก็จะวางเฉยอยู่ได้ยังไงเมื่อปานจะกลืนเป็นหญิงสาวที่ทั้งสวยชนิดบาดตาแล้ว เธอยังมีรูปร่างที่สามารถเขย่าใจบุรุษทุกนามได้เหมือนพายุไต้ฝุ่นที่เมื่อผ่านไปตรงไหนก็พังพินาศราพนาสูรไปได้ทั่ว ถ้าจะเปรียบน่าจะเหมือนนางเตียวเสี้ยนในสามก๊กผู้ร่ายเสน่ห์ของนางจนพ่อลูกคือตั๋งโต๊ะและลิโป้ต้องห้ำหั่นกันจนตายกันไปข้างหนึ่ง

ผมสู้อุตส่าห์ตีสีหน้าให้เป็นปกติถามขึ้นว่า
“คิดยังไงถึงจะเล่นกอล์ฟ?”
“ก็คิดว่าถ้าเล่นกอล์ฟเป็นจะเป็นประโยชน์ต่องานน่ะสิ” เธอตอบพร้อมโปรยยิ้มน้อยๆ เหมือนหว่านคาถากำกับ
“ผมเล่นกอล์ฟเป็น ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์ต่องานตรงไหนเลย” ผมถามไปเซ่อๆ
“ก็ถ้ารู้จักใช้ มันก็เป็นประโยชน์ มันแล้วแต่มั้งว่าจะใช้กอล์ฟไปแบบไหน” เธอตอบราวกับรู้มากเสียเต็มประดา ต่างจากผมที่แทบจะไม่ประสาเอาเลยจนตัวเองรู้สึกเป็นลูกไก่ ไม่ใช่ไก่อ่อนที่เพิ่งสอนขัน
“ปานสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้คุณสอนฟรีๆ หรอก” มันเป็นประโยคที่ยุติคำถามทั้งสิ้นทั้งปวงเอาไว้ตรงนั้นเพราะแม้เธอจะไม่สัญญาว่าจะให้อะไรเป็นการตอบแทน ผมก็ล้นใจจะสอนกอล์ฟให้เธออยู่แล้ว

ปานจะกลืนเหมือนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะเล่นกอล์ฟให้เป็น เธอชวนผมไปร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟ ให้ผมช่วยเลือกไม้กอล์ฟทั้งชุดทั้งที่ผมไม่มีความรู้อะไรเลย อาศัยคำบอกเล่าของพนักงานขายที่สาธยายราวกับไม้กอล์ฟเป็นไม้วิเศษ เธอเลือกร้องเท้า ถุงมือ ถุงกอล์ฟและอื่นๆ ที่ผมเห็นว่าจำเป็น

ที่มันที่สุดในวันนั้นเห็นจะเป็นตอนที่เธอชวนผมไปช้อปต่อที่ห้างสรรพสินค้าหรูหราแห่งหนึ่ง ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเธอเดินออกมาจากห้องลองเสื้อในชุดกระโปรงบานๆ สั้นเหนือเข่าขึ้นมากว่าคืบโชว์เรียวขายาวที่เรียกน้ำลายของงูหนุ่ม งูเฒ่าให้ไหลย้อยได้อย่างไม่รู้ตัว ผมว่าเธอไม่ต้องหมุนตัวสวิงให้กระโปรงบานสั้นๆ พเยิบพะยาบหรอก แค่ท่าจรดเฉยๆ ดึงก้นกลมๆ ออกด้านหลังให้มากๆ ลำตัวส่วนบนของเธอจะโน้มลงเองตามแรงโน้มถ่วงของโลกจนผมเกรงว่าเธอจะหัวคะมำด้วยน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ด้านหน้า

ลองนึกภาพนางงามจักรวาล มิสคานาดา นุ่งกระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อยืดตัวรัดๆ จนที่ท่วมม้นก็ล้นทะลักออกมาตามแรงอัด ประดับตั้งด้วยขายาวเรียว ในท่าจรดกอล์ฟดูเอาเองนะครับ
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:14:23 AM »

บทที่ 3   บทนำ


และแล้วเย็นวันหนึ่งหลังเลิกงานเราก็นัดกันไปเจอที่สนามซ้อมกอล์ฟแห่งหนึ่ง แต่กว่าจะทำความเข้าใจกันได้ทำเอาผมหัวปั่นไม่น้อยเพราะเธอสงสัยว่าทำไมจะไปรถคันเดียวกันไม่ได้จะได้ไม่เปลืองน้ำมันและยังจะได้สนทนากันไปตามประสาหนุ่มสาว สนามซ้อมน่ะอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานหรอก แต่ผมก็มีเหตุผลของผม อย่างที่ผมบอกในตอนต้นแหละว่าที่บริษัทไม่ได้มีคนสาวคนสวยเช่นเธอเพียงคนเดียวเมื่อไหร่ ยังมีอีกเป็นพะเรอเกวียน เรื่องอะไรที่ผมจะปิดช่องน้อยของตัวเอง ถ้าออกจากที่ทำงานกันเพียงลำพังสองต่อสองรับรองว่าจะต้องตกเป็นจำเลยแก้ข้อกล่าวหากันไม่รู้จบ ผมเลยอ้างไปส่งเดชว่า

“เดี๋ยวซ้อมกอล์ฟเสร็จผมต้องไปธุระต่อและเป็นคนละทาง”

ผมบอกปานจะกลืนด้วยว่าอย่าไปบอกให้ใครรู้ว่าเราไปซ้อมกอล์ฟกัน เธอทำหน้างงๆ อยู่เหมือนกัน ผมให้เหตุผลง่ายๆ ว่า

“เพราะผมไม่อยากสอนใครอีก ถ้าเกิดมีคนอื่นอยากเรียนขึ้นมาผมจะหาเวลาที่ไหน จะปฏิเสธก็ใช่ที่ หวังว่าปานฯจะเข้าใจ” เหตุผลน่าฟังไหมครับ ประการแรกผมอยากให้เธอประทับใจว่าเธอเป็นหนึ่งเดียวที่ผมจะสอนกอล์ฟให้ สองคือไม่มีเวลาสำหรับใครอื่นอีกแล้ว ความจริงเป็นอย่างไรผมก็บอกไปแล้ว

เมื่อไปถึงสนามซ้อม ผมให้เธอเอาไม้กอล์ฟคือเหล็ก 7 ลงไปอันเดียว ตอนต้นเธอจะให้เด็กแบกถุงลงไปทั้งถุงซึ่งผมเห็นว่ายังไม่จำเป็น ส่วนผมก็เอาเหล็ก 7 ไปอันเดียวเหมือนกันเผื่อว่าจะต้องสาธิตให้เธอชม

ตอนที่เราเดินเคียงกันเข้าไปในอาคารซ้อม ผมสังเกตเห็นสายตาหลายสิบคู่หันมามองเราเป็นตาเดียว ความจริงไม่ใช่เรา แต่เป็นมองเธอถึงจะถูก แต่ถ้าจะมองผมก็คงเป็นเพราะด้วยความอิจฉาล่ะมากกว่า ปานจะกลืนแต่งกายรัดกุมดูทะมัดทะแมงเหมือนนักกีฬาอย่าง ชาราโพว่า ยังไงยังงั้น

ผมสั่งลูกกอล์ฟมาเพียงถาดเดียวตั้งใจเอาไว้สาธิตประกอบคำอธิบายไม่ได้คิดที่จะให้เธอตีลูกหรอกสำหรับบทเรียนในวันแรก ผมเริ่มอารัมภบทขึ้นว่า

“ก่อนที่ปานฯ จะเริ่มเรียนวิธีการทางเทคนิคในการสวิงกอล์ฟ ผมอยากให้ปานฯ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสวิงกอล์ฟเสียก่อนเพราะผมเชื่อว่าถ้าปานฯ เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วปานฯ จะได้มีแนวความคิดของการสวิงอย่างถูกต้อง เมื่อมีทั้งความเข้าใจและแนวความคิดที่ถูกต้องแล้วเวลาจับไม้สวิงก็ดีหรือการพัฒนาต่อไปให้เล่นได้เก่งๆ จะทำได้ง่ายขึ้น ปานฯ จะได้วาดมโนภาพของการสวิงขึ้นได้ในสมองซึ่งนั่นแหละเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด.....” ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอและต้องหลบสายตาเสียเองด้วยความขวยใจอย่างบอกไม่ถูก ส่วนปานฯ ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเหมือนนักเรียนตัวไม่น้อยที่ตั้งใจฟังครูในชั้นเรียน ผมอธิบายต่อว่า

“.....ฝรั่งใช้คำว่าสวิง นั่นก็คือการเหวี่ยงไม่ใช่ตี ถ้าใช้คำว่าตีเราอาจยกไม้กอล์ฟขึ้นมาแล้วตีลงไปที่ลูกก็ได้ แต่ถ้าเหวี่ยงหรือสวิงเราใช้แรงจากการหมุนซึ่งมีลักษณะเป็นการเคลื่อนที่เป็นวงกลม เหมือนนักกรีฑาขว้างค้อน รู้จักไหม เคยดูไหม?”

เธอพยักหน้าหงึกๆ ส่งตาค้อนผมเป็นวงเล็กๆ บอกว่า

“ปานฯ ไม่ได้อยู่หลังเขาขนาดนั้นหรอกค่ะ ตอนอยู่มหาลัยก็เคยไปดูเพื่อนๆ พี่ๆ ในสนามค่ะ”
“ก็ดี ถ้างั้นปานฯ คงเห็นว่าเวลาเขาจะขว้างค้อนออกไป เขาจะต้องหมุนตัวจนเร็วจี๋ เมื่อได้ที่ก็จะปล่อยมือให้ตัวค้อนนั้นเหวี่ยงออกไปตามแรง กอล์ฟก็เหมือนกันคือเราใช้แรงเหวี่ยงซึ่งเกิดจากการหมุนของลำตัวพาให้แขน มือและไม้กอล์ฟเหวี่ยงออกไป เราเรียกแรงเหวี่ยงนั้นว่า แรงเหวี่ยงจากศูนย์กลาง ภาษาอังกฤษคือ centrifugal force พอจะวาดภาพออกไหม เข้าใจไหม”

“ออกค่ะ เข้าใจค่ะ”
“ดีมาก แต่เนื่องจากลูกกอล์ฟมันตั้งเฉยๆ อยู่กับที่ ไม่ใช่ฮ็อกกี้ที่เราต้องวิ่งไล่ลูก ดังนั้นเวลาเหวี่ยงไม้ ตัวที่ต้องหมุนจึงหมุนอยู่กับที่ ลักษณะการเคลื่อนที่ของตัวเราซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมนั้นจะเป็นวงกลมได้จะต้องเป็นยังไง?” ผมถามลองให้เธอพิจารณาตอบเอง เธอตอบทันทีว่า

“ต้องมีจุดศูนย์กลางที่คงที่สิคะ”
“ถูกต้องแล้วคร้าบ” ผมยิ้มพอใจกับคำตอบของเธอและนึกชมเชยในความเฉลียวฉลาดของเธอ

ผมอธิบายต่อไปว่า

“ดังนั้น ลำตัวของเราก็คือแกนกลางของการเคลื่อนที่โดยมีลำตัวช่วงล่างคือเท้าทั้งสอง ขาทั้งสองเป็นฐานในการรองรับการหมุนในขณะที่ลำตัวส่วนบนหมุนจนบิดเป็นเกลียวเพื่อสร้างแรงเหวี่ยงให้เกิดขึ้น ผมจะแสดงให้เป็นตัวอย่าง”

ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบเหล็กที่เตรียมมา แสดงท่าจรดและการเหวี่ยงไม้ให้เธอดูโดยไม่ได้ตีลูก หลังจากเหวี่ยงไม้ให้เธอดูสี่ห้าครั้ง ผมบอกเธอว่า

“พยายามจำภาพที่เห็นเอาไว้ เดี๋ยวจะสอนวิธีจับไม้ ท่าจรดและจะอธิบายไปด้วยว่าทำไม เพราะอะไร” ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าท่าทางของผมเวลาสวิงให้เธอดูจะสมควรเป็นแบบหรือไม่ แต่คิดว่าอย่างน้อยให้เธอได้เห็นภาพเป็นแนวทางเอาไว้ เธอจะได้ทำได้ง่ายขึ้น

ตอนที่สอนเธอจับกริพ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่สัมผัสมือเรียวนุ่มคู่นั้น แต่ก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้เธอรู้สึกไม่ดีเพราะจริงๆ แล้วตอนนั้นเองที่ความรู้สึกของผมเริ่มเปลี่ยนไป สัญชาติญาณของความเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้หรือที่เรียกว่าครูกลับเข้ามาแทนที่ความรู้สึกอื่นแทบจะเรียกว่าโดยสิ้นเชิง
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:14:45 AM »

บทที่ 4  จัดท่า


มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่ไว้เล็บยาวแล้วยัดมือลงไปในถุงมือ ผมแปลกใจไม่น้อยเมื่อเธอล้วงเอากรรไกตัดเล็บและที่ตะไบเล็บออกมาจากกระเป๋าถือและหั่นเล็บยาวนั้นออกทีละนิ้วอย่างไม่เสียดายทั้งที่หลังเล็บระบายสี แต่งแต้มเป็นลวดลายอันวิจิตร ปานจะกลืนบอกว่า

“นี่ปานฯ เพิ่งจะไปทำเล็บมาเมื่อสองวันก่อนนี่เอง หมดไปตั้งหลายพัน นี่ถ้าปานฯ ไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะเล่นกอล์ฟให้ได้ล่ะก็ ปานฯ ไม่ยอมแน่”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่าสาวๆ หมดเงินกับการทำเล็บเป็นจำนวนมหาศาลเพียงนั้น เพราะเมื่อเทียบกับคนที่อดมื้อกินมื้อแล้ว เงินจำนวนนั้นอาจใช้ดำรงชีพได้เป็นปี แต่เมื่อสภาพสังคมความเป็นอยู่ที่ต่างกันออกไป จะเอาอะไรมาเปรียบกันแสนจะลำบาก คนที่มีเงินทองจับจ่ายกันได้ไม่รู้จบก็ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป คนที่ต้องหาเช้ารับประทานตอนค่ำอาจมีความสุขทางใจมากมายก่ายกองกว่าก็เป็นได้ เงินทองจึงไม่ใช่ตัวตัดสินได้หมดทุกอย่าง แต่ใจนี่สิที่เป็นตัวตัดสินว่าทุกอย่างจะจบลงที่ตรงไหน

ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมใจของผมเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเห็นความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวที่จะเรียนกอล์ฟโดยมอบศรัทธาให้ผมเป็นผู้สอนแล้วผมจะทรยศต่อศรัทธาของเธอได้อย่างไร จริงอยู่ที่ผมไม่อาจบอกอะไรได้เลยว่าเจตนาของเธอจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร ครั้นจะคิดเลยเถิดไปใหญ่โตจะกลายเป็นเรื่องที่ฟุ้งซ่านและท้ายสุดอาจตกอยู่ในความทุกข์ที่ถอนตัวได้ยากก็เป็นได้ สิ่งที่ผมคิดขึ้นได้ในตอนนั้นคืออยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด

ผมรู้ดีว่าสำหรับคนที่เพิ่งหัดเล่นกอล์ฟใหม่ๆ ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องง่าย ที่จะต่างกันสำหรับแต่ละคนคือความเร็วช้าในการเรียนรู้ หรือทักษะทางการกีฬาที่ต่างกันไป และที่ไม่อาจจะกล่าวข้ามไปได้เลยคือความสามารถของผู้สอนที่จะถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่ออกมาให้ผู้เรียนได้เข้าใจได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่ท้าทายโดยเฉพาะกับตัวผมเองที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการสอนมาก่อนเลย ทางเดียวที่จะเป็นไปได้คืออาศัยหลักเหตุและผล และประสบการณ์ในฐานะที่เป็นคนที่เคยไม่รู้มาก่อนเพื่อให้เข้าใจว่าคนที่ไม่รู้ต้องการอะไร

ผมแสดงท่าจรดให้เธอดูแล้วให้เธอทำเลียนแบบโดยยังไม่ได้ใช้ไม้กอล์ฟ ผมอธิบายว่า

“ที่เราต้องยืนให้เต็มฝ่าเท้าทั้งสองก็เพื่อให้สามารถทรงตัวได้อย่างมั่นคงระหว่างที่เราเหวี่ยงไม้ หากน้ำหนักตัวค่อนไปทางด้านหลังก็ดีหรือค่อนไปที่ปลายเท้าก็ดีเวลาเหวี่ยงไม้ตัวของเราซึ่งเป็นแกนอาจโยกเยก คลอนแคลน ไปทางซ้ายหรือขวา หรือยืดขึ้นยุบลงก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดคือเราจะรู้สึกสบาย อาการเกร็งก็จะไม่เกิดขึ้น”

บอกตามตรงว่าผมรู้สึกพอใจที่ปานจะกลืนเป็นนักเรียนที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี นั่นคือสิ่งที่ผู้สอนเกิดกำลังใจที่จะสอนไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงไหน ผมอธิบายต่อไปว่า

“ที่เราต้องย่อเข่าทั้งสองเอาไว้และรักษาการย่อนั้นไว้ตลอดก็เพราะลักษณะดังกล่าวนั้นจะทำให้ลำตัวท่อนล่างมีพื้นฐานที่แน่นขึ้นเพื่อรองรับการทรงตัวของการเคลื่อนที่จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ส่วนที่สำคัญที่ช่วยในการทรงตัวคือก้น ก้นจะต้องยื่นออกไปเพื่อถ่วงดุลยจากการโน้มตัวจากเอวไปข้างหน้า”

ผมค่อนข้างจะแปลกใจที่เธอตั้งท่าได้สวยงามดี ไม่มีทีท่าเก้ๆ กังๆ อย่างที่ผมหวั่นใจแต่แรก ผมอดที่จะชื่นชมเธอไม่ได้
“ปานฯ ตั้งท่าได้สวยงามมาก คุณจะต้องเป็นนักกอล์ฟที่อนาคตไกลคนหนึ่งเชียวล่ะ” ปานฯ หันมายิ้มกว้างขวาง ฟันขาวซี่เล็กเรียงกันอย่างเป็นระเบียบดูงามตา

“ท่าทางที่สวยงาม เหมาะสมอย่างเป็นนักกีฬาเป็นพื้นฐานที่สำคัญ แม้จะตีไม่ดีแต่อย่างน้อยก็น่าดูล่ะ.....”
“ท่าดีมีชัยไปกว่าครึ่งใช่ไหมคะ?”
“ใช่เลย เอาล่ะ จากท่านี้ ปานฯ จะเห็นว่าแขนทั้งสองห้อยอยู่ข้างลำตัวเป็นมุมฉากกับพื้นดิน ต้นแขนทั้งสองจะติดกับลำตัวอยู่ จะบอกให้ว่าความสำคัญที่แขนทั้งสองยังติดกับลำตัวก็คือการส่งผ่านหรือการถ่ายพลังจากการหมุนของลำตัวผ่านไปยังแขน ต่อไปยังไม้กอล์ฟ ภาษาอังกฤษเรียกว่า connection ถ้าท่อนแขนไม่ติดกับลำตัวระหว่างการสวิงซึ่งเกิดจากท่าจรดที่ไม่ถูกต้อง การส่งผ่านความเร็วหรือพลังจะไม่เกิดขึ้นเลย จะกลายเป็นว่าเราเอาแขนเหวี่ยงไม้ลงมาเฉยๆ ซึ่งนอกจากไม่มีพลังเต็มที่แล้วยังหาความแน่นอนไม่ได้เพราะแขนหรือมือที่เหวี่ยงลงมาจะสามารถเดินทางกลับมาได้หลายทิศทางมาก แต่ในการเล่นกอล์ฟ เราต้องการทิศทางที่แน่นอน ไม่ใช่หวดซ้ายป่ายขวาไปตามเรื่องตามราว เราจึงต้องใช้ลำตัวของเราซึ่งเป็นแกนในการควบคุม.....”

ความไม่คุ้นเคยกับการสาธยายอะไรยาวๆ ทำให้ผมเหนื่อยเอาการ เมื่อนึกถึงโปรกอล์ฟที่ต้องพูดและยืนทั้งวันทำให้ผมเห็นใจครูสอนกอล์ฟไม่น้อยเลยทีเดียว


โปรดติดตามต่อไปนะครับ
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:15:05 AM »

บทที่ 5  เหวี่ยง


เผลอแผลบเดียวเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษโดยที่เรายังไม่ได้ตีลูกเลยสักแอะ ปานฯ คงรู้ว่าผมเหนื่อย เธอสั่งเครื่องดื่มจากบริกร ผมนั่งลงเคียงข้าง สายตาเหม่อมองไปเบื้องหน้าเห็นตาข่ายที่ขึงกั้นเป็นแนวทั้งด้านข้างและด้านหลังไกลออกไป แสงสว่างจากดวงไฟแรงสูงนับสิบๆ โดยรอบทำให้เห็นภาพเนินหญ้าเป็นหย่อมๆ ภาพสระน้ำเล็กๆ ที่ตั้งใจขุดให้ดูเหมือนสนามกอล์ฟจริง และต้นไม้ใหญ่น้อยที่ปลูกเอาไว้ไกลออกไปจนน่าสงสัยว่าจะโดนลูกกอล์ฟที่กระหน่ำตีเข้าใส่ไปสักแค่ไหน แล้วมันจะทนทานไปได้สักเพียงไหนหนอ

สายลมเย็นยามค่ำโชยมาไม่ขาดระยะ มันหอบเอาความหอมหวานของกลิ่นดอกเล็บมือนางตามขึ้นมาให้ได้ชื่นใจ เสียงหวานๆ ของหญิงสาวแสนสวยที่ถามขึ้นด้วยความห่วงใยทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“เหนื่อยไหมคะ”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ และเพราะรอยยิ้มหวานๆ อันเปรียบดังน้ำทิพย์ชโลมใจดึงหัวใจให้พองโตขึ้น ความที่ไม่เคยต้องสอนใครอย่างจริงจังมาคราวนี้ผมรู้ตัวว่าจะทำเล่นๆ คงไม่ได้ พอต้องมาเป็นครูจำเป็นเข้าจริงๆ ถึงรู้ว่าสมัยที่เรียนหนังสือนั้นถ้านักเรียนในชั้นเอาแต่เล่น เอาแต่คุย ไม่ตั้งใจเรียน ครูผู้สอนจะรู้สึกท้อแท้ขนาดไหน ในทางตรงข้ามหากนักเรียนเอาใจใส่ ตั้งใจเรียน กำลังใจที่อยากจะสอนไม่รู้ว่ามาจากไหน จะต้องพูดสักกี่ชั่วโมงก็ทำได้แม้จะแลกกับจำนวนเพียงน้อยนิดแต่ก็ยังอยากทำ คนที่เป็นครูได้ดีจึงต้องเป็นด้วยจิตวิญญาณจริงๆ

เมื่อผมเอาไม้กอล์ฟมาให้เธอจับในท่าจรด ผมอธิบายต่อว่า

“เพราะมือขวาอยู่ต่ำกว่ามือซ้าย ไหล่ขวาจึงต้องอยู่ต่ำกว่าไหล่ตามธรรมชาติของการจับไม้....”

ผมหยิบลูกกอล์ฟมาลูกหนึ่งวางตรงตำแหน่งที่หน้าไม้ บอกว่า

“และนี่คือตำแหน่งที่ลูกกอล์ฟตั้งอยู่ พอจะเข้าใจไหม?”
“ไม่เห็นจะมีอะไรที่จะไม่น่าเข้าใจนี่คะ”

ผมนึกในใจว่า ‘เอาเหอะ เล่นๆ ไปแล้วจะรู้เองแหละว่าที่น่าจะเข้าใจมันก็อาจหลงลืมไปได้ง่ายๆ หากไม่ได้ฝึกฝนอย่างเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ที่ฝรั่งเรียกว่า pre shot routine จึงมีความสำคัญก็ตอนนี้แหละ ตอนที่เราได้เตรียมตัวสำหรับการตีแต่ละลูกแต่ละครั้งไม่ให้ผิดพลาดไปอย่างน่าเสียดาย’

ผมบอกต่อว่า

“ผมจะสวิงให้ดูอีกครั้ง พยายามจำให้ติดตาจนสามารถนึกเป็นภาพได้ในสมอง จากนั้นให้ทำเลียนแบบ สวิงไปตามความรู้สึก ตามภาพที่เห็นตั้งแต่ต้นจนจบ หากมีอะไรไม่ถูก ผมจะบอกเอง”

ผมหยิบเหล็กขึ้นมาตั้งท่าและเหวี่ยงให้เธอดูหลายครั้ง

“ถ้าหลับตา จะพอนึกภาพออกไหม” ปานฯ ไม่ตอบ แต่หลับตาลงครู่หนึ่งแล้วลืมตาบอกว่า
“พอจำได้ค่ะ”
“ดีมาก งั้นลองเหวี่ยงไม้สวิงดูตามภาพนั้น ไม่ต้องไปซีเรียสว่าจะถูกหรือผิด แค่พยายามทำให้เหมือนตามภาพที่เห็นแล้วกัน”

หญิงสาวตั้งท่าจรดได้สวยงาม ท่าทางแบบนักกีฬาที่เตรียมพร้อม รูปร่างเพรียวๆ น่าจะไปแสดงแบบบนแคทวอล์คมากกว่า เธอเหวี่ยงไม้ขึ้นแล้วเหวี่ยงไม้กลับพยายามทรงตัวให้อยู่ในท่าจบแบบที่ผมทำให้ดูแต่ไม่เป็นผล เธอเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างขอความเห็น ผมบอกว่า
“เอาใหม่ ทำไปเรื่อยๆ หลายๆ ครั้ง ผิดถูกช่างมัน จนรู้สึกว่าสวิงได้คล่องไม่ติดขัด แต่ละครั้งให้ตั้งท่าจรดใหม่ จับกริพใหม่ การจับกริพอยู่ในท่าเดิมนานๆ จะทำให้ข้อมือและแขนเกร็งได้ ปานฯ จึงต้องจับกริพใหม่ทุกครั้งที่สวิงไปแล้ว เหมือนเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง”

หญิงสาวตั้งท่าใหม่ จับกริพใหม่แล้วเหวี่ยงไม้ไป ผมเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ หลับตาปล่อยใจให้ล่องลอยไปอย่างไม่มีจุดหมาย ทั้งที่ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าดูน่าชม แต่ผมกลับหลับตา

เมื่อผมไม่ได้บอกให้หยุด ปานฯ ยังสวิงลมไปเรื่อย นานครั้งผมจึงเหลือบตาไปมองและเห็นว่าท่าทางการเหวี่ยงไม้สวิงลมคล่องแคล่วมากขึ้น

“ปานฯ ที่ผมอยากให้แก้มีอยู่นิดเดียวคือตำแหน่งของเข่าขวา ปานฯ ต้องรักษาลักษณะการย่อของเข่าขวาให้อยู่ในท่านั้นตลอดการสวิง ระวังอย่าให้มันยืดขึ้นนะ” ความจริงสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นข้อผิดพลาดยังมีอยู่อีกหลายอย่าง ครั้นจะบอกไปจนครบทุกอย่างก็เกรงว่าเธอจะทำได้ไม่ครบถ้วน และอาจเป็นผลเสียคือทำให้เธอเกร็งเพราะต้องระวังหลายจุดเกินไป

พอเธอสามารถรักษาลักษณะการย่อของเข่าขวาได้ อาการที่ผิดๆ อย่างอื่นก็ดีขึ้นด้วย ท่าทางการหมุนสวิงของเธอดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

“ปานฯ ผมว่าสำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้คุณอาจเมื่อยขบไปหมดทั้งตัวก็เป็นได้ อีกอย่างผมหิวข้าวแล้ว เราหยุดพักทานข้าวกันเหอะ”
เธอมองหน้าผมอย่างงงๆ ถามว่า
“นี่จะไม่ให้ปานฯ ตีลูกเลยสักลูกหรือคะ?”
“ไม่อนุญาตครับ เหตุผลเพราะคุณยังมีบางอย่างที่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง เมื่อสวิงมีอะไรที่ยังบกพร่องอยู่ยังไงก็ตีลูกไม่ได้ ขืนให้คุณตีลูกผิดๆ ถูกๆ นอกจากจะเจ็บไม้เจ็บมือเสียเปล่าๆ เผลอๆ คุณอาจท้อใจไปเลยก็ได้ ใจเย็นๆ เถอะ ผมจะค่อยๆ แก้ให้ทีละอย่าง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดแล้ว การเคลื่อนไหวของร่างกายที่ถูกต้องจะทำให้คุณตีลูกได้เอง ผมรับรองว่าคุณจะสามารถตีกอล์ฟเป็นเร็วกว่าคนอื่นที่ฝึกมาพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมสังเกตเห็นว่าคุณมีทักษะของการเป็นนักกีฬาอยู่ไม่น้อยและนั่นจะทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น”

หญิงสาวหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่เตรียมมาด้วยขึ้นซับหน้าที่พราวไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางไม่ทำให้เธอสวยน้อยลงเลย เธอบอกว่า

“ปกติปานฯ จะว่ายน้ำค่ะ ที่คอนโดฯ มีสระว่ายน้ำ ปานฯ เลยว่ายทุกวันๆ ละหลายๆ รอบ ตอนเรียนหนังสือ ปานฯ ก็เล่นกีฬาหลายอย่างค่ะ”

หลังรับประทานอาหาร ผมเดินมาส่งเธอที่รถและกำชับว่า

“อยู่บ้านต้องทำการบ้าน คุณต้องหัดจับกริพให้ชำนาญ หิ้วไม้กอล์ฟไปด้วยทุกหนทุกแห่งแล้วหัดจับกริพตามที่ผมสอนให้และต้องทำทุกวันจนกว่าเราจะมาซ้อมกันอีกครั้ง”
“แล้วเราจะมาซ้อมกันอีกเมื่อไหร่คะ”
“เราค่อยนัดกันอีกที”
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเป็นธุระสอนให้” เธอยิ้มหวานทั้งใบหน้าและสายตา ผมยิ้มตอบตั้งท่าจะเดินจากไปแต่ต้องชะงักเพราะโดนยุดมือเอาไว้ มือเรียวนุ่มๆ ของเธอยัดแผ่นกระดาษเล็กๆ ใส่มือของผม ผมกำกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้แน่นราวกับจะกลัวว่ามันจะหลุดหายไป
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:15:27 AM »

บทที่  6    คิดถึง


ห้องทำงานขนาดใหญ่ที่เคยมีคนนั่งทำงานกว่ายี่สิบคนบัดนี้เหลือเพียงผมคนเดียวที่ยังนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ มันเลยเวลาทำงานมาชั่วโมงเศษแล้ว ผมหันไปมองที่ประตูเมื่อมีเสียงใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา พนักงานทำความสะอาดหญิงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีหิ้วอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือทั้งสอง เธอส่งยิ้มทักทาย

“ยังไม่กลับหรือคะ”
“จวนจะเสร็จแล้วครับ คงไม่เกินสิบนาทีแหละ” ผมก้มหน้าทำงานต่อ สักครู่จึงได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งหนึ่ง พนักงานทำความสะอาดหญิงคนนั้นล้วงมือลงในกางเกงดึงโทรศัพท์ขึ้นมากดรับพลางกรอกเสียงลงไปว่า
“จะโทรมาทำไมอีกก็บอกแล้วว่าอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเสร็จ.....เออ คอยที่เดิมนั่นแหละ” เธอส่ายหน้า ทำหน้ายุ่งๆ แกมรำคาญพลางเอ่ยขึ้นเหมือนคุยกับผมว่า
“บางทีผู้ชายก็น่าเบื่อนะคะ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง” เธอคงลืมไปกระมังว่าคนที่แกพูดด้วยก็เป็นผู้ชาย

ผมหัวเราะ หึ หึ ถามว่า
“แฟนเหรอ”
“ค่ะ บางทีก็ดีนะคะ บางทีก็น่ารำคาญ” พูดจบแกก้มหน้าหน้าตาเช็ดปัดกวาดพื้นไปตามหน้าที่ ผมไม่ได้ต่อความอะไรอีก ทำงานที่เหลือต่อจนเสร็จ ปิดเครื่องคอม เก็บเอกสารใส่ตู้ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ดึงลิ้นชักหยิบกุญแจรถออกมาถือไว้ หิ้วกระเป๋าเอกสาร ลุกขึ้นจากที่นั่ง ใช้ก้นดันเก้าอี้กลับเข้าที่ ออกเดินไปตามทางผ่านบริเวณที่พนักงานทำความสะอาดคนนั้นกำลังทำงานอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมอง ผมมองหน้าเธอ ส่งยิ้มให้ บอกว่า
“ผมจะกลับแล้วนะครับ สวัสดีครับ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”

ยวดยานบนถนนยังติดเป็นสายยาวแน่นไปทุกช่องจราจร บางทีขยับไปได้ยาวตามสัญญาณไฟจราจร แต่บางทีก็ขยับเพียงช่วงสั้นๆ ความคิดของผมหวนกลับไปถึงคำพูดของพนักงานทำความสะอาดคนนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะเอือมระอากับคู่รักของเธอทั้งที่ความจริงแล้วหน้าตาของเธอไม่ได้มีความสะสวยอะไรเลยสักนิด จะบอกว่าอัปลักษณ์ก็อาจจะเกินไปหน่อย รูปร่างก็ไม่ได้จรุงใจชายอย่างผมได้เลย แต่เธอก็มีแฟน แม้ผมจะไม่เคยเห็นว่าแฟนของเธอหน้าตาเป็นอย่างไร แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ผมคิด ที่ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาก็เพราะขนาดผู้หญิงที่หากจะว่ากันตามตรงว่าหน้าตาไม่ได้เรื่องขนาดนี้ยังมีแฟนเลย แล้วจะเป็นไปได้หรือที่หญิงสาวที่ทั้งสวย รวยเสน่ห์อย่างปานจะกลืนจะไม่มีแฟน หากให้ผมเดา ผมว่าน่าจะถามว่ามีกี่คนถึงจะถูก  แต่การเดาแบบนั้นดูจะเป็นการ อยุติธรรมสำหรับเธอเกินไปก็ได้ ปานจะกลืนอาจเป็นหญิงสาวอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ผมเรียนรู้เธอมาไม่มากเลย

แค่ระยะเวลาสามสี่อาทิตย์ที่เราไปซ้อมกอล์ฟกัน แม้บางครั้งเราจะไปทานอาหารกันที่อื่นบ้างนอกจากที่สนามซ้อม หรือเดินดูอุปกรณ์กอล์ฟ ซื้อหนังสือกอล์ฟที่ผมเลือกให้ หรือไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนลุมบ้างซึ่งบางครั้งเราเลือกที่จะปั่นจักรยานน้ำเพื่อออกกำลังขาบ้าง แต่เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนอกจากกอล์ฟและเรื่องที่ทำงาน

ผมไม่ได้ถามเรื่องราวส่วนตัวของเธอเลยสักนิด จะบอกว่าผมไม่ได้สนใจคงไม่ถูกนัก แต่ที่ไม่ถามก็ด้วยเกรงว่าจะสร้างความหนักใจให้เธอมากกว่า ผมคิดง่ายๆ ว่าถ้าหากเธออยากเล่าเธอคงเล่าเอง เช่นเดียวกับผมที่หากผมอยากเล่าผมก็จะเล่าเอง แต่ผมก็ไม่เคยบอกเรื่องราวส่วนตัวของผมให้เธอรู้ เช่นเดียวกัน เธอเองก็ไม่เคยบอกเรื่องราวส่วนตัวให้ผมรู้เลย มันเหมือนต่างฝ่ายต่างจำกัดขอบเขตของความสัมพันธ์เอาไว้ ณ ระดับหนึ่ง

หากจะถามผมว่าผมคิดอย่างไรกับเธอ ผมบอกได้เลยว่าไม่กล้าคิด ปานจะกลืนสวยเกินไป เธอสวยเกินไปจริงๆ สวยเกินไปสำหรับผู้ชายธรรมดาเกินไปอย่างผม หากจะเปรียบว่าเธอเป็นหงส์ฟ้าส่วนผมเป็นหมาขี้เรื้อนก็อาจจะดูถูกตัวเองไปหน่อย ผมคงไม่ถึงกับต่ำต้อยถึงเพียงนั้น แต่ไม่ว่าผมจะเป็นอะไรเธอก็ยังเป็นหงส์ฟ้าในสายตาของผมเสมอ

ความคิดของผมหยุดลงเมื่อเลี้ยวรถเข้าไปในบริเวณสนามซ้อมกอล์ฟ ผมหยิบเหล็กเจ็ด ถุงมือและรองเท้ากอล์ฟออกมาจากท้ายรถ ทันทีที่เดินขึ้นชั้นสองของอาคารสนามซ้อม ทันทีที่ปานจะกลืนหันมาเห็นผม เธอรีบลุกขึ้นจากที่นั่งเดินตรงรี่เข้ามาหาผมทันทียื่นมือออกมารับไม้กอล์ฟและรองเท้ากอล์ฟจากผมและเดินเคียงกันไปที่ช่องซ้อม รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอทำให้ผมรู้สึกผิดที่คิดถึงเธอไปต่างๆ นาๆ ขณะที่อยู่ในรถ สายตาหลายสิบคู่ทั่วบริเวณนั้นต่างหันมามองผมและหันไปจับที่เธอจนผมรู้สึกหน้าชา เธอทักขึ้นก่อนว่า

“งานเสร็จแล้วหรือคะ เหนื่อยไหมคะ?”

ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เธอไม่ได้พูดทำนองต่อว่าหรือแสดงอาการน้อยใจที่ผมทำให้เธอต้องคอยอยู่ไม่น้อย ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบพลางบอกว่า

“ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ปานฯ ต้องคอยนาน ผมรีบอย่างที่สุดแล้ว รถก็ค่อนข้างติดด้วย”
“ไม่นานหรอกค่ะ คุณบอกปานฯ แล้วนี่คะว่ามีงานด่วน บังเอิญน้องสาวปานฯ มาหาที่ทำงานจะกลับบ้านด้วย เราเลยไปเดินเล่นที่สยามสแควร์แป๊บนึง ปานฯ ว่านี่น่ารักดีเลยซื้อมาฝากคุณ...” เธอหยิบซองพลาสติคลวดลายสวยเก๋ที่วางอยู่บนโต๊ะยื่นส่งให้ผม และบอกต่อว่า “.....เปิดดูสิคะ”

ผมรับซองพลาสติคนั้นมาถือไว้อย่างเซ่อๆ เปิดซองนั้นออกหยิบกล่องพลาสติคขนาดเล็ก ฝาด้านหน้าเป็นพลาสติคใสมีพวงกุญแจสีเงินเป็นมันปลาบวางอยู่บนกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม มันเป็นพวงกุญแจที่เป็นรูปไม้กอล์ฟอันเล็กๆ ฝีมือประณีตบ่งบอกราคาว่าสูงไม่น้อย

“ชอบไหมคะ” ใบหน้าและสายตาอันกระตือรือร้นของเธอบอกความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“ปานฯ ไม่เห็นจำเป็นต้อง....” ยังไม่ทันที่ผมจะจบความ เธอพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ก็ไม่ถึงกับจำเป็นหรอกค่ะ แต่ปานฯ อยากให้เท่านั้นแหละค่ะ”
“พวงกุญแจผมก็มีอยู่ ของฟรีที่ลูกค้าให้ที่ยังไม่ได้ใช้ก็มีอีกหลายอัน ปานฯ ไม่....” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะต่อความยาวออกไปทำไม อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น หรือเกินความคาดฝัน แต่ก่อนที่ผมจะพูดจบประโยค เธอพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า
“คุณไม่ชอบหรือคะ?”
“คือ....”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ปานให้คุณแล้ว ถ้าคุณไม่ชอบจะทำอะไรกับมันก็ได้”

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีความรู้สึกว่าปานฯ เอาความรู้สึกและอารมณ์เข้ามาเจือปนด้วยอย่างมากมาย น้ำเสียงของเธอบอกถึงความน้อยใจ ผิดหวัง เธอก้มหน้าลงต่ำมองที่พื้น ใจผมกระสับกระส่ายจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ทำท่ากระอักกระอ่วน มันเต้นเร่าๆ มือไม้เย็นเยียบ ทั้งกลัวและกริ่งเกรงไปสารพัดแต่เด็ดขาดด้วยการตัดสินใจครั้งสุดท้าย

ผมเอื้อมมือออกไปอย่างขลาดๆ กุมมือของเธอเอาไว้อย่างแผ่วเบาพลางบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเบาว่า
“ผมชอบมาก”

เธอหันกลับมามองผมอย่างช้าๆ พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ที่ทำให้ผมรู้สึกพรึงเพริดไปเหมือนต้องมนต์สะกดคือดวงตาใสๆ คู่นั้นคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำที่อาจร่วงหล่นลงมาเมื่อใดก็ได้
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:15:50 AM »

บทที่  7  ตีจริง


“สิ่งที่ผมอยากให้ปานฯ ปฏิบัติและพยายามฝึกให้เป็นนิสัยก่อนที่เราจะตีแต่ละครั้งเวลาที่เรามาซ้อมคือเลือกเป้าหมายที่เราต้องการจะตีไปแล้วหาจุดหมายที่หน้าลูกห่างไปประมาณหนึ่งฟุตลากเป็นเส้นสมมติเอาไว้ในใจ จุดดังกล่าวมีไว้เพื่อเราจะได้วางเท้าทั้งสอง สะโพกและไหล่ให้ขนานไปกับเส้นทางที่เราจะตีไปและสำหรับวางหน้าไม้ให้ตรงไปยังเป้าหมายที่เราต้องการ....”

ผมรีบปรับอารมณ์ใหม่ เปลี่ยนเรื่องมาเป็นการซ้อมกอล์ฟแทน ความจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะใจจริงๆ นั้นอยากจะกุมมือเธอไว้แบบนั้นตลอดทั้งคืนด้วยซ้ำ แต่อีกใจหนึ่งที่คอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาถึงความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับใจของตัวเองหากผมยังปล่อยให้ใจไปยืนอยู่ท่ามกลางบ่อโคลนดูดที่รังแต่จะจมลึกลงไปทุกที ยิ่งตะเกียกตะกายมากเท่าไรยิ่งจมดิ่งลึกลงไปเท่านั้น ทางเดียวที่จะไม่หลงปล่อยใจให้ลอยไปคืออย่าเฉียดเข้าไปใกล้ ทางข้างหน้าเปรียบป่าลึกอันรกชัฏที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย ยิ่งเป็นยามรัตติกาลด้วยแล้วคงไม่ต่างจากคนตาบอดที่ต้องยื่นมือคลำทางสะเปะสะปะไป
ปานฯ ตั้งใจฟังผมอธิบายเป็นอย่างดีแต่สายตานั้นสื่อภาษาแปลกๆ ที่ผมไม่เข้าใจ ผมอธิบายต่อว่า

“ที่ปานใช้อยู่นี้เป็นเหล็กเจ็ด ความกว้างระหว่างเท้าทั้งสองขนาดนี้กำลังดีแล้วนั่นคือประมาณหนึ่งฟุตเมื่อวัดจากด้านในของเท้าทั้งสอง ตำแหน่งของลูกจะค่อนจากกึ่งกลางระหว่างเท้าทั้งสองไปทางซ้ายนิดเดียว หากต้องใช้เหล็กที่สั้นลงเราต้องขยับแต่เท้าขวาให้แคบลง ส่วนเท้าซ้ายให้คงที่ไว้แบบนั้น ในทางตรงข้าม หากเราต้องใช้เหล็กที่ยาวขึ้น เราต้อง.....” ผมเว้นวรรคให้เธอตอบ

“ยืนให้กว้างขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความยาวของไม้แต่ละอัน แต่เท้าซ้ายคงที่ ถูกไหมคะ?” ปานฯ รู้อยู่แล้วว่าตอบถูกเพราะรอยยิ้มและสายตานั้นบอกถึงความมั่นใจ
“ใช่ ปานจะสังเกตเห็นว่าแกนลำตัวของเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยดูจากกระดุมเสื้อด้านหน้าเป็นหลักก็ได้ นั่นหมายถึงจุดต่ำสุดของวงสวิงจะเปลี่ยนไปตามความกว้างของเท้าทั้งสอง พอเข้าใจไหม?”
“เข้าใจค่ะ” เธอตอบด้วยความมั่นใจ
“ดี กีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่ละเอียดอ่อนมาก หากพื้นฐานสำคัญๆ ผิดเพี้ยนไปเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เราตีลูกนั้นเสียหายไปเลยก็ได้ บรรดามืออาชีพทั้งหลายจึงต้องหมั่นฝึกซ้อมกันอยู่เสมอเพื่อให้มั่นใจว่าพื้นฐานที่ดูเหมือนง่ายนั้นแหละ ที่เราเรียนมาแต่อ้อนแต่ออกคือเมื่อหัดเล่นกอล์ฟนั้นง่ายจริง ถ้ามีโอกาสได้เห็นบรรดามืออาชีพที่ฝึกซ้อมกันจะเห็นว่าเขาไม่ได้รีบร้อนตี แต่จะค่อยๆ ซ้อมไป ทำความมั่นใจว่าทุกอย่างที่รู้อยู่นั้นถูกต้อง.....เอาล่ะ ผมว่าวันนี้น่าจะถึงเวลาที่ปานฯ ได้สวิงตีลูกจริงๆ เสียทีหลังจากที่เหวี่ยงลมมานานพอควรแล้ว”
“จริงหรือคะ ปานฯ นึกว่าจะต้องเหวี่ยงลมวืดไปวืดมาแบบนี้จนหง่อมเสียอีก วันก่อนไปสระผม ช่างยังบอกเลยว่าปานฯ มีผมหงอกตั้งหนึ่งเส้นแน่ะ” เธอหัวเราะเสียงใสเหมือนเสียงระฆังแก้ว ทำหน้าล้อๆ ดูเดียงสา

ผมไม่แปลกใจเลยที่เธอสามารถเหวี่ยงไม้กอล์ฟเข้าปะทะลูกกอล์ฟสีขาวที่ตั้งอยู่บนทีสั้นๆ ได้อย่างเหมาะเหม็ง ผมมองดูลูกกอล์ฟที่ลอยละลิ่วขึ้นฟ้า ไปตกเลยป้ายบอกระยะร้อยหลาได้อย่างสวยงาม อีกท่าทางในท่าจบนั้นก็สวยงามพอไปวัดไปวาได้ไม่อายใคร
“วู้ว ตรงเป๊ะเลยค่ะ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความยินดี ผมเองก็ยินดีไม่แพ้กัน พอเธอจรดตั้งท่าจะตีใหม่ ผมเตือนว่า
“ปานฯ ต้องจับกริพใหม่ทุกครั้ง จัดท่ายืนใหม่แม้จะยืนอยู่ที่เดิมนี่แหละ ไม่งั้นเดี๋ยวตีๆ ไปจะเกร็งโดยไม่รู้ตัว”
“เจ้าค่ะ”

กว่าจะตีลูกกอล์ฟเพียงถาดเดียวนั้นหมดก็ใช้เวลาไปกว่าชั่วโมง เพราะผมจะไม่ยอมให้เธอหวดไปสุ่มสี่สุ่มห้า ปากต้องคอยร้องเตือนนั่นเตือนนี่อยู่ตลอดเวลาจนคอนั้นแสบไปหมด กว่าเราจะออกจากสนามซ้อมเวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะสี่ทุ่ม

“วันนี้น้องสาวปานฯ เอารถไปใช้ค่ะ ปานฯ มาแท็กซี่ เดี๋ยวคุณให้ปานลงที่หน้าปากซอยก็ได้ค่ะคงหาแท็กซี่ได้ไม่ยากหรอกค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่ความลับ ให้ผมไปส่งปานฯ ที่บ้านแล้วกัน” ผมไม่รอฟังคำตอบ เดินนำตรงไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกลออกไป

การจราจรบนท้องถนนยามค่ำค่อยคลี่คลายลงบ้าง ผมขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งร้อน กลิ่นน้ำหอมจางๆ ราคาแพง โชยมากระทบจมูก ให้ความชื่นใจอิ่มเอมในอารมณ์อยู่ลึกๆ ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มที่อย่างไม่ได้ตั้งใจ ปล่อยความคิดให้ท่องไปอย่างไร้จุดหมาย สายตาเพ่งไปเบื้องหน้า นานครั้งแอบชายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่เคียงข้าง ใบหน้างามสง่าตั้งตรง ผมที่รวบมัดเป็นหางม้าไว้ด้านหลังเผยใบหน้าที่สะอาดหมดจดอย่างไร้ที่ติ เธอยกมือขึ้นปิดปากขณะที่อ้าปากหาว หากเป็นในรามเกียรติ์คงหาวเป็นดาวเป็นเดือนเช่นหนุมาน

เธอเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้าชัดเจนว่า
“ไม่เห็นคุณโทรศัพท์มาคุยกับปานฯ บ้างเลย”

ผมหับไปมองแวบหนึ่ง ตอบอย่างไม่ได้เรื่องว่า
“เบอร์ที่ปานฯ เขียนให้ผมใส่แผ่นกระดาษนั่นเหรอ”
“แล้วคุณคิดว่าปานฯ ใบ้หวยให้หรือไง”

ผมหัวเราะ หึ หึ อยู่ในลำคอเป็นการแก้เก้อมากกว่า และถามคำถามที่ไม่ได้เรื่องอีกว่า
“ปานฯ แน่ใจหรือว่าผมจะโทรไปได้”
“ถ้าไม่แน่ใจ ปานฯ จะให้เบอร์คุณไปทำไม” แล้วผมก็โดนย้อนเอาอย่างที่คิด
“ไม่รู้สิ ผมคงกลัวไปเองมากกว่า”
“คุณกลัวอะไร?”
“อาจจะไม่ใช่กลัว แต่อาจจะคิดมากก็เป็นได้”
“งั้นก็เลิกคิดได้แล้ว”
“คงไม่ใช่ง่ายอย่างที่ปานฯ บอกหรอก”
“ไหนคุณคิดยังไงลองบอกให้ปานฯ ทราบบ้างสิ.....เลี้ยวซ้ายข้างหน้าค่ะ ไปอีกนิดเดียว ประตูทางเข้าคอนโดอยู่ทางขวาค่ะ”
ผมเลี้ยวรถเข้าประตูใหญ่ ขับตรงเข้าไปจอดที่หน้าประตูทางเข้าอาคาร มันเป็นคอนโดที่ค่อนข้างจะหรูหราไม่น้อยดูจากการตกแต่งและลักษณะโครงสร้างของอาคาร ผมรู้สึกโล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามที่ไม่อยากตอบเอาเสียเลย แต่ต้องสะดุดความคิดอยู่เพียงนั้นเมื่อเธอพูดขึ้นว่า
“ไปจอดที่ตรงนั้นก็ได้ค่ะ ตรงนี้ห้ามจอด”

ผมขับไปตามทางที่เธอชี้บอก ที่จอดรถริมกำแพงรั้วมีต้นปาล์มปลูกเรียงกันเป็นระยะ แสงไฟจากดวงโคมบนกำแพงหลุบหลู่ เธอเปิดประตูรถออก ถามว่า
“ขึ้นไปทานน้ำก่อนนะคะ” นั่นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำเชิญที่ทำให้ใจผมสั่นหวิวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ผมตอบไม่เต็มเสียงว่า
“ผมว่าปานฯ คงเหนื่อยมามากแล้ว และนี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้เราต้องทำงานด้วยกันทั้งคู่ ผมว่า ผมกลับเลยดีกว่า”
“ตามใจค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เธอก้าวลงจากรถ หอบข้าวของติดมือไป มือหนึ่งผลักประตูรถกระแทกปิด สะบัดหน้า เดินจากไปทันทีโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย

ใจผมแป้วลงทันทีเพราะผมหวังที่จะเห็นรอยยิ้มของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากกันคืนนี้
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:16:24 AM »

บทที่ 8  ลูกสั้น


แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นสายปลุกให้ผมตื่นขึ้น ผมชันกายขึ้นนั่ง ศีรษะพิงพนักที่หัวเตียง สายตาเหลือบมองดูนาฬิกาที่ผนังฝั่งตรงข้าม มันบอกเวลา 9 นาฬิกาเศษของเช้าวันเสาร์ที่ผมสามารถใช้เวลาเป็นส่วนตัวได้ แต่ความคิดนี่ไม่ได้เพราะเพียงครู่เดียวใบหน้าของปานฯ ก็ลอยเข้ามาในห้วงคิดคำนึงของผมเสียแล้ว จะสลัดอย่างไร จะห้ามไม่ให้บุกรุกเข้ามาในความคิดอย่างไรก็ไม่เป็นผล ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุจนจิตใจนั้นปั่นป่วนเป็นทุกข์ร้อนขึ้นมาเอง

ผมรีบลุกขึ้นจากที่นอน เข้าห้องน้ำชำระร่างกายและแต่งกายเรียบร้อยกลับมานั่งลงที่ระเบียงห้องนอน สายลมยามเช้าโชยมาครั้งหนึ่งแล้วสงบไป ท้องฟ้าหม่นเต็มไปด้วยเมฆหมอกดูซึมเศร้าราวกับใจที่เป็นทุกข์ นกเอี้ยงตัวหนึ่งบินมาจับที่ชายคาบ้าน มันส่งเสียงร้องดังแสบแก้วหูจนผมต้องหันไปค้อน อารมณ์เริ่มหงุดหงิดขึ้นที่เสียงของมันเข้ามาทำลายความสงบ แต่เปล่าเลย ใจของตัวเองนี่แหละที่เป็นตัวการสำคัญ หากมันทุกข์ร้อนจะอยู่แห่งหนใดก็ไม่เป็นสุขได้เหมือนหมาขี้เรื้อน ต่อให้อยู่บนสวรรค์ก็ยังต้องเกาอยู่ไม่รู้จบนั่นเอง เพราะภาพของหญิงสาวรุกคืบเข้ามาในความคิดผมอีกคำรพหนึ่ง

เมื่อใจมันดิ้นเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า ผมหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน มือและเท้าเร็วกว่าความคิด ผมลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มาถือไว้แต่พอจะกดเรียกเบอร์ที่บันทึกไว้ อีกใจหนึ่งพลันเตือนขึ้นว่า ‘ขนาดเพียงแค่นี้ใจยังเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้ หากถลำลึกไปกว่านี้มันจะไม่เหมือนตกนรกทั้งเป็นเชียวหรือ’ นิ้วมือชะงักการทำงานลงโดยพลัน สงครามระหว่างใจสองห้องบนกับสองห้องล่างกำลังสู้รบกันอย่างถึงพริกถึงขิง มันดูชุลมุนฝุ่นตลบ ยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายใดจะมีชัย

ฉับพลันนั้นเอง ผมต้องสะดุ้งขึ้นสุดตัวเกือบจะปล่อยโทรศัพท์หลุดมือเมื่อเสียงจากโทรศัพท์ที่ผมถืออยู่ในมือดังก้องขึ้น  มันทั้งสั่นทั้งร้องราวกับโดนค้อนทุบ ผมรีบยกขึ้นมองหน้าจอดูผู้เรียกเข้า ใจเต้นโครมใหญ่จากนั้นเริ่มไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นชื่อคนที่บุกรุกเข้ามาในความคิดของผมโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมกดปุ่มรับด้วยความร้อนรน พูดเสียงสั่น

“ครับ คุณปานฯ.....ไม่ได้ไปไหนครับ......ไม่ได้ทำอะไรครับ.....ได้ครับ.....ว่างครับ.....แน่ใจครับ....ครับ....งั้น เดี๋ยวผมไปรับ....บายครับ”

สายที่โทรเข้ามายุติสงครามระหว่างใจที่ต่อสู้กันมาโดยสิ้นเชิง ความยินดีจนออกนอกหน้าปรากฏเห็นชัดหากมีใครเห็นเข้าตอนนี้ย่อมจะบอกได้เป็นธรรมดา

เมื่อขับรถผ่านประตูทางเข้าคอนโดไปนั้น ร่างระหงพร้อมอุปกรณ์ไม้กอล์ฟเพียงอันเดียวในมือ และกระเป๋ากีฬาใบใหญ่สะพายบนไหล่เดินตรงมาที่รถทันทีพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางทำให้ปานฯ ดูอ่อนวัยไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่น ผมฉีกยิ้มกว้างขวางจนรู้สึกตัวว่าดวงตาของตัวเองเปล่งประกายด้วยความยินดี ระหว่างทางที่ขับรถมานั้น ผมวางแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะพาเธอไปไหน

“หวัดดีค่ะ มาเร็วดีนี่คะ” ใต้หมวกแก้ปสีแดงสดผมที่มัดรวบเป็นหางม้าทรงเดิมสะบัดไปมาเมื่อเธอหันมามองหน้าผมและจ้องราวกับผมเป็นมนุษย์ต่างดาว
“รถผมวิ่งได้เร็วดีครับ” ผมโทษว่าเป็นผิดของรถแทนที่จะเป็นความผิดของใจที่บังคับเท้าเหยียบคันเร่งจนแทบจะโบยบินไปกระนั้น
“คุณนี่พูดได้เรื่อยเปื่อยจริงๆ เลยนะจนปานฯ สงสัยว่าเวลาคุณเสนอรายงานในที่ประชุม คณะกรรมการท่านจะฟังคุณรู้เรื่องไหมเนี่ย”

ผมหัวเราะแก้เก้อ บอกว่า
“คงไม่ค่อยรู้เรื่องมังครับเพราะเห็นประชุมกันทีเป็นชั่วโมงๆ คนโน้มถามที คนนี้ถามที รุมถามผมคนเดียว ผมคงตอบผิดๆ ถูกๆ ไปตามเรื่อง”

ปานฯ หัวเราะคิก แม้ผมจะไม่ได้หันไปมองหน้าเธอ สายตามองตรงไปที่ถนนข้างหน้า แต่ผมรู้สึกตัวว่าเธอหันมามองผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สนใจสิ่งใดนอกรถ

“เราจะไปซ้อมกันที่ไหนคะเนี่ย”
“วันนี้ผมจะสอนลูกสั้นให้ เราต้องหาสนามกอล์ฟที่มีลานซ้อมชิพและพัทท์ ตามสนามซ้อมไม่ค่อยมีลานซ้อมหรอกครับถึงมีก็ไม่ค่อยจะดี”
“ลูกชิพและพัทท์นี่ต้องเรียนด้วยหรือคะ ท่าทางไม่เห็นน่าจะยากเลย”
“ไม่ยากน่ะถูกครับถ้าเล่นเป็น ถ้าเล่นไม่เป็นหรือไม่รู้วิธีเวลาไปออกรอบจะรู้เองล่ะครับว่ามันเหมือนยาขมทำให้คนน้ำตาตกในมานับไม่ถ้วน เรื่องของเรื่องคือมันมีวิธีเล่นหลายแบบแล้วแต่ว่าเราต้องการเล่นแบบไหน ในสถานการณ์ใดควรเล่นแบบใดเพื่อประหยัดคะแนนให้ได้ผลที่สุด ทุกช็อตในกีฬากอล์ฟมีค่าเท่ากับหนึ่งเท่ากันไม่ว่าตีไปได้สามร้อยหลาหรือสามหลาก็หนึ่งเท่ากัน ไม่มีอะไรสำคัญกว่าอะไร นักกอล์ฟจะต้องพัฒนาทุกรูปแบบของเกมไปพร้อมๆ กัน”

จากถนนสายใหญ่แยกเข้าถนนซอยลึกเข้าไปไม่มากนักเป็นประตูเข้าสู่สนามกอล์ฟที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่เรียงรายเป็นแนวไปตลอด บริเวณลานจอดรถมีรถยนต์จอดกันมากมาย

ผมเปิดท้ายรถหยิบเหล็กพิชชิ่งเวดจ์ แซนด์เวดจ์และพัตเตอร์พร้อมลูกกอล์ฟเก่าอีกถุงใหญ่ เดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาว เธอเดินแกว่งเหล็ก 7 ในมืออย่างสบายในอารมณ์ สายตามองสำรวจไปทั่วบริเวณอย่างตื่นตาตื่นใจ ผ่านหน้าคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่หรูหราที่ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่หลากพันธุ์ เบื้องหน้าเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ คลื่นน้อยๆ เป็นระลอกพริ้วตามสายลมที่โบกโชยมาไม่ขาดระยะ มันสะท้อนเปลวแดดจางๆ ที่ถูกบดบังด้วยปุยเมฆหนาทึบ ด้านข้างสระน้ำทั้งสองฝั่งโอบล้อมด้วยแฟร์เวย์เขียวขจีดุจกำมะหยี่มีต้นไม้ใหญ่น้อยขนาบเป็นแนวตลอด ปลายแฟร์เวย์เป็นกรีนมีระดับสูงต่ำตั้งติดชิดขอบน้ำทั้งสองด้าน มีใบธงสีแดงโบกสะบัดไปตามแรงลม

“สวยงามจริงๆ นะคะ” ผมดีใจที่เธอสังเกตเห็นความงามของธรรมชาติที่ตั้งใจเสกสรรขึ้นมา
“ผมชอบสนามนี้เพราะออกแบบได้ดี สวยจริงอย่างที่ปานฯ ว่า ที่ลานซ้อมก็ร่มรื่นมีเงาไม้ใหญ่ช่วยบังแดดให้”

ผมเลือกบริเวณที่เงาไม้ใหญ่ทอดลงให้ร่มเงาเป็นอย่างดี เทลูกซ้อมออกจากถุงจนหมดกองที่ริมขอบกรีนซ้อม บริเวณต่างๆ ของกรีนมีหลุมสี่ห้าหลุมระยะห่างต่างๆ กัน ผมอธิบายว่า
“เราสามารถเลือกใช้เหล็กทุกอันที่มีในถุงได้ตามความเหมาะสม ตามสถานการณ์ ตามทำเลที่ลูกอยู่รายละเอียดเป็นอย่างไรเดี๋ยวผมจะค่อยอธิบายไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมอยากให้ปานเรียนรู้พื้นฐานของการเล่นลูกสั้นนั่นคือลักษณะการยืน เราควรจะยืนให้แคบและวางน้ำหนักให้ค่อนลงทางเท้าซ้ายให้มากเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวของเราโยกเยกไปมาขณะที่เราสวิงตีลูกเพราะเราต้องการความแม่นยำเพื่อให้พาลูกไปใกล้หลุมที่สุดหรือลงหลุมไปเลย.....”

ผมยืนแสดงท่าประกอบให้เธอดูเป็นตัวอย่าง ปานฯ ยืนเลียนแบบตาม
“......เราควรยืนเปิดเล็กน้อยคือให้เท้าซ้ายต่ำกว่าเท้าขวาเพื่อให้เห็นเส้นทางเล่นได้ชัดเจนขึ้น ควรจับไม้ให้ต่ำลงมากว่าปกติเพื่อให้เกิดความรู้สึกในการควบคุมที่ง่ายขึ้น ทั่วไปหากลูกอยู่ในทำเลปกติจะวางลูกให้อยู่กึ่งกลางระหว่างเท้าทั้งสอง ขณะที่จรด ปานฯ จะเห็นว่าเมื่อวางหน้าเหล็กไปยังเป้าหมายที่ต้องการ เหล็กถูกออกแบบมาให้มีความเอียงตามองศาของไม้แต่ละอันนั่นคือมือที่จับกริพจะอยู่หน้าลูกตลอดเวลา....”

ผมมองดูท่าทางที่หญิงสาวยืนเลียนแบบเห็นว่าเหมาะสมดีแล้วจึงอธิบายต่อว่า

“วิธีการควบคุมไม้กอล์ฟให้เดินทางเป็นแนวทางเดียวกันตลอดก็คือการใช้ไหล่และแขน ไม้กอล์ฟที่อยู่ในมือทำให้เรามีความรู้สึกว่าน่าจะใช้มือในการควบคุมแต่การควบคุมด้วยมือหาความแน่นอนไม่ได้เพราะเราสามารถใช้มือขึ้นไม้ได้หลายทิศทางและเมื่อไม้เดินทางกลับก็กลับได้หลายทิศทาง มันจึงอาจตรงบ้าง ไม่ตรงทางบ้าง เร็วบ้าง ช้าบ้างขาดความแน่นอน แต่ไหล่นั้นติดอยู่กับตัว เวลาเราหมุนไหล่ไปและกลับ ไหล่จะเดินทางอยู่ในเส้นทางเดียวมีลักษณะเช่นเดียวกับวงกลมที่ปานฯ เคยรู้มาแล้ว พอจะเข้าใจไหม?”
“เข้าใจดีค่ะ”
“ดีมาก ดังนั้นเพื่อให้ไหล่หมุนได้คล่อง ร่างกายของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งไหล่จะต้องไม่เกร็ง จับกริพก็ต้องผ่อนคลายไม่แน่นเกินไปไม่หลวมเกินไป เนื่องจากเป็นลูกระยะสั้นๆ เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเราเองว่าไม้แต่ละอันที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นเหล็กอะไร ถ้าเราขึ้นไม้แค่ไหน เมื่อตีกระทบลูกไปแล้วจะส่งไม้ตามไปแค่นั้น เช่น ขึ้นไม้สองฟุต เราก็ส่งไม้ตามไปสองฟุตเป็นต้น ลูกกอล์ฟจะลอยพ้นขึ้นจากพื้นและจะไปตกลงที่ตรงไหนและวิ่งไปไกลแค่ไหน ผมจะตีให้ดูเวลาใช้เหล็กสองอันที่ต่างกันโดยขึ้นไม้เท่าๆ กัน”

ผมใช้เหล็กเจ็ด และเหล็กพิชชิ่งเวดจ์ขึ้นไม้ระยะเท่ากัน ใช้แรงตีเท่ากันแต่ลูกไปตกระยะต่างกันและวิ่งไกลกว่ากัน ปานฯ ถามขึ้นว่า
“ทำไมเราไม่ใช้แค่เหล็กอันเดียวล่ะคะ มันไม่ง่ายกว่าหรือคะ”
“ตรงข้ามเลย สมมติว่าหลุมอยู่ที่ลูกกอล์ฟลูกนั้นที่ผมตีไปด้วยเหล็ก 7 น่ะ ถ้าปานฯ ใช้พิชชิ่ง ปานฯ ต้องขึ้นไม้ให้มากขึ้นจริงไหมเพื่อให้ลูกกอล์ฟไปตกไกลขึ้นเพราะลูกจะวิ่งน้อยกว่า การขึ้นไม้ยิ่งสูงเพียงใดก็ยิ่งควบคุมได้ยากเพียงนั้น ถ้าเราขึ้นไม้น้อยเราก็ควบคุมไม้ได้ง่ายขึ้น โอกาสที่จะผิดพลาดก็ลดลง ส่วนระยะทางที่เราต้องรู้ก็เกิดจากการซ้อมเหล็กแต่ละอัน”
“อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าเราใช้เหล็กเพียงอันเดียว เราต้องขึ้นไม้มากน้อยต่างกันตามระยะทาง มันจะกะได้ลำบากใช่ไหมคะ”
“ใช่และไม่ใช่ ที่ว่าใช่ก็จริงอย่างที่ปานฯ เข้าใจแหละ แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ควรจะรู้ด้วยว่าถ้าเราใช้เหล็กอันนี้ขึ้นแค่ไหนลูกจะลอยไปแค่ไหนด้วย นี่แหละคือความละเอียดอ่อนของเกมกอล์ฟ ผมว่าปานฯ ลองตีลูกเลยดีกว่า ใช้เหล็ก 7 นั้นแหละ ขึ้นประมาณสองฟุต ส่งไม้ไปประมาณสองฟุต เล็งทางไปที่หลุมนั้นแล้วดูว่าผลจะเป็นยังไง ระวังอย่างเดียวคือจังหวะให้มันนุ่มนวลเข้าไว้ ไม่ต้องรีบ ที่สำคัญคือเวลาตีกระทบลูกให้ระวังข้อมือซ้ายให้รักษาให้เป็นแนวตรงไว่ อย่าให้มันหักพับล่ะ”

ผมปล่อยให้ปานฯ ตีด้วยเหล็กต่างๆ สลับกันไปโดยใช้ท่าเดียว ขึ้นไม้ระดับเดียวกันตลอด สำหรับคนที่เพิ่งหัดใหม่ ผลงานของเธอนับว่าเป็นที่น่าพอใจ

ผมสอนเธอจับกริพแบบใหม่ที่เป็นที่นิยมกันทั่วไปและอธิบายถึงหลักในการพัทท์ว่า
“การที่ให้จับกริพแบบนี้คือให้นิ้วชี้ซ้ายออกมาด้านนอกก็เพื่อเวลาพัทท์ไปข้อมือซ้ายจะได้ไม่หักพับแบบนี้....” ผมแสดงท่าประกอบให้เธอดู และอธิบายต่อว่า
“.....แม้ท่าทางและวิธีการในการพัทท์สำหรับแต่ละคนจะเป็นเรื่องของความถนัดเสียมากกว่าแต่ยังมีพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้การพัทท์ได้ผลที่สุดคือตำแหน่งของลูก ไม่ว่าเราจะถนัดยืนแบบไหนตำแหน่งที่ลูกตั้งอยู่นั้นควรจะอยู่ใต้ตำแหน่งของสายตาที่มองลงมาพอดีๆ เมื่อเรายืนจรดเสร็จ ลองเอาลูกกอล์ฟตรงตำแหน่งดั้งจมูกและปล่อยให้ลูกกอล์ฟตกลงพื้น นั่นคือตำแหน่งที่ลูกกอล์ฟควรตั้งอยู่เพราะการตะแคงหน้ามองทิศทางที่เราจะพัทท์ในลักษณะนั้นเราจะสามารถเห็นเส้นทางได้ถนัดที่สุด....” ปานฯ ลองทำท่าตามที่ผมแสดงให้ดู แต่บ่นขึ้นว่า

“ปานฯ มองไม่เห็นเส้นทางที่จะพัทท์อย่างที่บอกเลยนี่คะ” ผมอยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ แต่เกรงว่าเธอจะอายเลยได้แค่ยิ้มๆ บอกว่า
“ปานฯ จะเห็นได้ยังไงล่ะก็ปานฯ ตั้งท่าพัทท์ออกไปนอกกรีนแบบนี้”

เรายืนกันอยู่ที่ริมกรีน ผมหันไปทางกลางกรีน ส่วนเธออยู่ตรงข้ามจึงหันออกนอกกรีน ปานฯ ยิ้มแบบอายๆ บอกว่า
“ถ้าปานฯ หันไปทางเดียวกับคุณ ปานฯ ก็หันก้นให้คุณจะเห็นคุณได้ยังไงล่ะ” เธอเปลี่ยนทิศทางยืนใหม่ ผมหัวเราะเดินอ้อมไปด้านตรงข้าม บอกว่า
“ก่อนตั้งท่าให้ดูทิศทางที่เราจะพัทท์ไปเสียก่อน สมมติว่าเราจะพัทท์เป็นเส้นตรงไปยังหลุม เราควรกำหนดจุดที่ด้านหน้าห่างออกไปประมาณสักหนึ่งคืบก็ได้ แล้ววางหน้าพัตเตอร์ให้ไปในทางนั้น วางเท้าทั้งสองให้ขนานกับเส้นทางนั้น เวลาส่งหน้าไม้พัตเตอร์ออกไปก็ให้นึกว่าเราจะส่งออกไปในทางนั้น หลักการพัทท์กับลูกชิพนั้นคล้ายกันคือขึ้นไม้แค่ไหนก็ส่งไม้ไปแค่นั้น....”

ผมช่วยจัดท่าทางให้เธอใหม่เล็กน้อย อธิบายต่อว่า
“เวลาเราพัทท์ให้ค่อยๆ สร้างความรู้สึกในการควบคุมไม้ด้วยไหล่ด้วยเหตุผลเดียวกับการชิพตามที่ได้อธิบายไปแล้ว มันอาจจะฝืนเล็กน้อย แต่ซ้อมนานไปก็ชินเอง ที่สำคัญที่สุดในการพัทท์คือ ระหว่างที่เราแบ็คสวิงและส่งหน้าพัตเตอร์ออกไปก็ดี สายตาของเราจะต้องจับอยู่ที่ตำแหน่งที่ลูกกอล์ฟตั้งอยู่ตลอดเวลา อย่ากรอกสายตาไปมามองดูหน้าไม้ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถควบคุมให้หน้าไม้กระทบลูกที่กึ่งกางหน้าไม้ได้ ที่สำคัญอีกอย่างคือเวลาพัทท์ต้องระวังอย่าให้ตัวโยกเยกจะทำได้โดยเริ่มตั้งแต่ท่าจรดเลยซึ่งจะวางน้ำหนักตัวค่อนไปทางซ้ายหน่อยก็ได้....”

เธอถามขัดขึ้นว่า
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราขึ้นพัตเตอร์ไปขนาดไหนถ้าไม่มองตามล่ะคะ”
“ความรู้สึกตอนที่เราซ้อมพัทท์ก่อนพัทท์จริงไง สมมติว่าเราต้องขึ้นประมาณหนึ่งฟุตเพื่อให้เคาะลูกออกไปได้ระยะทางประมาณสิบฟุต เราก็ซ้อมหาความรู้สึกนั้นก่อน แล้วใช้ความรู้สึกว่าต้องขึ้นแค่นั้นในการพัทท์จริง”

ผมเลือกเส้นทางบนกรีนที่เป็นไลน์ตรงให้เธอ วางเหล็กสองอันขนานไปกับเส้นทางนั้นให้มีความกว้างกว่าหน้าพัตเตอร์เล็กน้อย อธิบายต่อว่า
“ลองซ้อมพัทท์โดยวางพัตเตอร์ในแนวนี้ เวลาขึ้นไม้หรือส่งไม้ออกไปอย่าให้กระทบเหล็กสองอันนี้ ซ้อมไปเรื่อยๆ จะวางลูกหรือไม่ก็ได้ แล้วหาความรู้สึกเอาเองว่าเราจะต้องขึ้นไม้ยังไง ส่งไม้ออกไปยังไงจะได้เอาความรู้สึกนี้ไปใช้เวลาเล่นจริงได้”

ผมยืนมองเธอซ้อมพัทท์อยู่ห่างๆ บางลูกที่เธอพัทท์ลงเธอจะกำหมัดชกลม ทำท่าสะใจ ผมว่าเธอดูหนังกอล์ฟมากไปหน่อย ที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ปานฯ เป็นคนที่มีความอดทนสูงมากเพราะเธอซ้อมพัทท์อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ แล้วหันกลับมาซ้อมชิพต่ออีก สลับไปมาแบบนั้น ผมน่ะแสนจะเมื่อยขบที่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ปากก็พร่ำบอกไปไม่รู้จบ แต่เมื่อเธอไม่เลิก ผมจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย

แสงแดดแม้จะไม่ร้อนแรงนัก และแม้มีร่มเงาไม้ช่วยบรรเทาความร้อนลงได้มากมาย แต่การยืนกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่เรื่องสนุก เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นว่าแก้มทั้งสองของเธอแดงระเรื่อราวกับแต้มชาด ดูน่ารัก น่าพิสมัยเป็นยิ่งนัก
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:16:46 AM »

บทที่ 9   เมื่อสายันห์


เราออกจากสนามกอล์ฟเป็นเวลาบ่ายแก่จัดแล้ว ผมไม่ได้ถามปานฯ หรือขอความเห็นจากเธอว่าเราจะไปรับประทานอาหารเย็นที่ไหนดี และขับรถตรงไปที่ร้านอาหารที่มีอยู่ในใจ เป็นร้านอาหารที่ปลูกเป็นเรือนแพตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนครชัยศรี ผู้คนมีอยู่เพียงน้อยนิด เราเลือกที่นั่งริมแพสามารถมองเห็นสายน้ำที่เคลื่อนที่ไปไม่รู้จักหยุดหย่อน มันพาเอาผักตบชะวาชูช่อสีม่วงดูดาดดื่นท่องไปตามลำน้ำใหญ่ไปไหนต่อไหนไม่มีใครอยากรู้ เรือพายลำเล็กที่ฟากตรงข้ามแม่น้ำเป็นภาพชีวิตตามธรรมชาติของผู้คนที่อาศัยลำน้ำเป็นหลัก ทิวไม้สีเขียวเข้มบ้างจางบ้างยาวตลอดเป็นแนวคดโค้งไปตามแม่น้ำนั้น บางตอนมีต้นตาลชูยอดสูงไหวเอนไปมา ต้นมะพร้าวที่เตี้ยต่ำลงมามีให้เห็นอยู่ดาษดื่น เหนือขึ้นไปเป็นขอบฟ้าสีเทามีเมฆทึบกระจายตัวไปทั่ว มันกั้นแสงพระสุริยนต์ให้อ่อนช้อยลงดูเบาตา นกตัวใหญ่น้อยโผบินเป็นหมู่ๆ มันกำลังบินกลับรังของมันคือบ้านอันอบอุ่น สายลมเย็นโชยมาไม่ขาดระยะปะทะกับใบหน้าของหญิงสาวที่นั่งอยู่ฟากตรงข้าม เส้นผมบางเบาราวไหมที่บัดนี้ปล่อยให้สยายลงคลุมแผ่นหลังปลิวว่อนไปตามแรง – เธอคือหงส์ฟ้าในใจของผม

“คุณรู้จักที่นี่ได้ยังไงคะ” เสียงใสๆ ดังถามขึ้น
“ส่วนใหญ่ใครๆ ก็รู้จัก มีแต่ปานฯ แหละที่ไม่รู้จัก” เมื่อตอบไปแล้วถึงรู้ตัวว่าไม่น่าพูดเลย ใจนั้นเกรงว่าจะไม่เข้าท่าเข้าทางเกิดผิดหูขึ้นมาไม่รู้ว่าพายุลูกไหนจะโหมเข้ามาบ้าง แต่ผิดคาด เสียงหัวเราะคิก ตามด้วยถลึงตามองผมอย่างอารมณ์ดี
“คุณกำลังจะบอกว่าปานฯ เซ่อเซอะ มัวแต่หลงกรุงอยู่ใช่ไหม?”
“ผมไม่ได้พูดแบบนั้น อย่าร้อนตัวไปก่อนสิ” ว่าจะไม่ แต่ผมก็อดใจไม่ได้ที่จะสบตาด้วยและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นราวกับจะอ่านใจของเธอให้ทะลุ เธอมองตอบแต่ต้องเบนสายตาหลบมองลงต่ำ ท่าทีบอกความเอียงอายเหมือนจะกลัวว่าดวงตาคู่นั้นจะเผยความในใจออกมาหมด

เธอพูดเสียงเขียวคล้ายแสร้งกลบเกลื่อนขึ้นว่า
“ที่คุณพูดน่ะแปลความหมายเป็นอย่างอื่นได้มากนักเหรอ?”
“ถ้าปานฯ จะแปลความหมายอย่างที่บอกมาก็ได้ แต่ผมหมายความว่ายังมีส่วนน้อยที่ไม่รู้จักซึ่งก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน ผมก็เคยไม่รู้จักมาก่อน”

ไม่ทันได้ระวังตัว มือเรียวๆ ของเธอที่ท้าวคางอยู่ก็ฟาดเผียะลงมาที่หลังมือของผมที่วางราบอยู่บนโต๊ะ มือไม่เจ็บหรอกแต่ตกใจมากกว่า ไม่นึกว่าเธอจะจู่โจมรวดเร็วขนาดนั้น ผมชักมือกลับด้วยความแปลกใจ ปานฯ พูดเสียงแกมหัวเราะว่า
“เลี้ยวลดคดเคี้ยวนักเหมือนแม่น้ำ”
ว่าจะไม่ แต่ปากไวกว่าความคิด ผมบอกว่า
“ปากไม่เท่าไหร่ แต่ใจสำคัญกว่า”

เราสั่งอาหารสองสามอย่าง อาหารมีรสชาติมากขึ้นด้วยบรรยากาศอันแสนสุนทรีย์ คำสนทนาเล็กๆ น้อยๆ เราเริ่มเรียนรู้เรื่องส่วนตัวของกันและกันมากขึ้น มันเหมือนการเจาะกำแพงให้เป็นช่อง จากรูเล็กๆ ช่องนั้นค่อยขยายกว้างขึ้นทุกที มีเสียงหัวเราะระหว่างเราเท่านั้นที่รู้ว่าหัวใจอันเบิกบานนั้นเป็นเช่นไร ดุจเช่นละอองน้ำฝนหลังพายุหนัก ยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์จะถักทอเป็นสายรุ้งงามที่ปลายฟ้า

“สวยมากนะคะ” สายตาของเธอเหม่อมองไปเบื้องหน้า
“ครับ สวยมาก”
“ท้องฟ้าและสายน้ำยามอาทิตย์อัศดงช่างงดงามเหลือเกิน”
“ครับ งดงามมาก”
“ไม่เห็นว่าคุณจะมองสักหน่อย รู้ไงว่าสวย”
“ก็ผมมองอยู่นี่ไง”
“บ้า นั่นมันหน้าชั้น”
“ก็ใบหน้าคุณน่ะสิ”

แสงสีทองส่องเป็นสายทะลุเมฆลงมาได้บ้างทำให้พื้นที่ทั้งบริเวณสะท้อนประกายดั่งทอง ฉากหลังจึงขับออกมาเป็นสีม่วงบ้าง แดงบ้างกลมกลืนกันไปราวภาพในนิมิตที่ไม่อาจมีจิตกรใดในโลกจะแต่งแต้มสีสันงดงามได้เหมือน เฉกเช่นใบหน้านวลราวเทพธิดาตรงหน้าผมนี้

“คุณบอกว่าลูกชิพนี่มีหลายแบบแล้วแต่สถานการณ์ที่เราจะเลือกเล่น มันเป็นยังไงหรือคะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องคุยมาเรื่องกอล์ฟ ผมแทบจะปรับอารมณ์ตามไม่ทันทั้งที่ใจนั้นตอนนี้ไม่อยากคุยเรื่องกอล์ฟเลย
“ง่ายๆ มีว่า ถ้าเราต้องการให้ลูกโด่ง เราจะวางลูกให้ค่อนไปทางซ้าย ลูกแบบนี้ใช้ในสถานการณ์ที่ลูกอยู่หลังบังเกอร์ทรายและธงปักชิดอยู่ด้านนั้น ลูกจะตกและวิ่งไปไม่มากนัก แต่หากเราต้องการให้ลูกพุ่งและวิ่งไป เราจะวางลูกมาทางขวาเล็กน้อย หน้าเหล็กอันเดิมก็จะตั้งมากขึ้นเองซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องไม่มีอุปสรรคใดๆ ขวางหน้าอยู่”
“แค่นั้นหรือคะ ไม่เห็นจะวุ่นวายเลย”
“ถึงเวลาก็รู้เองแหละ มีอีกนิด เวลาเราต้องการให้ลูกโด่ง การขึ้นไม้ต้องหักข้อมือพับขึ้น เหล็กจะขึ้นในมุมชันเมื่อลงไม้เหล็กจะลงในมุมชันด้วย ที่ผมเห็นว่าอาจจะมีข้อผิดพลาดกับนักกอล์ฟบ้างก็คือการใช้มือเข้าช่วยคล้ายๆ อยากจะช่วยตักลูกให้ลอยโด่งขึ้นเพราะแทนที่จะตักกลับกลายเป็นมือจะฉุดไม้ขึ้นมาทำให้ตีที่หัวลูกแทน เราต้องปล่อยให้หน้าไม้ทำงานของมันเองตามองศาของมัน”
“เท่าที่ฟังมาเหมือนกับจะไม่ให้มือไม่มีบทบาทอะไรเลยงั้นแหละ ทั้งที่มือเราจับไม้อยู่”
“ไม่ใช่ว่ามือจะไม่มีบทบาท มือมีบทบาทตอนที่ทำตามไม่ใช่นำหรือทำงานในจังหวะที่ควรทำ เช่นเร่งความเร็วเข้าหาลูกในจังหวะที่เหมาะสม หรือส่งไม้ไปยังทิศทางที่กำหนดไว้ ปานฯ เล่นๆ ไปก็จะเข้าใจมากขึ้นเอง”

ผมไม่พยายามที่จะขับรถช้าจนเกินไป อยากให้ถนนสายนี้ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือสิ่งที่ใจปรารถนา แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ยิ่งใกล้จุดหมายเข้าไปเพียงใดใจยิ่งอาลัยมากขึ้นเพียงนั้นและลุ้นระทึกต่อไปว่าผมจะได้รับเชิญเยี่ยงค่ำวันนั้นอีกหรือไม่หนอ ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกจอดรถที่ไหนดี แต่คิดเอาเข้าข้างตัวเองว่าตรงหน้าประตูทางเข้าอาคารที่เธอเคยบอกผมเองว่าตรงนั้นห้ามจอด ผมขับเลยไปจอดที่ริมกำแพงรั้วใกล้ที่จอดเดิมแต่ถัดเข้าไปอีกเล็กน้อย ผมดับไฟหน้ารถแต่ไม่ดับเครื่องยนต์

ปานฯ นั่งนิ่ง สายตามองไปเบื้องหน้าที่เป็นกำแพงและต้นปาล์มราวกับมีอะไรน่าดูเสียเต็มประดา มือทั้งสองวางประสานอยู่บนตัก ผมหันไปมองด้วยใจที่หวาดประหวั่น เธอหันมามองตอบในความสลัว คราวนี้ผมเป็นฝ่ายที่หลบสายตา ไม่ได้ตัดสินใจอย่างไรลงไป เหมือนสติที่เลื่อนลอยผมเอื้อมมือออกไปกุมมือของเธอไว้อย่างแผ่วเบาแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่ากล้าทำไปได้อย่างไร กินหัวใจมังกรมาหรือไร

ปานฯ ไม่ได้ดึงมือหนี ตรงกันข้ามเธอรับสัมผัสนั้นไว้และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแทบเป็นกระซิบว่า
“ปานฯ มีความสุขมากค่ะ”

เพียงคำพูดแค่นั้นก็ทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นมาได้ ผมคลึงนิ้วมือของเธอเบาๆ ตอบว่า
“ผมดีใจที่ทำให้ปานฯ มีความสุขได้”

ไม่ทันที่ผมจะรู้ตัวเพราะมัวก้มหน้า เธอขยับตัวอย่างรวดเร็วยื่นหน้ามาประทับริมฝีปากลงที่แก้มผมแล้วหันตัวกลับ เปิดประตูรถก้าวออกไปทันทีพร้อมสัมภาระ ก่อนที่เธอจะปิดประตูลง เธอกล่าวขึ้นด้วยคำพูดที่ทำให้ผมสามารถนอนคิดไปได้ทั้งคืนว่า

“พรุ่งนี้ ปานฯ จะโทรหานะคะ ฝันถึงปานฯ บ้างล่ะ”
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:17:16 AM »

บทที่  10   ก่อนจะออกรอบ


คืนนั้นทั้งคืนผมไม่มีโอกาสฝันถึงปานฯ ตามที่เธอขอไว้เลย แต่ผมมีอย่างอื่นที่ดีกว่าที่ไม่ว่าหญิงสาวที่ไหนในโลกคงดีใจที่มีใครคนหนึ่งเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาจนหลับไปเมื่อไหร่ไม่ทันรู้ตัว ผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นความสุขหรือความทุกข์กันแน่ มันก้ำกึ่งปะปนกันอยู่อย่างยากที่จะจำแนกออกได้ นับเป็นความทุกข์ที่ผมปล่อยให้ใจตัวเองหลงระเริง

แล้วความเป็นจริงที่เกิดขึ้นล่ะ คิดเพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมยิ้มกับตัวเองได้อย่างสุขใจ “ฝันถึงปานฯ บ้างล่ะ” เป็นคำพูดที่ก้องอยู่ในโสตประสาท แม้ในยามตื่นเช่นตอนนี้ ผมนึกถึงรอยยิ้มที่เอียงอาย ปลายนิ้วเรียวที่ฟาดเผียะลงบนหลังมือ ผมยกหลังมือซ้ายขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัวและลูบไล้ไปที่แก้มซ้ายที่เธอลักฝากรอยประทับไว้ให้

ผมเปิดประตูที่ระเบียงห้องนอน ยืนพิงระเบียงกว้างสูดกลิ่นสายลมเย็นยามเช้าที่หอบเอากลิ่นไอฝนมาด้วย ขอบฟ้าเริ่มทอประกายแสงอรุณรับวันใหม่ที่จะมาถึง เสียงไก่ขันแว่วมาไกลๆ ยอดไม้ที่เบื้องล่างไหวเอนตามสายลมวูบหนึ่งแล้วกลับสงัดลง ความคิดและหัวใจที่ล่องลอยท่องเที่ยวไปถึงที่ไหนถ้าผมไม่บอก ใครจะรู้ มันดูเหมือนจะจากไปชั่วนิรันดร์ จนไม่ได้ยินเสียงบานประตูที่เลื่อนเปิด สะดุ้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้น

“ดิฉันเห็นไฟห้องเปิดแล้วเลยชงกาแฟมาให้ค่ะ” ป้าแม้นเป็นแม่บ้านที่เลี้ยงดูผมมาแต่อ้อนแต่ออกวางถ้วยกาแฟไอกรุ่นบนขอบระเบียง
“ขอบใจจ้ะป้า” ผมยกกาแฟขึ้นจิบ กลิ่นและรสกาแฟทำให้ผมสว่างขึ้น
“วันนี้ตื่นเช้าจังนะคะ น่าแปลกใจจัง” ป้าแม้นยิ้มแบบมีเลศนัย แต่ผมไม่ใส่ใจ
“ผมสบายดีจ้ะป้า”
“น่าจะมากกว่าสบายดีกระมังคะ” ป้าแม้นพยายามมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
ผมพยายามซ่อนเร้นเปลี่ยนเรื่องทันทีว่า
“ผมจะไปอาบน้ำแล้วป้า” ผมหันหลังกลับ เดินถือถ้วยกาแฟไปด้วย

จริงอย่างที่ป้าแม้นตั้งข้อสังเกตแหละ ผมไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้มาก่อนแม้จะไปเล่นกอล์ฟก็ตาม ต่างจากนักกอล์ฟคนอื่นๆ ที่ไม่เคยตื่นเช้าเลยแต่ถ้าเพื่อไปเล่นกอล์ฟจะเช้าแค่ไหนก็ตื่นได้ ความจริงผมก็เคยลองตื่นโดยตั้งนาฬิกาปลุก พอออกรอบเล่นกอล์ฟมีลมเย็นๆ กับแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นฟ้าทำให้ผมสามารถยืนท้าวพัตเตอร์หลับขณะที่รอเพื่อนๆ พัทท์ได้จนเพื่อนต้องมาปลุก และเล่นต่อไปเหมือนคนเมาคลื่น เดินไปหาวไปตลอดทาง กว่าจะตีได้พาร์ก็ปาเข้าไปหลุม 18 แล้ว

แต่เช้านี้ต่างไป ผมไม่ได้ตั้งใจตื่นแต่ตีห้ากว่าๆ หรอก มันตื่นเอง จะข่มตาให้หลับตาก็ไม่ได้เพราะใครคนนั้นบุกรุกเข้ามาในสมองอีกแล้ว ทำให้นึกถึงเพลงหวานขับร้องโดยมรว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์
ชื่อเพลงยามรัก เนื้อเพลงตอนหนึ่งความว่า

“ยามเช้าพี่ก็เฝ้าคิดถึงน้อง
  ยามสายพี่หมายจ้องเที่ยวมองหา
  ยามบ่ายพี่วุ่นวายถึงกานดา
  ยามเย็นไม่เห็นหน้าผวาทรวง”

ผมหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างกายราวกับจะบอกให้มันสั่นมันร้องขึ้นมาให้ชื่นใจเสียที ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันคงไม่ดังขึ้นตอนนี้หรอก ส่วนจะดังขึ้นตอนไหนใจผมคงหงุดหงิดจนกว่าจะถึงตอนนั้น แต่แล้วกลับต้องสะดุ้งขึ้นสุดตัวด้วยความยินดีที่มันแผดเสียงดังขึ้น

แทบจะระงับความลิงโลดใจไม่อยู่ ต้องพยายามสะกดใจไว้เต็มที่
“อรุณสวัสดิ์ครับ.....ปานฯ ก็ตื่นเช้าเหมือนกันนี่.....เมื่อคืนไม่ได้ฝันถึงหรอก แต่มีอย่างอื่นที่ดีกว่า.....ผมยังไม่บอกหรอก เอาไว้บอกต่อหน้าดีกว่า......ได้ เดี๋ยวผมจะออกจากบ้านเลย.....ได้สิถุงกอล์ฟผมอยู่ท้ายรถอยู่แล้ว......เดี๋ยวเจอกันจ้ะ”

นักกอล์ฟบางตาในตอนเช้าขนาดนี้ เราขึ้นไปชั้นบนของอาคารซ้อมอย่างเคยและสั่งอาหารเช้า ทั่วสนามยังคงมีหมอกจางๆ ปกคลุมโดยทั่ว ใบธงที่ปักบอกระยะเคยพริ้วสะบัดกลับห้อยตกลงเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นจากนอน ผมเหลือบมองมือเรียวที่วางอยู่บนที่ท้าวแขน อดใจไม่ได้อยากสัมผัสให้สมกับความคิดถึงที่เกิดขึ้นตลอดคืนเมื่อคืนนี้

เมื่อเอื้อมมืออกไป ผมเห็นว่าเธอเห็น ปานฯ ท่าทางเหนียมอายแต่ยื่นมือนั้นออกมา เราพบกันครึ่งทาง แต่เมื่อผมพยายามที่จะสบตาด้วย เธอได้แต่ก้มหน้านิ่งราวกับจะปล่อยให้สัมผัสของมือถ่ายทอดความรู้สึกให้กันและกัน ที่เรียกว่าสื่อภาษาใจที่เราเข้าใจเป็นอย่างดี

หลังจากที่เรารับประทานอาหารเช้าที่เหมือนอาหารทิพย์เสร็จ เราปล่อยเวลาให้ดำเนินของมันไป เรารู้ว่าวันนี้ทั้งวันเป็นของเรา เธอพูดทำลายความเงียบขึ้นก่อนว่า

“ไหนคุณบอกว่ามีอะไรจะบอกปานฯ ไง”
“ผมเปลี่ยนใจไม่บอกแล้ว” ผมตอบดื้อๆ
“อ้าว! ไหงเป็นงั้นล่ะ เพราะอะไร ทำไมถึงไม่บอก?” เสียงของเธอฟังดูจริงจัง แต่ไม่จริงจัง
“ถ้าบอกก็รู้สิ” ผมไม่ได้มีเจตนากวน แต่รู้ว่านี่เป็นการกระตุ้นความอยากรู้ให้เพิ่มขึ้นต่างหาก
“แล้วคุณไม่อยากบอกให้ปานฯ รู้หรอกหรือ?” น้ำเสียงของเธอเหมือนวิงวอน ขอร้องเจือด้วยความหวานแหวว
“ผมว่าปานฯ คงรู้อยู่แล้วล่ะ”
“แม้จะเดาถูก แต่ก็ยังอยากฟังอยู่ดี”
“งั้นยิ่งไม่บอกใหญ่”
“แล้วคุณไม่อยากรู้หรือว่าปานอยากบอกอะไร?”
“อยากบอกก็บอกสิ แต่ยังไงผมก็ไม่บอก”
“ปานฯ อยากบอกว่า ยิ่งรู้จักคุณมากเท่าไร คุณยิ่งกวนประสาทมากขึ้นเพียงนั้น”

ผมหัวเราะ ไม่ตอบอะไร ลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบเหล็ก 7 ในถุงของเธอออกมาสวิงเล่น บอกเธอว่า
“ไหนว่าอยากมาซ้อมกอล์ฟไม่ใช่เหรอ ซ้อมสิ”

ปานลุกขึ้น สวมถุงมือทั้งสองข้าง รับเหล็กจากผมไป ตั้งท่าสวิงลมไปมาหลายครั้ง ผมเห็นว่าท่าทางสวิงลมของเธอคล่องแคล่วขึ้นมาก ไม่เหมือนคนหัดใหม่เลย ความจริงก็ใช่เพราะเธอซ้อมมาเดือนเศษแล้ว

เธอเดินกลับมาด้านหลัง เล็งเป้าหมายที่จะตีไป เข้าไปตั้งท่าจรดและสวิงตีลูกไปอย่างอ่อนช้อย ผมมองตามลูกที่ทะยานไปข้างหน้า ตกเลยป้ายบอกระยะ 100 ไปอีกไม่น้อย

เธอเปลี่ยนเหล็กใหม่เป็นเหล็ก 5 ผมกำชับว่า
“ต้องสวิงแบบเดียวกัน ด้วยจังหวะที่เหมือนกันทุกอย่างนะ”

เมื่อเห็นว่าเธอตีลูกออกได้ดีตามสมควร ผมหยิบหัวไม้ 5 จากถุงยื่นส่งให้ บอกว่า
“ลองตีไม้แฟร์เวย์ดูบ้าง”

ไม้ที่ยาวขึ้นทำให้จังหวะการสวิงของเธอเพี้ยนไป บางลูกออกซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ตรงบ้าง ผมบอกว่า
“ผมรู้สึกว่าปานฯ พยายามสวิงให้แรงขึ้นนะ พยายามรักษาจังหวะการสวิงให้เหมือนเดิมไม่ว่าจะตีด้วยไม้อันไหนทั้งนั้น ด้วยจังหวะที่ดีเราจะสามารถตีลูกได้ไกลเท่าที่ควรจะเป็นเพราะความยาวของไม้และองศาของมัน ด้วยแรงบิดและการคลายตัวนี่แหละจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดความเร็วเอง อย่าไปคิดอย่างอื่น สวิงไปตามความรู้สึกที่เรียนรู้มาเท่านั้นแหละ”

ปานฯ สวิงตีลูกได้ดีขึ้น เธอถามขึ้นว่า
“ถ้าใช้หัวไม้หนึ่งที่เราต้องการตีให้ไกลที่สุด เราไม่ต้องออกแรงสวิงให้มากขึ้นหรือคะ?”
“ไม่ใช่ออกแรงสวิงให้แรงขึ้น แต่ที่ถูกต้องคือ เราต้องรักษาจังหวะการขึ้นแบ็คสวิงให้คงที่เช่นเดิม ไม่ใช่คิดจะตีให้ไกลขึ้นก็ขึ้นแบ็คสวิงเร็วขึ้นแล้วกระชากไม้ลงมาตี เมื่อจังหวะการขึ้นไม้คงที่จนถึงท็อปสวิง หากเราต้องการเร่งความเร็วเราต้องเร่งขาลงคือให้นึกถึงแต่บิดสะโพกกลับให้เร็วขึ้น แต่ทั้งนี้เราจะต้องรักษาสมดุลย์ของร่างกายเอาไว้ให้ได้ด้วย ไม่ใช่หวดไปจนตัวหมุนเป็นลูกข่าง ลูกไปไหนก็ไม่รู้ พอจะเข้าใจไหม”
“พอเข้าใจค่ะ”

ผมอธิบายต่อว่า
“ในเกมกอล์ฟ มีโอกาสให้เราตีเสียอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องห่วงแม้กระทั่งมืออาชีพก็เหอะ เพราะในสนามมีอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นตัวสนามเองที่ออกแบบอุปสรรคไว้สารพัดไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำ คูคลอง บ่อทราย หญ้ายาว พื้นสนามที่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนสนามฟุตบอล สายลม ต้นไม้และอื่นๆ อีกมากมาย ปัญหาเลยกลายเป็นว่านักกอล์ฟจะต้องทำยังไงให้เสียหายน้อยที่สุดนั่นคือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและนักกอล์ฟจะทำได้ดีก็ด้วยสติ ไม่ใช่อารมณ์ ดังนั้นศัตรูตัวร้ายที่สุดในเกมกอล์ฟก็คือตัวเราเอง”
“ตัวเราเองหรือคะ?”
“ใช่ ต่อให้เป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกก็เหอะ เขาจะต้องเรียนรู้ในการจัดการตัวเองนั่นคือความคิด เราจะต้องจัดวิธีการคิดให้ถูก ให้เป็น ไม่เช่นนั้นสวิงที่คนอื่นมองว่าแสนจะสมบูรณ์ก็กลายเป็นสวิงช้อนปลาได้ง่ายๆ ปานฯ เคยดูกอล์ฟทางทีวีไม่ใช่เหรอ นั่นน่ะมืออาชีพระดับโลกทั้งนั้นแต่ก็ยังตีลูกตกน้ำตกท่า ตีเข้าใส่คนดูรอบสนามจนบาดเจ็บ ตีเข้ารกเข้าพงอยู่เป็นประจำ....”
“อืม จริงสิคะ แม้ไทเกอร์ วูดส์ที่ว่าแน่ๆ ยังตกรอบได้เลย บางคนตีนำมาสามวันอยู่ดีๆ วันสุดท้ายกลับหายเข้ากลีบเมฆไปเลย แล้วมีวิธีจัดการตัวเองให้ถูกต้องยังไงบ้างคะ?”

ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้ว่าตัวเองยังจัดการความคิดของตัวเองไม่ได้เลย แต่เมื่อถูกถามก็ต้องพยายามตอบให้ได้ ผมค่อยเรียบเรียงความคิด อธิบายว่า
“อย่างแรก เรารู้ว่าความเร็วที่เกิดขึ้นในการสวิงนั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาทีเศษเท่านั้น ดังนั้นในระหว่างสวิงเราจะเอาเรื่องมารกสมองไม่ได้เลยโดยเฉพาะเทคนิคต่างๆ ในการสวิง เทวดาที่ไหนก็ไม่มีทางที่จะระวังเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราได้เลย”
“อ้าว แล้วถ้าเรามีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ต้องระวังหรือต้องแก้ไขล่ะคะจะทำยังไง?”

ผมรู้ว่าถ้าจะตอบเรื่องนี้คงยาวยืดเพราะต้องอธิบายกันยาวเหยียดเหมือนการเล็คเชอร์ในชั้นเรียน เพื่อให้ง่ายเข้า ผมสรุปบอกว่า

“เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเรามีปัญหาอะไรซึ่งเป็นเรื่องเทคนิค เราก็แก้ไขในสนามซ้อม เมื่อลงไปเล่นในสนามจริงและบังเอิญตีเลอะเทอะ ให้บอกตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่านั้นอีกแล้วซึ่งมันจริง เราปฏิเสธไม่ได้ แล้วเปลี่ยนความคิดใหม่จากเรื่องเทคนิคเป็นเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าเช่น กรีนอยู่ตรงนั้น เราจะสวิงพาลูกไปตกที่นั่นแล้วสวิงไปเลย ผมรับรองว่าจะดีกว่าแน่นอนเพราะเจ้าความคิดนี่แหละจะเป็นตัวสกัดกั้นการทำงานของร่างกายให้เป็นไปอย่างราบรื่น มันทำเราเกร็ง ต่อให้เป็นคนที่ยังมีข้อบกพร่องในวงสวิงอยู่ก็เหอะ แต่ถ้าร่างกายสามารถทำงานได้อย่างราบเรียบ นุ่มนวลดี เราก็ยังสามารถตีลูกออกไปได้แม้จะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม”

“เจ้าความคิดนี่มันร้ายอย่างนั้นเชียวหรือคะ”

“ไม่เชิงนัก แต่เราต้องจัดการกับเจ้าความคิดให้เป็น เราจะคิดวิเคราะห์ข้อผิดพลาดก่อนหรือหลังได้ แต่จะมามัววิเคราะห์ในระหว่างการสวิงไม่ได้”

“แล้วเห็นเพื่อนที่เล่นกอล์ฟบอกว่าเจอน้ำทีไรตีลูกตกน้ำทุกที ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะทำยังไงล่ะ”

“ง่ายนิดเดียว ก็ในเมื่อมันตกทุกทีอยู่แล้วเพราะเรากลัว ความกลัวนี่แหละที่ทำให้เราเกร็ง สวิงติดๆขัดๆ เราก็เปลี่ยนความคิดใหม่อย่างที่บอก กลัวก็ตก ไม่กลัวอาจจะไม่ตกแล้วสวิงไป จะเลือกเอาแบบไหนล่ะ สรุปง่ายๆ สวิงไปเหอะ ไม่ต้องไปคิด หากตีเสียก็ตีใหม่แค่นั้นเอง”

“ฟังดูง่ายดีนะคะ”
“ใช่ ก็เราไปทำให้มันยากเอง”
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:18:15 AM »

บทที่  11  ลูกจากทราย


ผมให้ปานฯ ลองตีไม้แทบจะทุกอันในถุงยกเว้นเหล็กยาว ต้องยอมรับว่าเธอมีทักษะทางการกีฬาอยู่มาก ร่างกายแม้จะดูเพรียวลม แขนขายาวเก้งก้างแต่แข็งแรงเหมือนนักเทนนิสสาวชาวรัสเซียที่สวยทั้งรูป ฝีมือก็ร้ายกาจดุจกัน ผมเองได้อานิสงไปด้วยจากการนำพาเธอไปออกกำลังกายโดยเฉพาะการจ็อคกิ้งซึ่งทำให้ผมแข็งแรงขึ้น จึงสวิงได้แรงขึ้นเองตามสภาพร่างกาย

เราใช้เวลาช่วงเช้าในการซ้อมตีลูก เที่ยงเราทานอาหารกันที่สนามซ้อม ช่วงบ่ายผมพาปานฯ ไปที่สนามกอล์ฟอีกแห่งหนึ่งที่มีสนามซ้อมชิพ พัทท์และบ่อทราย เธอจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการเล่นลูกจากทรายซึ่งเป็นวิธีที่แตกต่างไปจากลูกปกติเล็กน้อย

ผมอธิบายวิธีการเล่นในทรายให้เธอฟังว่า
“การตีลูกจากทรายความจริงไม่ใช่เรื่องยาก หากให้ผมเลือกที่จะตีลูกออกจากหญ้ายาวๆ กับตีลูกออกจากทราย ผมเลือกตีลูกจากบังเกอร์ทรายดีกว่าเพราะมันบังคับได้ง่ายกว่า อย่างแรกที่ต้องรู้คือต้องเข้าใจก่อนว่าการตีลูกจากทรายข้างกรีนเราไม่ต้องการระยะไกลแต่ต้องการความพอดีหรือใกล้เคียงและแน่นอนให้ลูกออกจากทราย ดังนั้นลักษณะการสวิงจึงมีลักษณะการสวิงแบบเฉือนๆ ที่จะตักเอาทั้งทรายและลูกกอล์ฟขึ้นกรีน หรืออีกนัยหยึ่งคือตีทรายให้ดันลูกออกไปเหมือนการตีตัดในการเล่นปิงปองซึ่งเกิดจากการจับกริพ เพราะเราต้องการให้ลูกลอยขึ้น เราจึงต้องเปิดหน้าเหล็กให้หงายกว่าปกติแล้วจึงค่อยจับกริพ นักกอล์ฟบางคนเข้าใจผิด พอบอกให้หงายหน้าเหล็กก็บิดมือให้เหล็กหงายขึ้น เวลาตีหน้าเหล็กก็กลับมาแบบเดิมเพราะดันไปจับกริพแบบนั้นแต่แรก.....

......การยืนจรด เราต้องยืนเปิด หมายความว่าเราจะต้องยืนให้เท้าซ้ายต่ำกว่าเท้าขวาในแนวทางที่เราต้องการจะตีลูกไป เมื่อเท้าซ้ายต่ำกว่าขวา สะโพกและไหล่จะเปิดไปตามเอง เมื่อเราสวิงไปตามแนวไหล่ลักษณะการตีจึงเป็นการตีแบบเฉือนๆ.....”

ผมตั้งท่าและสวิงแบบนั้นให้เธอดูเพื่อให้เธอเห็นภาพ ผมยังมั่นใจว่าการเรียนด้วยภาพและการทำเลียนแบบเป็นสิ่งที่เรียนได้ง่ายกว่า ผมอธิบายต่อว่า

“เราต้องย่อเข่าให้เหมือนเดิม จับกริพต่ำลงมา ลูกต้องวางค่อนไปทางซ้ายเล็กน้อยเพื่อให้การสวิงมีลักษณะเฉือนและผ่านไป ถ้าวางลูกไปทางขวาหรือกึ่งกลางเกินไป เวลาดาวน์สวิงไม้จะลงในมุมชันเกินไป ตักลึกลงในทรายมากเกินจะบอกให้ตีให้ผ่านไปยังตีไม่ได้เลย ลูกก็จะไม่ขึ้น.....

......ถ้าเราต้องการให้ลูกโด่งมากขึ้น เวลาแบ็คสวิงจะต้องหักข้อมือขึ้นพร้อมๆ กันไปด้วยเพื่อให้ไม้ขึ้นในมุมที่ชันขึ้น เวลาดาวน์สวิงไม้ก็จะลงในมุมที่ชัน....”

ปานฯ ทำหน้าแปลกๆ เหมือนไม่เข้าใจ เธอถามว่า

“อ้าว! ก็ไหนบอกว่าถ้าหน้าไม้ลงในมุมชันเกินไป ลูกจะไม่ขึ้นไงคะ”
“มันคนละเรื่อง ถ้าเราวางลูกไว้ทางขวา ท่าจรดของเราก็เป็นแบบหนึ่งซึ่งจะบังคับให้ไม้เดินทางไปตามลักษณะการยืนด้วย แต่ถ้าเราวางลูกไปทางซ้าย ลักษณะการยืนก็เป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นท่าทางที่ช่วยให้สวิงผ่านไปได้ มันเหมือนท่าที่เตรียมช้อนขึ้นกับท่าตีเตรียมอัดลงน่ะ มันต่างกัน เข้าใจหรือยังล่ะ?”

ผมแสดงภาพท่าทางให้เธอดูประกอบ เธอจึงถึงบางอ้อได้

“อ๋อ มันเป็นเช่นนี้เอง”

เมื่อเห็นว่าเธอพอจะเข้าใจ ผมจึงอธิบายต่อว่า

“ตอนลงไม้นี่สำคัญ ถ้าไม่เข้าใจตีให้ตายก็ตีไม่ได้หรือได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าเราเริ่มลงไม้ด้วยการดึงมือลงมาตี ข้อมือซ้ายจะคลายออกทันที หน้าเหล็กจะเดินทางลงมาและถึงทรายก่อน ก่อนที่เราจะสวิงต่อไปได้ มันจะขุดหลังลูกทั้งลึกและหลังมากเกินไป มันก็เหมือนการสวิงตามปกตินั่นแหละ ถ้าเราดึงมือลงมาตีก่อนผลก็จะเป็นแบบนี้คือตีหลังลูกเยอะไป ดังนั้นการดาวน์สวิงเราต้องใช้ไหล่ควบคุม ส่วนมือนั้นอยู่เฉยๆ ให้ไหล่เดินทางไปตามแนวก่อน มันจะพาแขนและมือตามลงมาเอง ไหนลองดูสิ คนเก่ง”

ปานฯ ค้อนผมวงใหญ่ ทำให้ผมอยากกระโดดเข้าไปหอมแก้มสักครั้ง แต่กลัวโดนไม้กอล์ฟแพ่นกระบาลเลยได้แต่ห้ามใจไว้ เธอตั้งท่าได้ถูกต้อง แต่ก่อนจะตี ผมเตือนว่า

“สวิงให้นุ่มนวลเข้าไว้ อย่ารีบ มันขึ้นเองแหละ”

ปานฯ ซ้อมตีได้ค่อนข้างดี ไม่มีปัญหาเอาลูกขึ้นจากทราย แต่ยังกำหนดระยะทางอะไรไม่ได้ เธอถามขึ้นอีกว่า

“ถ้าหากธงปักอยู่ไกลมากๆ สวิงเต็มวงก็ยังไม่ถึงจะทำยังไงคะ?”
“ถ้าขอบบังเกอร์ไม่สูงนัก เราจะใช้เหล็กอื่นก็ได้เช่นเหล็ก 9 หรือ 8 หรือ 7 แต่สวิงให้น้อยลงเพราะลูกจะวิ่งมากขึ้น ไม่ต้องห่วงว่าลูกจะไม่ขึ้น ถ้าสวิงได้ถูกต้องมันขึ้นเองแหละ”

ปานฯ อ้าปากจะถามต่อ แต่ถูกผมเบรกเอาไว้ก่อนว่า

“พอแล้ว ไม่ต้องถามอีก เอาแค่นี้ก่อน ทำแค่นี้ให้มันได้เสียก่อน เมื่อผมมั่นใจว่าปานฯ พอจะเรียนรู้ต่อได้ ผมจะสอนเองแหละ ทำไมผมจะไม่อยากให้ปานฯ เป็นเร็วๆ เก่งเร็วๆ ผมจะได้พาไปออกรอบด้วยกันไงล่ะ”

ดวงตาเธอเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน เธอร้องถามเสียงหลงว่า

“จริงหรือคะ สัญญานะคะว่าจะพาปานฯ ไปออกรอบ”
“สัญญาก็ได้”
“แค่เราสองคนนะคะ”
“ผมไม่คิดจะชวนคนอื่นไปด้วยหรอก”
“กลัวจะเป็นก้างขวางคอหรือคะ?” ทั้งสายตาและท่าทางที่ล้อเลียน แต่สื่อความหมายลึกลับ
“เปล่าหรอก ผมไม่อยากให้คุณเป็นจำอวดในสนามกอล์ฟให้คนอื่นหัวเราะน่ะ”

แม้เธอจะไม่ได้ออกเสียง แต่ผมอ่านริมฝีปากของเธอออก เธอบอกว่า
“คนบ้า”

ตอนค่ำ ผมพาปานฯ ไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวศรีนคริทร์ เป็นร้านอาหารที่มีทั้งส่วนที่อยู่ในร้าน และส่วนที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง ขณะที่เราเดินจากที่จอดรถไปยังร้านอาหาร สายตาหลายสิบคู่ต่างหันมามองเธอเป็นศูนย์กลาง จนถึงตอนนี้ผมรู้สึกชินชาไปเสียแล้ว ผมนึกในใจว่า อยากมองก็มองไป แม้จะเห็นก็เอาไปไม่ได้ แม้จะเอาไปไม่ได้แต่จำได้ก็จริงอยู่ แต่จำได้ไม่นานเดี๋ยวก็ลืม

ระหว่างที่รออาหาร ปานฯ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“เมื่อคืนคุณพ่อโทรมา ท่านพูดอะไรไม่รู้แปลกๆ”
“ที่ว่าแปลกน่ะแปลกยังไง” ผมถาม
“ไม่ทราบสิคะ คุณพ่อพูดจาวกวนไปมายังไงไม่รู้ เหมือนจะพูดก็ไม่พูด อ้ำๆ อึ้งๆ ปานฯ เลยฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าจะบอกอะไร จะถามอะไรก็ไม่รู้”
“สรุปแล้ว ปานฯ จับความไม่ได้”
“มีอยู่ตอนเดียวที่ฟังรู้เรื่องคือ ท่านบอกว่าจะลงมากรุงเทพฯ เร็วนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไร”
“ผมว่า เมื่อไม่รู้ คิดไปก็ไม่รู้อยู่ดีนั่นแหละ เปลืองสมองคิดเปล่าๆ ถึงเวลาตอนนั้นปานฯ ก็คงรู้เอง ค่อยคิดตอนนั้นดีกว่า ถ้ามีเรื่องให้คิด” ผมให้ความเห็น
“จริงสิคะ บางทีคุณก็พูดรู้เรื่องดีนี่ ไม่ใช่กวนประสาทเป็นอย่างเดียว”
“พูดรู้เรื่องนี่หมายความว่าผมไม่ได้บ้าใช่ไหม?”
“ยังไม่เท่าไรก็เอาเชียว”
“อ้าว ที่ผมพูดเนี่ยเพราะตอนที่อยู่ที่สนามซ้อมปานฯ ทำปากขมุบขมิบด่าผมว่าคนบ้าไม่ใช่เหรอ”
“ก็คุณพูดทำไมล่ะว่าไม่อยากให้คนอื่นไปเพราะไม่อยากให้เห็นปานฯ เป็นจำอวดให้ใครหัวเราะ ทำไมไม่บอกล่ะว่าไม่อยากให้คนอื่นเป็นก้างขวางคอ”

ผมชักไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วสิว่าถ้าขืนผมพูดกวนประสาทไปเรื่อยๆ องค์ใดจะเข้าทรงร่างหรือเปล่า ทางที่ดี ผมควรสงบปากสงบคำเอาไว้จะดีกว่า ยิ่งผู้หญิงนี่ยิ่งเข้าใจยากอยู่ด้วย เพราะผู้หญิงน่ะไม่ชอบพูดอะไรตรงๆ จะไปดอนเมือง แม่คุณจะอ้อมไปหนองจอกเสียก่อน กว่าจะไปถึงดอนเมืองได้บางทีก็ลืมไปเลยว่าจะไปดอนเมือง นี่แค่ตัวอย่างเดียว

บางทีอยู่กับเราแท้ๆ ดันพูดถึงแฟนเก่า ชมว่าเขาคนนั้นเคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้บ้างล่ะ เคยพาไปโน่นไปนี่ ดีแบบนั้น น่ารักอย่างนี้ ทำให้สงสัยว่าถ้าเขาคนนั้นดีขนาดนี้แล้วจะเลิกกันทำไม มารู้ความจริงทีหลังว่าที่พูดน่ะเพราะอยากให้เราทำแบบนั้นบ้าง

บางทีเวลาผมจะชวนเพื่อนไปด้วย ถามเข้าก็บอกว่าไม่เป็นไร พอชวนไปด้วยจริงๆ ดันทำหน้าเหมือนอมบอระเพ็ดเข้าไปทั้งแท่ง มารู้ทีหลังว่าอยากไปกันเพียงลำพังสองคนเท่านั้นและยังบังคับให้ผมต้องเข้าใจอีกด้วย

นี่แหละเป็นสิ่งที่ผมประสบมา ใครอื่นอาจประสบมาบ้างไม่มากก็น้อยจึงควรใช้เป็นอุทาหรณ์ให้ตัวเองรู้จำเอาไว้บ้าง ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยก็น่าจะซ้ำรอยที่ดี ที่ไม่ดีต้องระวังให้จงหนัก

กว่าเราจะลุกจากที่ ร้านอาหารนั้นก็ปิดเสียแล้ว เด็กในร้านกลับไปหมดแต่เมื่อไรไม่ทันสังเกต เมื่อเหลียวไปมองรอบๆ จึงเห็นว่าเหลือโต๊ะเราอยู่เพียงโต๊ะเดียว ผมมัวสาละวนอยู่กับนิ้วมือเรียวทั้งสองมือ บางตอนเธอจะอิงแอบเอียงหน้าพิงลงกับไหล่ เราทั้งสองคงไม่อยากให้คืนนี้มีที่สุดอีกเลย
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:18:35 AM »

บทที่  12   เมื่อไปออกรอบ


ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขณะที่ผมกำลังเก็บเอกสารบนโต๊ะเข้าแฟ้ม เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น ผมพอเดาได้ว่าคงเป็นปานฯ เพราะระยะหลังเราไปทานอาหารเที่ยงกันบ่อยขึ้น บางครั้งไปกันเป็นฝูง บางครั้งไปกันเพียงลำพังสองคนจนเป็นที่สังเกตของเพื่อนๆ ในที่ทำงาน บางคนปากเสียพูดจาถากถางหาว่าผมหมายเด็ดดอกฟ้าทั้งที่เป็นแค่หมาวัด บางคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจะถามอะไรซ่อกแซ่กไปหมดจนผมต้องด่าว่าเป็นเสือต้องอย่าใส่เกือก ที่เฉยๆ ก็มีบ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ชอบสอดรู้สอดเห็น

ผมหยิบหูฟัง พอได้ยินเสียงก็รู้ว่าใช่
“เมื่อไหร่ดีล่ะ.....หา ตอนนี้เลยเหรอ.....หัวหน้าผมออกไปแล้วนี่จะลากับใครดีล่ะ.....ฝากบอกเพื่อนน่ะเหรอ ไม่ดีอ่ะ เดี๋ยวผมค่อยโทรมาลาเองดีกว่า.....แล้วจะเจอกันที่ไหนเพื่อเอาถุงกอล์ฟมาใส่รถล่ะ....เออ ก็ดี.....เดี๋ยวเจอกันที่จอดรถของโรงแรมนะ”

ปานฯ ไม่ได้ชวนผมไปทานข้าว แต่ชวนผมไปออกรอบ ใจผมน่ะมีความคันเป็นทุนอยู่แล้วเพราะผมไม่ได้เล่นกอล์ฟเลยนานเกือบสองเดือน ไม่ว่าเพื่อนกลุ่มไหนจะโทรมาชวนผมต้องปฏิเสธไปทุกรายจนแทบจะเลิกชวนผมอยู่แล้ว แต่ยังดีที่ผมได้ซ้อมอยู่อย่างสม่ำเสมอก็กับลูกศิษย์คนโปรดคนเดียวของผมนี่แหละคนที่ผมกำลังจะไปเล่นกอล์ฟด้วยซึ่งเป็นเหตุอีกอย่างที่ทำให้ผมไม่ปฏิเสธ

เป็นวันทำงาน ผมเชื่อว่าคนเล่นกอล์ฟคงมีไม่มากนักเหมาะสำหรับนักกอล์ฟหัดใหม่ที่จะได้ใช้เวลาตามสบาย ผมไม่ต้องคิดซ้ำสอง รับปากปานฯ ในทันที

“เราจะไปเล่นที่ไหนดีคะ” ปานฯ ถามขึ้นขณะที่ผมเลี้ยวรถออกจากที่จอดรถของโรงแรมหรูหราแห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก

คำถามที่เธอถามผมมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต้องไม่ใช่สนามในเมืองหรือใกล้เคียงที่คนอาจจะเยอะ เราอาจเล่นไม่สะดวกนักโดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเล่นเป็นครั้งแรก ที่สำคัญคือสนามต้องสวย ผมชอบสนามสวยๆ เล่นแล้วสบายใจดีทั้งได้ชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงาม สนามที่ออกแบบได้ดีมีความยากง่ายสำหรับนักกอล์ฟแต่ละระดับฝีมือไม่ห่างกัน มีความยากง่ายของแต่ละหลุมและทั้งสนามโดยรวมเหมาะสมดีที่สะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการและความรู้ของผู้สร้างว่ามีระดับจริงๆ

ผมมองดูปานฯ ที่เปลี่ยนองค์ทรงชุดใหม่เป็นชุดเล่นกอล์ฟ ถ้าไปเดินแบบเสื้อผ้าชุดนั้นคงขายดีแน่ กางเกงขายาวสีเนื้อขาสอบรีบทำให้เธอดูเหมือนนกกระยางที่ท่อมๆ หาเหยื่อตามท้องนา เสื้อยืดแขนยาวสีเหลืองอ๋อยสลับขาวตามขวางขนาดกำลังพอดีตัวไม่รัดจนน่าเกลียดทำให้เธอดูสง่า ใบหน้าที่โปะด้วยครีมกันแดดขาวเหมือนละครโอโน๊ะของญี่ปุ่นทำให้ดูแทบไม่ออกว่าเป็นใครแต่ยังสวยอยู่ ใต้หมวกแก้ปสีขาวสะอาดเธอรวบผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลังและแว่นตากันแดดสีดำทำให้ดูเหมือนจ๊อกกี้ขี่ม้าไม่มีผิด เธอสวมถุงมือสีขาวสะอาดทั้งสองมือ แทบจะไม่มีผิวเนื้อสักตารางนิ้วเดียวที่ถูกแดดลามเลียเอาได้ ผมชอบเวลาที่เธอเยื้องย่างไปแต่ละก้าวช่างงามสง่าอย่างไม่มีที่ติดุจนางพญาหงส์ฟ้าที่ลอยลงมาจากสวรรค์นั่นแล

ผมเปลี่ยนแค่เสื้อเป็นเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวธรรมดา ใส่หมวกแก้ปสีฟ้าสลับขาว ใส่ถุงมือข้างซ้ายข้างเดียว ผมรอเธออยู่ที่ห้องโถงหน้าห้องแต่งตัว เธอเดินมาคล้องแขนผมเดินควงราวกับไปงานกาล่า ดินเนอร์เช่นนั้น ปานฯ พูดขึ้นว่า

“เห็นคุณในชุดเล่นกอล์ฟเป็นครั้งแรก คุณเท่ห์มากเลยนะคะ”
“เท่ห์ตรงไหน ผมก็แต่งแบบนี้แหละ ปานฯ ก็เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนี่”
“ไม่รู้สิ ปานฯ ชอบก็แล้วกัน”

ว่าจะไม่ ผมเองอดชมเธอไม่ได้ว่า

“ปานฯ สวยเกินไป น่าจะไปเดินแบบมากกว่าเล่นกอล์ฟนะ แล้วก็หน้าขาวๆ แบบนี้เขาเรียกว่าว่อก แปลว่าลิง” พอสิ้นคำ กำปั้นน้อยๆ ของเธอก็เหวี่ยงตุ้บเข้าที่กลางหลังพอดี ผมทำมารยาร้องโอดโอยไปตามเรื่อง

เราเล่นกอล์ฟไปชื่นชมธรรมชาติไป ปานฯ เล่นกอล์ฟได้ดีสำหรับครั้งแรกในสนามจริง ส่วนใหญ่ที่เสียเป็นลูกสั้นเสียมากเพราะความไม่มีประสบการณ์และการฝึกฝนที่ยังมีน้อย ผมปล่อยให้เธอตัดสินใจเลือกเหล็กที่จะใช้เอง เมื่อเล่นผิดพลาดไปผมจะบอกให้เลือกใช้เหล็กใหม่และให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ไปตลอดการเล่น

“ลูกที่จมหญ้าแบบนี้ หลุมอยู่ห่างออกไปมากพอ เราต้องวางลูกค่อนไปด้านหลังเพื่อให้เหล็กตีกระทบลูกได้ดีกว่า เหล็กที่ใช้เมื่อวางลูกค่อนไปข้างหลังหน้าเหล็กจะชันขึ้นเอง เหล็กพิชชิ่งจะตั้งเหมือนเหล็ก 7 ซึ่งลูกจะพุ่งและวิ่งไปมากกว่าจึงต้องระวังเรื่องระยะและน้ำหนักในการสวิง”

หรือ “ปานฯ คงพอเดาได้นะว่าถ้ากรีนเอียงจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งเราจะต้องพัทท์ไปด้านไหนเพื่อให้ลูกเลี้ยวโค้งไปที่หลุม ส่วนจะมากน้อยสักขนาดไหนเป็นเรื่องที่เราจะต้องใช้จินตนาการวาดภาพเอาเองโดยการมองจากลูกไปที่หลุมและมองย้อนกลับจากที่หลุมไปยังลูก ระหว่างที่เดินจากลูกไปที่หลุมเพื่อดูไลน์ย้อนกลับมานั้นควรนับจำนวนก้าวเอาไว้ในใจเพื่อให้ได้ความรู้สึกของระยะทางซึ่งปกติการซ้อมพัทท์นั้นเราควรหาน้ำหนักการพัทท์โดยเฉลี่ยเอาไว้ด้วยเช่น ถ้าระยะประมาณสิบก้าว เราควรให้น้ำหนักการพัทท์ประมาณแค่ไหนเป็นต้น”

ผมเหลือบเห็นแค้ดดี้สาวทั้งสองคนกระซิบกระซาบ หัวร่อต่อกระซิกกันในขณะที่มองมาที่เราทั้งสองคน ความจริงผมก็เขินๆ อยู่เหมือนกันที่ปล่อยให้ปานฯ ยืนพิงผมจนชิดขณะที่ผมสอนเธอดูไลน์บ้าง ขณะที่อธิบายการเล่นบางอย่างบ้าง

แต่ช่างปะไร ใครจะอิจฉาผมก็ช่วยไม่ได้ แต่เอ! หรือว่า แค้ดดี้นี่เป็นหญิง อาจจะอิจฉาปานฯ ก็ได้ใครจะรู้

เราแวะที่ซุ้มขายเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ริมสระน้ำใหญ่เมื่อเล่นไปได้สี่หลุม ผมชี้ให้ปานฯ ดูกาน้ำตัวผอมยาว สีดำที่เกาะอยู่ริมตลิ่ง หน้าตามันเซ่อๆ ขนเป็นมันเหมือนเล่นน้ำมาหมาดๆ สายลมโชยมาไม่ขาดระยะพาให้ผิวน้ำพลิ้วตัวไปเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ ระยิบระยับตาเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย เหล่าสกุณาร่วมขับขานเพลงรักออกเซ็งแซ่ บ้างโผบินเป็นคู่ไปจับอยู่ที่กิ่งไม้ บ้างกระโดดจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง จากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง มันเป็นธรรมชาติอันน่าจรุงใจ

เรายืนเคียงพิงระเบียงของซุ้มน้ำ มือผมโอบที่ไหล่กระชับร่างนั้นเข้ามา เธอคล้องแขนโอบผมที่เอว สายตาเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายราวตกอยู่ในภวังค์ ปานฯ เมียงหน้ามามอง ผมดันหมวกแก้ปของเธอให้เผยอขึ้น ก้มลงประทับริมฝีปากบนหน้าผาก เธอหลบสายตาซบหน้าลงกับอก

ออกรอบครั้งแรกของเรา เราต่างเรียนรู้กันมากมาย และความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนไปจากใจของเรา



โปรดติดตามต่อไป
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:18:52 AM »

บทที่  13   หนักใจ


ค่ำวันนั้น ผมกลับบ้านด้วยความเป็นสุขใจยากที่จะหาใดปาน รู้ตัวว่ายิ้มกับตัวเองมาตลอดทาง ใจที่เหม่อลอยกับฝันที่เฟื่องไปราวกับท่องไปในวิมานที่เต็มไปด้วยสิ่งสวยสดงดงาม ตัวนั้นเบาหวิวเหมือนล่องลอยไปบนปุยเมฆอันเย็นฉ่ำ ไต่ไปตามขอบรุ้งอันวิจิตรตระการตาแล้วคว้าสีสันหลายหลากโปรยไปให้ใครอื่นได้ชื่นชม ดุจละอองน้ำอันชื่นฉ่ำที่ชโลมหัวใจให้เบ่งบาน

ผมอยากแหกปากตะโกนให้ก้องโลก ให้คนทั้งหลายได้อิจฉา

ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน ผมต้องชะงักเมื่อเสียงห้าวๆ ของคุณพ่อดังขึ้นว่า

“เดี๋ยว พ่อมีอะไรจะคุยด้วยหน่อย”

ผมคงยิ้มแปลกๆ ทำให้คุณพ่อมองหน้าผมอย่างฉงน ผมเดินเข้าไปใกล้เกาะแขนพ่อแล้วดึงให้นั่งลงบนโซฟาตัวยาวพร้อมกัน

“ครับคุณพ่อ มีอะไรหรือครับ”
“ก็เรื่องเดิมๆ ที่พ่อเคยคุยกับลูกนั่นแหละ” น้ำเสียงของคุณพ่อฟังดูจริงจังแต่ไม่เคร่งขรึม
“คุณพ่อคุยกับผมเป็นพันเรื่อง เอาเรื่องไหนดีล่ะครับ” ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณพ่อหมายถึงเรื่องไหน
“ลูกเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว พ่อเองอายุก็มากขึ้นทุกวัน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้....”

ผมรู้แล้วว่าพ่อกำลังจะพูดเรื่องอะไรเลยพูดขัดขึ้นว่า
“พ่อเลยอยากให้ผมแต่งงานใช่ไหมครับ?”
“ใช่ ลูกจะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวสักที มีความรับผิดชอบ”

ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ
“ผมไม่มีความรับผิดชอบตรงไหนครับคุณพ่อ ผมมีงานทำ รับผิดชอบงานได้ดีหัวหน้าไม่เคยตำหนิ ไม่เคยหนักใจ เงินเดือนผมก็ไม่น้อย แล้วคำว่าผู้ใหญ่เต็มตัวจะวัดยังไงครับ?” น้ำเสียงผมเป็นปกติ ออกจะสดใสด้วยซ้ำ
“พ่อไม่ได้หมายความแบบนั้น พูดง่ายๆ คือ พ่ออยากให้ลูกแต่งงานนั่นแหละ”
“คุณพ่อไม่ต้องห่วง ถึงเวลาผมก็แต่งเองแหละ”
“แกจะให้พ่อตายก่อนหรือไงถึงจะแต่งน่ะ พ่อหมายความว่าเร็วๆ นี้ เพราะพ่อคุยกับแกเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว” เสียงของคุณพ่อเริ่มเครียดขึ้น เปลี่ยนสรรพนามเรียกผมจากลูกเป็นแก
“ก็ได้ครับ........แต่ผมต้องถามเธอดูก่อนว่าเธอจะยอมแต่งกับผมหรือเปล่า”

ใบหน้าของคุณพ่อยิ้มและหุบลงทันใดที่ได้ยินประโยคต่อมา และเปลี่ยนเป็นเครียดหนัก
“แกหมายถึงใคร?”
“คนที่ผมรักสิครับ”

คุณพ่อทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินถ้อยความจากปากของผม
“ความรักเหรอ.....” คุณพ่อจ้องหน้าผมอย่างดูแคลน “.....ไม่ว่าจะสมัยนี้หรือสมัยไหน ไม่มีความรักที่จะเทียบความเหมาะสม เจ้าชายจะไปคว้าหญิงไพร่มาเป็นคู่ครองมีแต่ในนิยายที่แต่งให้คนอ่านฝันเฟื่องไปก็เท่านั้น ความคิดของแกนี่แหละที่ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ”

ผมอึ้ง ที่อึ้งเพราะผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคุณพ่อมากกว่า ใจนั้นอยากจะประนีประนอมกับผู้บังเกิดเกล้า ไม่อยากทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ หัวสมองของผมปั่นเร็วจี๋คิดคำนวณเอาไว้เสร็จสรรพ พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า

“คุณพ่ออาจจะพูดถูก แต่ชีวิตเป็นของผมๆ ควรจะมีส่วนตัดสินใจอยู่บ้าง ผมขอแบบนี้แล้วกันนะครับ.....” ผมมองสีหน้าของคุณพ่อเห็นว่าสงบขึ้นจึงพูดต่อว่า
“.....ผมขอโอกาสได้สนทนากับหญิงที่คุณพ่อจะเลือกให้ คุณพ่อเองก็คงไม่อยากให้เธอคนนั้นมาแต่งงานกับผมด้วยความจำใจ ถ้าเธอคนนั้นยอมรับผมได้ ผมอาจจะยอมตามใจคุณพ่อสักครั้ง แต่ผมอยากให้คุณพ่อตระหนักสักนิดว่า ไม่มีอะไรเป็นสิ่งรับประกันได้ว่าชีวิตการแต่งงานจะต้องจบลงด้วยความสุขเสมอไป ไม่ว่าผมจะเลือกเองหรือคุณพ่อเลือกให้ ถ้าบังเอิญผมยอมตามที่คุณพ่อเลือกให้และหากบังเอิญไม่มีความสุข ผมไม่อยากให้คุณพ่อรู้สึกผิดที่เป็นคนเลือกให้ ผมอยากให้คุณพ่อคิดเสียว่านั่นเป็นเพราะสวรรค์บันดาลก็แล้วกัน แล้วผมจะไม่นึกตำหนิคุณพ่อเลย ผมไม่บังอาจเช่นนั้นเพราะผมรู้ดีว่าคุณพ่อปรารถนาดีต่อลูกเสมอ”

สีหน้าของคุณพ่อเหมือนปูนปั้น นิ่งอึ้งไป ก็แหม ผมอุตส่าห์ใช้สมองอันน้อยนิดเรียบเรียงไว้เป็นอย่างดี แต่ความหมายของผมมีมากกว่านั้น

ผมมีแผนอยู่ในใจของผมแล้วว่าผมจะต้องทำยังไง

ถามว่าผมหนักใจไหม ผมยอมรับว่าหนักใจอยู่
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:19:22 AM »

บทที่  14  สุดที่รัก


อารมณ์อันชื่นมื่นต้องสะดุดหยุดลงกลายเป็นความหนักใจเข้ามาแทนที่ ถ้าหากบังเอิญสิ่งที่ผมคิดไม่เป็นอย่างที่คิดผมจะบอกปานฯ ว่าอย่างไร จริงอยู่เราอาจจะยังไม่เคยเอ่ยปากฝากคำหวานแก่กันเลยสักครั้ง แต่ท่าทีที่มีต่อกันไม่จำเป็นต้องเอ่ยเป็นคำพูด มันเป็นภาพที่บรรยายได้ดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นพัน มีแต่เพียงคนสองคนเท่านั้นที่รู้ที่เข้าใจ

ผมนอนก่ายหน้าผาก คิดไปสารพัดจับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูก จากความทุกข์อย่างหนึ่งกลายเป็นความทุกข์ใจอีกแบบหนึ่ง มันเหมือนสิ่งที่เกิดมาคู่กับชีวิตมนุษย์ที่แยกกันไม่ออก เรามักจะหลงไปกับรสของสัมผัสทั้งหลายทั้งปวง ที่พาเราไปสู่การเวียนว่ายในทุกข์อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้จะกี่ภพกี่ชาติ เกิดมาใหม่ก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ แล้วอะไรเล่าที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง ผมจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างไร

ปานฯ รู้สึกแปลกใจที่เห็นผมขรึมไป ถามว่า
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมขรึมไป?”

จิตใจและสมองของผมมันปั่นป่วน คิดวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่นจนไม่ได้ยินที่ปานฯ ถาม เธอจับมือแล้วออกแรงบีบเบาๆ ผมมองหน้าเธองงๆ รอยยิ้มของเธอจางหายไปมีความสงสัยเข้ามาแทนที่

“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า ปานฯ ถามคุณไม่ได้ยินหรือคะ?”
“อ๋อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่น่ะ” ผมโกหก
“งั้นสารภาพมาว่าคิดถึงใครอยู่”
“คิดถึงปานฯ มั้ง” ผมฝืนยิ้มชืดๆ
“ปานฯ อยู่ตรงนี้แล้วยังจะคิดถึงอยู่อีก เห็นปานเป็นเด็กอมมือหรือไง?”

คงจะเป็นเพราะความเอาใจใส่ที่เรามีต่อกันมาตลอด ความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจรอดพ้นความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งไปได้ แต่ผมไม่อยากบอกให้ปานฯ รู้ ไม่อยากสร้างความทุกข์ใจให้แก่เธอถ้าใจที่เธอมีแก่ผมเป็นจริงอย่างที่ผมหวัง ผมตอบเลี่ยงไปว่า

“ผมมีเรื่องหนักใจนิดหน่อย เป็นเรื่องทางบ้าน แต่ผมคิดว่าผมคงสามารถแก้ไขได้ แล้วผมจะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกัน” เธอบีบมือผมเหมือนปลอบโยน ให้กำลังใจ ดวงตาเธอบอกแบบนั้น ผมฝืนยิ้มอย่างเต็มแรง เปลี่ยนเรื่องคุย

“เสาร์นี้เราไปออกรอบกันไหมจ๊ะปานฯ?”

พอได้ยินคำว่ากอล์ฟ สีหน้าของเธอเบิกบานขึ้นมาทันที เป็นธรรมชาติของคนเล่นกอล์ฟ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มเล่น ไม่มีใครเลยที่จะปฏิเสธความคันในหัวใจถ้าจะได้ไปออกรอบ

ปานฯ ถามว่า

“ว่าแต่ คุณคิดว่าฝีมือกอล์ฟของปานฯ จะทำให้คนอื่นเค้าต้องรำคาญไหมถ้าจะไปเล่นวันเสาร์หรืออาทิตย์ที่คนเล่นกันเยอะๆ น่ะ?”
“ไม่หรอก ฝีมือของปานฯ ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเชียว” ผมพูดความจริง ฝีมือโดยรวมของเธอนับว่าใช้ได้ดีทีเดียว ผมยังคิดเลยว่าหากเธอได้ซ้อมหรือเล่นต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ปานฯ จะต้องเป็นนักกอล์ฟที่ดีคนหนึ่ง
“งั้น วันเสาร์นี้พาปานฯ ไปออกรอบอีกนะคะ”
“ได้สิ”

ผมไปรับปานฯ แต่เช้ามืดของวันเสาร์ สองวันนับแต่วันที่คุณพ่อคุยเรื่องนั้น ผมค่อยรู้สึกดีขึ้น เมื่อพอจะปรับความคิดให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ชัดเจนขึ้น ความรู้สึกจึงปรับดีขึ้นตาม ผมขับรถมุ่งลงใต้ ปานฯ ไม่ได้ถามสักคำว่าผมจะพาเธอไปเล่นกอล์ฟที่สนามไหน

“หน้าตาคุณดูสดใสขึ้นนะคะ” เธอยิ้มพลางเอื้อมมือมาจับมือผมไว้
“สองวันก่อนดูไม่ดีเลยเหรอ?” ผมถามอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่ช่างเถิดค่ะ ตอนนี้คุณดีขึ้นแล้วปานก็เป็นสุขแล้วค่ะ”

ภูมิประเทศสองข้างทางไกลออกไปสุดสายตามีแต่ทุ่งนาโล่งๆ คลุมด้วยหมอกจางๆ ในความสลัวยามอรุณใกล้รุ่ง มีต้นตาลสูงชะลูดขึ้นกระจัดกระจายไปทั้งสองฟาก เมื่อทิวเขายาวปรากฏต่อสายตาเบื้องหน้า เป็นสัญญาณบอกว่าเราออกห่างนครหลวงมาพอสมควรแล้ว ปานฯ ชี้ให้ผมดูควายที่นอนจมอยู่ในปลักราวกับมันเป็นสัตว์ประหลาด ความจริงก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นเพราะควายที่เราเคยเห็นกลาดเกลื่อนตามท้องนาในสมัยก่อนไม่ว่าจะไปทิศทางไหน แต่ตอนนี้มันกลับหาดูได้ยากขึ้นยกเว้นในชนบทที่ห่างไกลออกไปจริงๆ ชาวนาคงใช้ควายเหล็กทำนาแทน

ทิวเขาที่เห็นจางๆ เมื่อครู่ค่อยชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ความยาวเหยียดที่ทอดไปไม่เสมอกัน บางตอนสูง บางตอนต่ำสลับกันไปมาเหมือนมังกรยักษ์ในเทพนิยายที่สงบอยู่ ที่เห็นว่าทิวนั้นจะสิ้นสุดลงที่ใดที่หนึ่งแต่แล้วกลับมีอีกทิวหนึ่งซ้อนขึ้นมาอีก ซ้อนขึ้นมาอีก ทิวแล้วทิวเล่าจนหาที่สุดไม่ได้ ดวงอาทิตย์ที่ตอนแรกแทรกตัวหลังหลืบเขาแค่ทอประกายเป็นสีทองจางๆ บัดนี้เริ่มดันตัวผ่านหลังเขาขึ้นมาอย่างช้าๆ ส่องแสงกระจ่างตาปลุกชาวพาราให้ออกทำมาหากิน

ทางเข้าถึงสนามกอล์ฟค่อนข้างสลับซับซ้อนลึกเข้าไปจากถนนหลวงพอสมควร สนามตั้งอยู่เชิงเขาที่มองเห็นเมื่อครู่ เรารับประทานอาหารเช้าที่คลับเฮ้าส์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง

“ดูท่าทางสนามจะสวยมากนะคะ” ปานฯ เอ่ยขึ้นพลางสูดอากาศยามเช้าเข้าเต็มปอด
“สวยครับ เป็นสนามหนึ่งที่ผมชอบมาก วันนี้ปานฯ จะได้เรียนรู้วิธีการเล่นจากสนามที่ไม่ใช่พื้นราบอย่างที่เคยเล่น”
“มันต่างกันมากหรือคะ”
“ค่อนข้างมากและต้องรู้วิธีเล่น วิธีจรด การวางตำแหน่งลูกและอื่นๆ อีกมากมาย”
“น่าสนุกนะคะ”
“ครับ กีฬากอล์ฟจึงเป็นกีฬาที่ท้าทายทำให้ผู้เล่นต้องเรียนรู้วิธีในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ เฉพาะหน้าและจำเป็นต้องวางแผนในการเล่นให้ดีด้วย”

เราค่อนข้างจะโชคดีที่จำนวนผู้เล่นวันนี้มีไม่มากนัก ตอนที่เราลงไปที่แท่นทีหลุม 1 นั้นมองไม่เห็นใครอยู่บนกรีนเลย ลมค่อนข้างสงบ พื้นสนามยังมีน้ำค้างจับอยู่เต็มมองดูขาวโพลนไปทั่ว มีรอยเท้าย่ำเป็นทางให้เห็นเป็นบางช่วง

ผมอธิบายให้ปานฯ ฟังเมื่อลูกอยู่ในทำเลที่เป็นทางลาดขึ้นว่า

“ลูกในทำเลลักษณะนี้ เราจะจรดตามปกติที่เราเคยจดไม่ได้ การเล่นทุกช็อตในกอล์ฟ เราต้องวางจัดตัวเราให้ขนานไปกับพื้นที่หรือทำเลนั้นๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือการวางแกนสันหนังให้เป็นมุมฉากกับทำเลนั้นเพื่อให้เราสามารถสวิงตีลูกได้ตามแนวของวงสวิงของตัวเรา อย่างลูกแบบนี้ซึ่งเป็นทางลาดขึ้น เราจะต้องจัดวางไหล่ของเราให้ขนานกับพื้นที่ น้ำหนักตัวจึงอยู่ค่อนมาทางเท้าขวาตามธรรมชาติ ตำแหน่งลูกจึงต้องอยู่ค่อนไปทางเท้าซ้ายเพราะจุดต่ำสุดของวงสวิงเราเปลี่ยนไปจึงต้องปรับให้มันสมดุลยกัน.....

.....วิธีการเล็งไปที่เป้าหมายก็ต้องปรับด้วยเพราะลูกลักษณะนี้เมื่อเราสวิงตีลูกออกไปหน้าไม้จะพาให้ลูกโค้งไปทางซ้าย เวลาเล็งเราจึงต้องเล็งไปทางขวาเผื่อให้ลูกโค้งกลับมายังเป้าหมายที่เราต้องการ”

ปานฯ ไม่เข้าใจ ถามว่า

“แล้วทำไมลูกถึงจะเลี้ยวโค้งมาได้คะ?”
“ผมอยากให้นึกภาพแบบนี้ สมมติให้ตัวเรากำลังยืนตีอยู่บนสะพานแขวนและวาดภาพการเดินทาง
ของลูกไปด้วย ถ้าสะพานนั้นขนานไปกับพื้นดินก็ไม่มีปัญหา แต่หากเรายกปลายสะพานด้านหน้าขึ้นภาพลักษณะการเดินทางของลูกจะไม่เดินทางเป็นเส้นตรงแล้วแต่มันจะเดินทางไปตามสภาพของทำเลนั้นๆ ซึ่งเกิดจากทั้งการจัดวางตัวของเราที่เปลี่ยนไปและมุมหรือองศาของหน้าไม้ที่เดินทางเข้าปะทะลูก

ในทางตรงข้าม ถ้าเรายกปลายสะพานอีกด้านหนึ่งขึ้นลองนึกภาพดูสิว่าตัวเราจะเอียงไปทางไหน การจัดวางลำตัวก็ต้องทำในลักษณะตรงข้ามกับอีกแบบหนึ่งที่อธิบายไปแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อดูว่าเราควรวางตำแหน่งลูกยังไงคือตั้งท่าให้ถูกแล้วซ้อมสวิงให้หน้าไม้ผ่านไปบนหญ้าแล้วดูว่าจุดต่ำสุดของมันอยู่ตรงไหน นั่นแหละคือตำแหน่งที่ควรจะเป็น”

ปานฯ ยกมือขึ้นเกาศีรษะ บ่นว่า

“ดูมันจะไม่ง่ายเลยนะคะเพราะถ้าเกิดสะพานที่ว่าตะแคงซ้ายหรือขวาล่ะ”
“ใช่เลย ถ้าเกิดสะพานตะแคงจากขวาไปซ้ายเราจะทำยังไง เราจะถอยตัวออกมาโดยที่ยังจับกริพที่ปลายสุดไม่ได้เพราะจะทำให้ท่าทางในการจรดลูกของเราไม่ถูกต้อง เราต้องยืนในลักษณะเดิมแต่จับกริพให้ต่ำลงไปมากเท่าที่จำเป็นเท่าที่มันจะสัมพันธ์กับความความเอียงของพื้นที่นั้น และแน่นอนลูกที่ตีออกไปจะเลี้ยวโค้งไปทางซ้ายตามแนวของพื้นที่นั้น เวลาเล็งเราต้องเล็งเผื่อจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความลาดเอียง หากสะพานตะแคงอีกด้านหนึ่งเราก็จะต้องปรับตรงข้าม”

เราเล่นกอล์ฟไปชมธรรมชาติและคุยกันไป สิ่งหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจที่แม้ผมจะค่อนข้างมั่นใจว่าปานฯ คงพอใจผมอยู่เช่นกันแต่ผมก็ยังอยากที่จะได้ยินจากปากของเธอเพื่อยืนยันว่าความมั่นใจของผมนั้นถูกต้องเพราะมันหมายถึงกำลังใจ ผมเอ่ยขึ้นว่า

“ปานฯ ผมมีอะไรจะถามปานฯ อย่างหนึ่ง และผมต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมา ไม่ต้องกลัวว่าผมจะรู้สึกยังไงเพราะผมโตแล้ว โตพอที่จะยอมรับความจริงได้ไม่ยาก ปานฯ สัญญาได้ไหมว่าจะตอบผมตามความเป็นจริง”

เธอหยุดเดิน หันมามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย บอกว่า
“ปานฯ สัญญาค่ะว่าจะตอบตามความเป็นจริง”
“ดี.....ถ้าเช่นนั้น ผมอยากจะถามปานฯ ว่าในความรู้สึกของหัวใจของปานฯ ที่มีต่อผมเป็นยังไงบ้าง?”
“คุณหมายความว่าปานฯ รักคุณหรือเปล่าใช่ไหมคะ?”

เราต่างมองลึกลงไปในดวงตาของกันและกันคล้ายกับจะให้มันเป็นพยานแห่งความจริง

“ใช่”
“คุณไม่คิดหรือว่ามันจะเป็นการเอาเปรียบเกินไปที่ให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายบอกฝ่ายชายก่อนโดยเฉพาะในเรื่องแบบนี้”
“ปานต้องการให้ผมบอกปานฯ ก่อน?”
“ค่ะ”

ผมรวบมือเธอทั้งสองมากุมไว้มั่น ดึงเธอเข้ามาใกล้ กระซิบกับเธอว่า
“ผมรักคุณ”

เธอกระซิบกับผมบ้างว่า
“ปานฯ ก็รักคุณค่ะ”

ผมรั้งร่างนั้นเข้ามากอด สายลมกรรโชกมารุนแรงวูบหนึ่ง หยาดน้ำค้างที่ยังคงเหลืออยู่บนใบไม้ร่วงกราวเป็นละออง เมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าถักทอเป็นสายรุ้งเล็กๆ จางๆ บนฟ้าเหนือศีรษะของเรา
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2005, 01:19:59 AM »

บทที่  15  สวรรค์เบี่ยง


สายฝนที่กระหน่ำลงมาราวฟ้าแตกเมื่อตอนหัวค่ำถอนเอาต้นไม้ในบริเวณบ้านไปหลายต้น ที่แข็งแรงก็รักษากิ่งก้านเอาไว้ไม่ได้หักโค่นไปไม่น้อย แต่ตอนนี้พระพิรุณกลับปราณีเพียงโปรยปรายหยาดฝนเป็นละอองให้ความชุ่มฉ่ำเย็นสบายแก่มวลสัตว์โลก เสียงกบ อึ่งอ่างครางกันระงมร้องหาคู่ ผมอวยชัยให้มันโชคดีได้เจอคนที่มันรักอย่างที่ผมเป็น

เก้าอี้ผ้าใบรับน้ำหนักไม่มาก ผมนอนโยกตัวอย่างสบายอารมณ์ที่ระเบียงห้อง พยายามค้นหาดวงดาวบนฟ้าเหมือนงมหาเพชรในมหาสมุทร มันโดนเมฆหมอกบดบังเอาไว้สิ้น แม้กระทั่งจันทร์ที่เคยกระจ่างฟ้ากลับหม่นมัวไม่สดใสแม้จะเต็มดวงก็ตาม แต่เชื่อไหมว่าใจของผมกลับสว่างจ้า ไม่คาดคิด ไม่คาดฝันว่าผมจะสามารถชนะใจของหญิงสาวคนหนึ่งที่งดงามดุจเทพธิดา – มันเป็นเพราะกอล์ฟแท้ๆ

ผมเคลิ้มหลับไป แต่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขอให้เป็นสุดที่รักของผมเถิดที่เรียกมา เมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นมองหน้าจอ ผมยิ้มแก้มแทบปริ พยายามทำเสียงให้หล่อที่สุด
“ผมกำลังคิดถึงปานฯ อยู่พอดี”

แต่เสียงจากปลายสายอีกฟากหนึ่งทำให้หัวใจของผมหล่นวูบ มือไม้เย็นวาบแทบไม่มีเรี่ยวแรง แทนที่จะเป็นเสียงหวานๆ ของเธออย่างเคยกลับเป็นเสียงสะอื้นไห้อย่างรุนแรง ปานฯ กำลังร้องไห้เหมือนเด็กๆ เพราะเธอร้องไห้ออกมาโฮใหญ่

ผมตะโกนกรอกเสียงเรียก
“ปานฯ ปานฯ ปานฯ ร้องไห้ทำไม ใครเป็นอะไร ปานฯ เป็นอะไร บอกผมก่อน”

เธอยังร้องไห้เสียงดัง พูดเสียงกระท่อนกระแท่นแทบจับไม่ได้ความ
“คุณ.......คุณ.....มา......หา.......ปานฯ......หน่อย ได้ไหมคะ?”
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

ผมเผ่นพรวดกลับเข้าห้อง เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอย่างรวกๆ คว้ากุญแจรถได้เผ่นพรวดจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่นที่คุณพ่อและคุณแม่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ ผมไม่มีเวลาที่จะบอกกล่าวอะไร เพียงพูดขึ้นสั้นๆ ว่า
“ผมจะออกไปธุระข้างนอกหน่อย”

เป็นครั้งแรกที่ผมรีดเอาแรงม้าจากรถของผมออกมาจนหมด มันทะยานพุ่งไปข้างหน้า ทิ้งฝุ่นให้ตลบคละคลุ้งไว้ข้างหลัง หัวสมองของผมสับสนยิ่งกว่าเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง มีคำถามเกิดขึ้นมานับไม่ถ้วน มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้ปานฯ ต้องร้องไห้มากมายขนาดนั้น ญาติพี่น้อง พ่อหรือแม่หรือเปล่าที่อาจเสียชีวิตอย่างกะทันหัน หรือเธอถูกใครข่มเหงรังแกเข้า หรือทรัพย์สมบัติทางบ้านถูกยึดกลายเป็นบุคคลล้มละลาย หรือฯลฯ

ทันทีที่รถของผมปักหัวผ่านประตูเข้าไปพบปานฯ ยืนคอยท่าอยู่แล้ว เธอสาวเท้าตรงมาที่รถ เปิดประตูก้าวขึ้นมานั่ง เธอบอกสั้นๆ ว่า
“ไปก่อนเถิดค่ะ ไปไหนก็ได้”

ผมขับรถออกจากที่นั่น เหลือบมองดูเห็นเธอก้มหน้าลงกับมือทั้งสอง สะอื้นไห้ออกมาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกใจเสียอย่างบอกไม่ถูก ความสงสารเกิดขึ้นมาอย่างท่วมท้นหัวใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กับเธอ ผมดึงมือหนึ่งของเธอมากุม บีบเบาๆ เป็นการปลอบใจและให้กำลังใจ นึกว่าจะทำให้ดีขึ้น แต่ปานฯ กลับสะอื้นไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่ง มือของผมเปียกปอนไปด้วยน้ำตา

ผมขับรถไปอย่างไร้จุดหมาย แต่จะขับไปเรื่อยแบบนี้ได้อย่างไร ผมอยากหาที่สงบๆ ที่ไหนสักแห่งที่ผมจะได้คุย ได้สอบถามให้รู้เรื่อง ผมนึกถึงทางเข้าสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ มันอยู่นอกเมืองออกมาไม่ไกลและอยู่ในเส้นทางที่ผมกำลังบ่ายหน้าไป

ถนนทางเข้าสนามกอล์ฟเส้นนั้นค่อนข้างสงัด ผมจอดรถที่ริมทาง ดับไฟหน้ารถแต่ปล่อยเครื่องยนต์ให้ติดไว้
“ปานฯ บอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงผมแทบเป็นเสียงกระซิบ เธอไม่ตอบ แต่โผทั้งร่างเข้ามากอดผมไว้แน่นและร้องไห้โฮออกมา

ผมทำอะไรไม่ถูก มือหนึ่งลูบแผ่นหลัง อีกมือลูบศีรษะอย่างทะนุถนอมเป็นการปลอบโยน เธอร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นนานราวกับวิญญาณถูกกระชากลงนรกก็ไม่ปาน ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ รอจนกระทั่งเธอค่อยสงบลงบ้าง
“ปานฯ บอกผมหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร”
“ปานฯ ไม่ยอม......ปานฯ ไม่ยอม” เธอพูดแค่นั้นแล้วร้องไห้ต่ออีกคำรพหนึ่ง

“ปานฯ.....ไหนบอกผมสิว่าเกิดอะไรขึ้น ปานฯ ไม่ยอมอะไร” เสียงผมเครียดขึ้น
“คุณพ่อค่ะ คุณพ่อ”
“คุณพ่อเป็นอะไร?”
“คุณพ่อใจร้าย.....คุณพ่อบังคับใจปานฯ”
“คุณพ่อบังคับอะไรปานฯ บอกผมสิ”

ใจผมเริ่มเสีย กริ่งเกรงไปก่อนว่าปานฯ อาจจะถูกคุณพ่อบังคับอย่างที่ผมถูกพ่อบังคับก็เป็นได้ และนั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมจะรับได้

สายฝนที่พรำมาตลอดกลับหนักขึ้นทุกที เม็ดฝนนับล้านๆ สาดกระทบเข้ากับรถเสียงดังลั่นไปหมด มันกำลังร่ำไห้ให้กับเราทั้งสอง

ปานฯ พูดขึ้นด้วยเสียงอันสั่นสะท้านว่า
“ปานฯ อยากตาย”

ผมถึงกับใจหายวูบที่ได้ยินคำนั้น ปานฯ ไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแอขนาดนั้น เธอเป็นหญิงสาวที่มั่นคงในจิตใจ เป็นคนที่แข็งแกร่ง เป็นผู้หญิงที่มีเหตุมีผลที่สุดคนหนึ่ง แล้วอะไรที่ทำให้เธอพูดออกมาแบบนั้น แบบคนสิ้นคิด
ผมพูดเสียงกร้าวว่า
“ปานฯ พูดแบบนี้ได้ยังไง ปัญหาไม่ว่าจะใหญ่คับฟ้าเพียงใดย่อมมีทางแก้ไขทั้งสิ้น อย่าพูดแบบนี้อีกนะ”
“แต่ปัญหาของปานฯ ไม่มีทางแก้ไข”
“มีสิ ยังไงก็ต้องมี ไหนบอกผมสิว่าคุณพ่อบังคับอะไรปานฯ”

เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง พูดเสียงสั่นเครือว่า
“คุณพ่อ.....บังคับ......ให้ปานฯ......แต่งงาน”

แล้วความกลัวอย่างร้ายกาจที่เหมือนมัจจุราชมาคร่าเอาวิญญาณไปที่ผมสังหรณ์ใจอยู่ก็เป็นความจริง ผมกัดฟันกรอดคิดตำหนิในความอาภัพรักของเรา เรื่องของผมยังไปไม่ถึงไหน ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ยังมีเรื่องของปานฯ เข้ามาแบบเดียวกันอีก มันกลายเป็นเชือกที่ถูกผูกขึ้นเป็นสองปมซ้อนกัน

ผมรีบตั้งสติใหม่ สติเท่านั้นที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้ พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า
“ปานฯ ฟังผมนะ ตั้งใจฟังให้ดี.....”

ผมประคองใบหน้าของเธอที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาขึ้น
“.....ปานฯ รู้ไหมว่าจะต้องแต่งงานกับใคร”
“ไม่ทราบค่ะ”
“อ้าว! คุณพ่อไม่ได้บอกหรอกหรือ”
“ ไม่ทันที่คุณพ่อจะบอกอะไร พอคุณพ่อพูดเรื่องที่ปานฯ ต้องแต่งงานกับคนที่คุณพ่อเลือกให้เท่านั้น เราก็มีปากเสียงกันรุนแรง คุณพ่อ.....คุณพ่อตบหน้าปานฯ ด้วยค่ะ” เธอสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“เอาล่ะ ใจเย็นๆ ไว้ก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปานฯ จะต้องแต่งวันนี้หรือพรุ่งนี้นี่นา”
“คุณพ่อบอกว่าเร็วที่สุดค่ะ”
“แสดงว่าปานฯ ก็ยังไม่เคยพบเห็นว่าที่เจ้าบ่าวของปานฯ ว่าที่เจ้าบ่าวของปานฯ ก็ยังไม่เคยเห็นปานฯ ไม่ใช่หรือ”
“ยังค่ะ”
“ความหวังก็ยังมีอยู่ว่า ถ้าเขาคนนั้นไม่ตกลงปลงใจกับปานฯ ๆ ก็ไม่ต้องแต่งไม่ใช่เหรอ”
“ก็แล้วจะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ”
“เป็นไปได้สิ ถ้าปานฯ ทำให้เขาไม่ชอบได้ หรือหาทางทำให้มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น ทำนายทายทักว่าไม่ใช่เนื้อคู่กันหรือร้ายกว่านั้นอาจมีใครคนหนึ่งเป็นไป หรือทางสุดท้ายคือ หนีไปกับผมถ้าไม่มีทางออกจริงๆ ตอนนี้ใจเย็นๆ ไปก่อน ผมเดาว่าคงมีสักวันแหละที่คุณพ่อปานฯ จะต้องหาวันให้ปานฯ กับเขาคนนั้นได้พบกัน เหมือนการแนะนำตัวแหละ แล้วดูว่าเขามีท่าทีอย่างไร เขาอาจจะไม่เสน่หาปานเลยสักนิดก็เป็นไปได้” ผมพูดไปเท่าที่จะนึกได้ในตอนนั้น พูดให้เธอเอาไปคิดถึงความเป็นไปได้ เธอจะได้เลิกคิดถึงการคิดสั้นอย่างที่เธอพูดออกมา
“คุณคิดว่าจะเป็นไปได้หรือคะที่เขาจะไม่สนใจปานฯ เลย ขี้คร้าน....”
“ปานฯ อย่ามั่นใจนักเลย อาจมีอ้ายเซ่ออย่างผมคนเดียวที่รักปานฯ ก็ได้”
“นี่คุณ.....” กำปั้นทั้งสองรัวเข้าใส่หน้าอกผมอย่างไม่นับจนผมต้องปิดป้องเป็นพัลวัน รวบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน รั้งร่างของเธอเข้ามาในอ้อมกอด ประทับริมฝีปากเข้าด้วยกันอย่างแสนรักใคร่

“ปานฯ จ๊ะ ผมอยากจะขอร้องอะไรอย่าง”
“อะไรหรือคะ?”
“คุณพ่อน่ะ อย่างไรเสียท่านก็เป็นคุณพ่อ ท่านคงมีเหตุผลของท่าน ที่ผมมั่นใจมากๆ คือท่านรักปานฯ เชื่อผมสิ..... อย่าทำให้ท่านต้องเสียใจ อย่าทำให้ท่านต้องเป็นทุกข์ใจ มันเป็นบาป..... เราค่อยๆ หาทางจัดการไปทีละอย่าง หากว่าถึงที่สุดแล้วและความรักของเราเป็นไปไม่ได้จริงๆ คุณต้องสละผม แต่ต้องไม่ใช่คุณพ่อ ปานฯ เข้าใจไหม..... ถึงแม้ผมจะเป็นทุกข์ใจอย่างไรมันยังเป็นเรื่องเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับคุณพ่อของปานฯ ท่านเป็นผู้ที่มีพระคุณที่สุดในชีวิต ท่านให้กำเนิดเรามา เราจะอกตัญญูต่อท่านไม่ได้เป็นอันขาด ปานฯ ต้องตั้งสติตรองดูให้ดี..... ผมจะบอกให้ปานฯ ทราบว่า ถ้าแม้คุณพ่อปานฯ ยังไม่รัก ปานฯ จะไปบอกว่ารักใครคนอื่นได้ยังไง ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก..... ผมรู้ ผมเข้าใจว่าปานฯ กำลังเสียใจ กำลังผิดหวัง ปานฯ ถึงมีอารมณ์พูดจาไม่ดีกับคุณพ่อไปบ้าง แต่ตอนนี้ปานฯ มีสติครบถ้วน ปานฯ ลองคิดดูว่าที่ผมพูดนั้นจริงไหม.....อย่าสงสัยในความรักของผมที่มีต่อปานฯ ผมว่าปานฯ รู้ดีว่าผมรักปานฯ แค่ไหน แต่จะให้ผมทำให้ปานฯ เป็นคนอกตัญญูต่อคุณพ่อล่ะก็ ปานฯ อย่ารักผมดีกว่าเพราะผมไม่ใช่เป็นคนดีอย่างที่ปานฯ หวัง”
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.258 วินาที กับ 20 คำสั่ง