HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #5940 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 05:41:40 PM » |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #5941 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 05:43:49 PM » |
|
ตอนนี้ยังถือเงินสดอยู่ครบทุกบาทเลยครับ ยังไม่ได้ซื้อตัวไหนเข้าไปเลย พี่สมชายได้ซื้อตัวไหนไว้หรือเปล่าครับ.......อยากจะขอแนวทางครับ  ยังไม่ได้ซื้อเลยครับ... แต่เล็ง QH, GBX, ASIAN, AH, AP, BLS รอมันทำ New High + Volume ครับ... ผมเล็ง CPALL กับ BEC ไว้พอไหวไหมครับ......
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #5942 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 05:48:00 PM » |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5943 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 06:38:51 PM » |
|
ตอนนี้ยังถือเงินสดอยู่ครบทุกบาทเลยครับ ยังไม่ได้ซื้อตัวไหนเข้าไปเลย พี่สมชายได้ซื้อตัวไหนไว้หรือเปล่าครับ.......อยากจะขอแนวทางครับ  ยังไม่ได้ซื้อเลยครับ... แต่เล็ง QH, GBX, ASIAN, AH, AP, BLS รอมันทำ New High + Volume ครับ... ผมเล็ง CPALL กับ BEC ไว้พอไหวไหมครับ...... CPALL ดูดีกว่า BEC ครับ... แล้วก็บังเอิญเห็น Centel เพิ่มเข้ามาอีกตัวนึง... ดูไปดูมามันตั้งท่าขึ้นเป็นแผงเลยครับ... ตลาดเปลี่ยนเป็นกระทิงเอาวันนี้เอง เชื่อเลย... ฮา...
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5944 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 06:43:19 PM » |
|
ASP, BLS ก็ตั้งรูปเด้งขึ้น...
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #5945 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 06:55:26 PM » |
|
ขอรบกวนพี่สมชายสักนิดนึงครับผม  คือว่าผมจะเปิดบัญชีเงินสดเครดิตไลท์ ATS T+3 ทางโบรกเกอร์ให้วงเงิน3เท่า จากเงินสดในบัญชีCash Balance ที่ผมใช้อยู่เดิม คือผมสงสัยนิดนึง T+3 นี่คือถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายหุ้นภายใน3วันทำการ เราต้องเอาเงิน(ค่าหุ้น)เข้าแบงค์ ให้ทางโบรกฯหักใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราขาดทุน เราต้องโอนเข้าเพื่อจ่ายส่วนต่าง ที่ขาดทุนใช่มั้ยครับ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5946 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:17:12 PM » |
|
ขอรบกวนพี่สมชายสักนิดนึงครับผม  คือว่าผมจะเปิดบัญชีเงินสดเครดิตไลท์ ATS T+3 ทางโบรกเกอร์ให้วงเงิน3เท่า จากเงินสดในบัญชีCash Balance ที่ผมใช้อยู่เดิม คือผมสงสัยนิดนึง T+3 นี่คือถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายหุ้นภายใน3วันทำการ เราต้องเอาเงิน(ค่าหุ้น)เข้าแบงค์ ให้ทางโบรกฯหักใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราขาดทุน เราต้องโอนเข้าเพื่อจ่ายส่วนต่าง ที่ขาดทุนใช่มั้ยครับ ไม่รู้ว่าจะตรงกับที่นายสมชายใช้อยู่หรือเปล่านะครับ... คือเขาให้เครดิตเราจำนวนหนึ่ง สมมติว่า 100 บาท, เราซื้อ/ขายได้ทั้งวันโดยมีมูลค่าซื้อหักมูลค่าหุ้นขายแล้วไม่เกินวงเงินเครดิต 100 บาท... T+3 คือในวันที่ 3 (นับ 1 วันพรุ่งนี้)เขาจะมาล้วงเอาเงินในบัญชีไป ซึ่งในทางตรงข้าม หากเราซื้อแล้วขายหมดในวันเดียวได้กำไร เขาก็จะเอาเงินมาใส่ในวันเดียวกันนี้ครับ...
|
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 14, 2010, 07:21:25 PM โดย นายสมชาย(ฮา) - รักในหลวง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5947 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:24:04 PM » |
|
ลืมบอกครับ... เขาคิดเงินในสิ้นวันที่ซื้อขายครับ แต่จ่ายเงินอีก 3 วัน, ไม่ใช่"เราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯ"นะครับ...
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #5948 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:43:26 PM » |
|
ขอรบกวนพี่สมชายสักนิดนึงครับผม  คือว่าผมจะเปิดบัญชีเงินสดเครดิตไลท์ ATS T+3 ทางโบรกเกอร์ให้วงเงิน3เท่า จากเงินสดในบัญชีCash Balance ที่ผมใช้อยู่เดิม คือผมสงสัยนิดนึง T+3 นี่คือถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายหุ้นภายใน3วันทำการ เราต้องเอาเงิน(ค่าหุ้น)เข้าแบงค์ ให้ทางโบรกฯหักใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราขาดทุน เราต้องโอนเข้าเพื่อจ่ายส่วนต่าง ที่ขาดทุนใช่มั้ยครับ ไม่รู้ว่าจะตรงกับที่นายสมชายใช้อยู่หรือเปล่านะครับ... คือเขาให้เครดิตเราจำนวนหนึ่ง สมมติว่า 100 บาท, เราซื้อ/ขายได้ทั้งวันโดยมีมูลค่าซื้อหักมูลค่าหุ้นขายแล้วไม่เกินวงเงินเครดิต 100 บาท... T+3 คือในวันที่ 3 (นับ 1 วันพรุ่งนี้)เขาจะมาล้วงเอาเงินในบัญชีไป ซึ่งในทางตรงข้าม หากเราซื้อแล้วขายหมดในวันเดียวได้กำไร เขาก็จะเอาเงินมาใส่ในวันเดียวกันนี้ครับ... 1 คือถ้าเราถือหุ้นไม่ขาย ภายในอีก3วันทำการ เราต้องหาเงินค่าหุ้นที่ซื้อจำนวนนั้นมาให้โบรกใช่มั้ยครับพี่ 2 แต่ถ้าเราขายหุ้น ได้กำไรก่อน3วัน เค้าก็จะเอากำไรโอนให้เราอีกใน3วันทำการ 3 แต่ถ้าเราซื้อ-ขายแล้วขาดทุน เราก็ต้องรีบหาเงินเข้าบัญชีให้โบรกหักเงิน(ส่วนที่ขาดทุน)ตามกำหนดT+3 ขอบคุณอีกทีครับพี่สมชาย 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #5949 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:15:36 PM » |
|
บัญชี3แบบ ของKT-ZMICO
ประเภทบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
1. บัญชีวางเงินฝากล่วงหน้า (Cash Balance Basis)
ภายใต้บัญชีเงินสดประเภทนี้ ท่านจะสามารถส่งคำสั่งผ่านระบบออนไลน์ได้หลังจากโอนเงินฝากล่วงหน้ามาที่บริษัทฯแล้ว ทั้งนี้บริษัทฯมิได้กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำในการโอนไว้แต่อย่างใด ท่านสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตามยอดเงินฝากหรือเงินคงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของท่าน
ทันทีที่ท่านส่งคำสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ ระบบจะลดวงเงินการซื้อขายเท่ากับมูลค่าของคำสั่งนั้นๆ หากคำสั่งซื้อนั้นไม่ได้รับการยืนยัน (จนกระทั่งตลาดฯปิดทำการ) หรือคำสั่งถูกยกเลิก วงเงินการซื้อขายของท่านจะถูกปรับมาเท่าเดิมสำหรับคำสั่งขายนั้น ระบบจะเพิ่มวงเงินการซื้อขายหลังจากคำสั่งขายได้รับการยืนยันเท่านั้น
ระบบการรับ/ชำระราคา ปัจจุบันการชำระค่าซื้อขายรวมถึงการส่งมอบหลักทรัพย์จะต้องอยู่ภายใต้หลักการ T+3 (จะต้องดำเนินการ ให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วันทำการหลังจากวันที่ซื้อขายหลักทรัพย์) ในการชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ บริษัทฯจะหักเงินค่าซื้อออกจากยอดเงินคงเหลือที่มีอยู่ในบัญชีออนไลน์ของท่านในวันที่ T+3 สำหรับค่าขายหลักทรัพย์ บริษัทฯจะโอนเข้าบัญชีออนไลน์ของท่านในวันที่ T+3 เช่นกัน
2. บัญชีเงินสดแบบเครดิตไลน์ (Cash Credit Limit Basis)
วงเงินในการซื้อขายหลักทรัพย์จะพิจารณาตามเอกสารทางการเงินของท่าน, ทรัพย์สินที่ท่านมีอยู่กับบริษัทฯ และประวัติการซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อวงเงินการซื้อขายหลักทรัพย์ (Credit Line) ของท่านได้รับการอนุมัติ ท่านสามารถตรวจสอบ วงเงินการซื้อขายได้จากช่อง "Buying Limit" ในหน้าจอ Trading Account
ระบบการรับ/ชำระราคา ในการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเครดิตไลน์ บริษัทฯจะรับ/ชำระค่าซื้อ/ขายหลักทรัพย์ จากบัญชีเงินฝาก(ธนาคาร) ตามที่ท่านแจ้งไว้ผ่านระบบ ATS ในวันที่ T +3 อาทิเช่น ค่าขายหลักทรัพย์ บริษัทฯจะโอนค่าขายหลักทรัพย์เข้าบัญชีเงินฝาก ( ธนาคาร) ผ่านระบบ ATS ในวันที่ T +3 เป็นต้น
กรณีที่ลูกค้าผิดนัดชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ จะต้องชำระค่าปรับดังนี้
ค่าปรับ 1,000 บาทต่อวันทำการ ดอกเบี้ยค้างชำระอัตรา 21 % ต่อปี หากท่านมีความประสงค์จะใช้ระบบบัญชีเงินสดแบบเครดิตไลน์ กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่การตลาดผู้ดูแลบัญชัี เพื่อขอทราบรายละเอียด
หมายเหตุ : บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ ในการพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีไปตามแต่เห็นสมควร
3. บัญชีเงินกู้เครดิตบาล้านซ์ (Credit ฺBalance Basis)
ระบบเครดิตบาล้านซ์เป็นรูปแบบการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัีพย์ (Margin Loan) ซึ่งลูกค้าต้องนำเงินมาวางเป็นประกันการชำระหนี้กับบริษัทฯก่อนการซื้อหลักทรัพย์ โดยอำนาจซื้อของลูกค้าจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลูกค้านำมาวางและมูลค่าหลักทรัพย์ที่ซื้อและที่วางเป็นประกัน ทั้งนี้บริษัทฯต้องทำการ Mark to Market หลักทรัพย์ที่เป็นประกันทุกวัน ซึ่งผลจากการ Mark to Market จะทำให้อำนาจซื้อ ของลูกค้าเพิ่ม/ลดโดยอัตโนมัติตามมูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ของลูกค้าโดยไม่มีการคำนวณกำไร/ขาดทุน ของหลักทรัพย์แต่ละรายการเหมือนในระบบเดิม
การซื้อขายหลักทรัพย์
ก่อนการซื้อขายหลักทรัพย์ ลูกค้าจะต้องนำเงินมาวางเป็นประกัน ซึ่งเงินที่ลูกค้าวางเป็นประกันนี้ บริษัทฯจะแยกออกจากบัญชีบริษัทฯและนำไปลงทุนตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยระบุเป็น บัญชีของบริษัทฯ เพื่อลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีฯ บริษัทฯจะหักเงินที่ลูกค้าวางเป็นประกันเพื่อชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ก่อน หากไม่พอที่จะชำระค่าซื้อ ส่วนที่เหลือจึงจะเป็นเงินให้กู้ยืม ซึ่งบริษัทฯจะคิดดอกเบี้ยจากเงินที่ให้กู้ยืมตามอัตราที่กำหนด ในขณะเดียวกันเงินของลูกค้าที่วางเป็นประกันในส่วนที่ยังไม่ได้นำไปชำระค่าซื้อ บริษัทฯจะให้ดอกเบี้ยเงินฝากแก่ลูกค้าตามอัตราที่กำหนด อัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 กรณีนี้ บริษัทฯจะประกาศให้ทราบ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ ทุกๆ ต้นเดือน บริษัทฯ ไม่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อเกินกว่าอำนาจซื้อที่คำนวณได้ และไม่อนุญาตให้ลูกค้าขายหลักทรัพย์โดยไม่มีหลักทรัพย์ในบัญชี ในกรณีที่ลูกค้าขายหลักทรัพย์ หรือนำเงินมาวางเพิ่ม บริษัทฯจะนำเงินที่ได้รับมาหักหนี้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่มีอยู่เดิมก่อน ส่วนที่เหลือนำฝากเข้าเป็นหลักประกันในบัญชีเครดิตบาล้านซ์
หลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ซื้อในบัญชีเครดิตบาล้านซ์
บริษัทฯจะจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ซื้อในบัญชีมาร์จิ้น (Marginable Securities) และอัตรามาร์จิ้น ของแต่ละหลักทรัพย์ โดยจะทำการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และ ติดประกาศ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ ทุกๆ ต้นเดือน บริษัทฯสงวนสิทธิที่จะทำการปรับปรุงรายชื่อหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ซื้อในบัญชีมาร์จิ้น หรืออัตรามาร์จิ้นของแต่ละหลักทรัพย์ได้ตามความเหมาะสม การเรียกหลักประกันเพิ่ม (Call Margin 35%)
ในกรณีที่ทรัพย์สินรวมของลูกค้า (Equity) ลดลงจนต่ำกว่ามูลค่าหลักประกันที่ต้องดำรงไว้ (Maintenance Margin Requirement) บริษัทฯจะห้ามไม่ให้ลูกค้าทำการซื้อหลักทรัพย์ และลูกค้าต้องนำทรัพย์สินมาวางเป็นหลักประกันเพิ่ม จนทำให้ทรัพย์สินรวมของลูกค้า (Equity) เท่ากับหรือสูงกว่ามูลค่าหลักประกันที่ต้องดำรงไว้ หากลูกค้าไม่นำทรัพย์สินมาวางเป็นหลักประกันเพิ่มภายใน 5 วันทำการ บริษัทฯอาจบังคับชำระหนี้เงินกู้จากทรัยพ์สินที่วางเป็นประกันได้ในวันทำการถัดไป จนทำให้ทรัพย์สินรวมของลูกค้าสูงกว่ามูลค่าหลักประกันที่ต้องดำรงไว้ (Maintenance Margin Requirement) อนึ่งทรัพย์สินที่นำมาวางเป็นหลักประกันได้นั้นต้องเป็นทรัพย์สินตามบัญชีรายชื่อที่บริษัทฯประกาศไว้ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ และลูกค้าจะต้องดำเนินการให้บริษัทฯมีบุริมสิทธิเหนือหลักประกันดังกล่าว การบังคับชำระหนี้ (Force Sell 25%)
ในกรณีที่ทรัพย์สินรวมของลูกค้า (Equity) ลดลงจนเท่ากับหรือต่ำกว่ามูลค่าหลักประกันขั้นต่ำ (Minimum Margin Requirement) บริษัทฯจะทำการบังคับชำระหนี้เงินกู้จากทรัพย์สินที่วางเป็นประกันในวันทำการถัดไป จนทำให้ทรัพย์สินรวมของลูกค้าสูงกว่ามูลค่าหลักประกันขั้นต่ำ หากท่านมีความประสงค์จะใช้ระบบบัญชีเงินกู้เครกิตบาล้านซ์ กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่การตลาดผู้ดูแลบัญชี เพื่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม
หมายเหตุ : บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ ในการพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีไปตามแต่เห็นสมควร
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5950 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:18:12 PM » |
|
ตอบข้อ 1 ... สมมติว่าวันที่ 1 ม.ค. ซื้อหุ้นเป็นเงิน 100 บาท, 16.30 น. ไม่ขายทิ้ง ถือข้ามคืน, วันที่ 4 ม.ค. เขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...
ตอบข้อ 2 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายหุ้นไปในวันที่ 2 ม.ค. ,วันที่ 5 ม.ค. เขาจะโอนเงินมาใส่แบงค์ให้เราครับ...
ตอบข้อ 3 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายก่อนปิดตลาดเย็น(Net Settlement) หากกำไรเขาจะเอาเงินมาใส่ในวันที่ 4 ม.ค, แต่ถ้าขาดทุนเขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5951 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:19:49 PM » |
|
นายสมชายใช้แบบที่ 2 ครับ...
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #5952 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:24:59 PM » |
|
ตอบข้อ 1 ... สมมติว่าวันที่ 1 ม.ค. ซื้อหุ้นเป็นเงิน 100 บาท, 16.30 น. ไม่ขายทิ้ง ถือข้ามคืน, วันที่ 4 ม.ค. เขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...
ตอบข้อ 2 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายหุ้นไปในวันที่ 2 ม.ค. ,วันที่ 5 ม.ค. เขาจะโอนเงินมาใส่แบงค์ให้เราครับ...
ตอบข้อ 3 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายก่อนปิดตลาดเย็น(Net Settlement) หากกำไรเขาจะเอาเงินมาใส่ในวันที่ 4 ม.ค, แต่ถ้าขาดทุนเขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...
 ขอบคุณครับพี่สมชาย แจ่มแจ้งแล้ว (ผมหัวไม่ค่อยดีครับ)  วงเงินสะใจดีนะครับ ถ้าเสียล่ะสยองเลย เอาไว้เวลามั่นๆครับ ช่วงนี้กระสุนหมด รถแจ๊สติดบนดอย ไม่มีน้ำมัน รอจ้าวมาช่วยครับ  สไตล์พี่สมชายคงชอบ อย่างบางตัววันนี้นะครับ แรงจริงๆ เครดิตเยอะๆ ตามน้ำเก่งๆ 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #5953 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 09:11:10 PM » |
|
จ้าวมาแล้ว มาช่วยซื้อหน่อย มันลงมาหลายวันแร้วววว 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #5954 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2010, 10:43:14 AM » |
|
วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 17:33:12 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เปิดทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย′53 "ทองมา" พฤกษาครองแชมป์คนใหม่ ตระกูล"มาลีนนท์"รวยสุด4.4หมื่นล้าน
ทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย 2010 ต้อนรับแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยคนใหม่ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ รวยสูงสุด 3.1 หมื่นล้าน ตามด้วยอันดับ 2 คีรี กาญจนพาสน์ ครองหุ้นรวม 1.78 หมื่นล้าน รวยขึ้นกว่า 5 หมื่นเปอร์เซ็นต์ ด้าน อนันต์ อัศวโภคิน ร่วงนั่งที่ 3 รวย 1.76 หมื่นล้าน ส่วนมาลีนนท์ครองแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้น 12 ปีซ้อน 10 เครือญาติครองหุ้นรวม 4.4 หมื่นล้าน
นับเป็นปีที่ 17 แล้ว ที่วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการจัดอันดับ"เศรษฐีหุ้นไทย"มาอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของเศรษฐีหุ้นในปี 2553 ซึ่งวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 กันยายน 2553 จำนวน 5,495 ราย มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 690,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ถึง 235,771 ล้านบาท หรือ 51.88% .
สาเหตุที่ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยในปีนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงกว่า 235,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นในภูมิภาค ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าการถือครองหุ้นของบรรดาเศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 258.23 จุดจากช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 975.30 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 36.01% สำหรับผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2553 ปรากฏว่า ตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2553 ตกเป็นของ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) หลังจากครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 ติดต่อกันมาถึง 4 ปี โดยปีนี้ ทองมา ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 31,422.25 ล้านบาท จากการถือหุ้น PS ในสัดส่วน 58.60% รวยเพิ่มขึ้น 15,591.83 ล้านบาท หรือ 98.49% เนื่องจากราคาหุ้น PS ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.60 บาท หรือ 107.69% จาก 11.70 บาท มาอยู่ที่ 24.30 บาท เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2553 ความมั่งคั่งของแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยคนล่าสุด ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่นำ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 6 ธันวาคม 2548 โดยราคาหุ้น PS ในตอนนั้นอยู่ที่ 6.55 บาท ส่งผลให้ทองมา ก้าวเข้ามาติดอยู่ในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในปี 2549 โดยเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ที่มีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 8,848.33 ล้านบาท จากนั้นทองมาก็ยึดตำแหน่งเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ติดต่อกันอีก 3 ปี โดยในปี 2550 ถือครองหุ้นมูลค่า 11,153.95 ล้านบาท ปี 2251 ถือครองหุ้นมูลค่า 9,599.16 ล้านบาท และปี 2552 ถือครองมูลค่า 15,830.43 ล้านบาท เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ในปีนี้ ได้แก่ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) โดยถือหุ้น BTS ในสัดส่วน 38.69% รวมมูลค่า 17,816.15 ล้านบาท ก้าวกระโดดจากอันดับ 1,631 ในปีที่แล้วที่ คีรี ถือหุ้น บมจ.ธนายง (TYONG) มูลค่าเพียง 34.07 ล้านบาท คิดเป็นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 17,782.08 ล้านบาท หรือ 52,194.11% ส่งผลให้ คีรี รั้งตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยที่มีมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นสูงสุดไปอีกตำแหน่งในปีนี้ สำหรับแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 7 ปีซ้อน อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ปีนี้ร่วงมาอยู่ในอันดับ 3 ถึงแม้ว่าหุ้นที่ถือครองจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนก็ตาม โดยปีนี้ อนันต์ ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 17,635.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,667.96 ล้านบาท หรือ 10.45% ประกอบด้วยหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH) 23.76% มูลค่า 17,631.53 ล้านบาท และ บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) 1.67% มูลค่า 3.77 ล้านบาท ด้าน ประวิทย์ มาลีนนท์ แห่งช่อง 3 ยังคงยึดตำแหน่งเศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ไว้ได้อีกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยหุ้น บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ที่ประวิทย์ถือในสัดส่วน 11.42% มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 3,688.66 ล้านบาท หรือ 71.46% ความมั่งคั่งของประวิทย์ในปีนี้จึงเพิ่มขึ้นเป็น 8,850.50 ล้านบาท ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ได้แก่ วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ เจ้าของสยามแก๊ส เศรษฐีหุ้นที่เพิ่งเข้ามาติดทำเนียบในอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้วเป็นครั้งแรก โดย วรวิทย์ ถือหุ้น บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) 54.13% รวมมูลค่า 8,793.67 ล้านบาท รวยขึ้นถึง 4,473.97 ล้านบาท หรือ 103.57% ด้านทายาทโอสถสภา นิติ โอสถานุเคราะห์ ถูกเบียดร่วงลงจากอันดับ 3 มาอยู่ในอันดับ 6 ในปีนี้ แม้ว่าราคาหุ้นในพอร์ตโดยรวมจะปรับเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม โดยนิติถือครองหุ้นมูลค่ารวม 7,701.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,967.69 ล้านบาท หรือ 34.32% ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 7 ตกลงมาจากอันดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ วิโรจน์ ธนาลงกรณ์ เจ้าของธุรกิจเสื้อชั้นในยี่ห้อ ซาบีนา โดยมีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 6,328.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,947.88 ล้านบาท หรือ 44.47% เศรษฐีหุ้นอันดับ 8-10 ปีนี้ตกเป็นของ 3 พี่น้องแห่งตระกูลมาลีนนท์ซึ่งมีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง หุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) ใกล้เคียงกัน โดยเศรษฐีหุ้นอันดับ 8 ได้แก่ ประชุม มาลีนนท์ ถือครองหุ้นมูลค่า 6,148.51 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 2,550.20 ล้านบาท หรือ 70.87% เศรษฐีหุ้นอันดับ 9 ได้แก่ รัตนา มาลีนนท์ ถือหุ้นครองหุ้นมูลค่า 6,130.08 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 2,548.27 ล้านบาท หรือ 71.14% และเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ได้แก่ อัมพร มาลีนนท์ ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 6,129.31 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 2,548.44 ล้านบาท หรือ 71.17%
สำหรับตระกูลเศรษฐีหุ้นไทย ปีนี้นับเป็นปีที่ 12 แล้ว ที่ตระกูลมาลีนนท์ ยังคงครองตำแหน่งแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเครือญาติในตระกูลมาลีนนท์จำนวน 10 คน ได้แก่ ประวิทย์ ประชุม ประสาร รัตนา อัมพร สกลศรี ปิยวดี นิภา เทรซีแอน และแคทลีน มาลีนนท์ ถือครองหุ้นรวมกันมีมูลค่าทั้งสิ้น 44,176.45 ล้านบาท คิดเป็นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นถึง 18,306.34 ล้านบาท หรือ 70.76% ตระกูลมาลีนนท์ก้าวเข้ามาเป็นแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2540 หลังจากที่นำ บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) เจ้าของไทยทีวีสี ช่อง 3 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2539 ซึ่งนอกเหนือจากหุ้น BEC แล้ว ยังมีหุ้นที่เครือญาติในตระกูลมาลีนนท์ถือครองอีก 3 บริษัทคือ บมจ.ศิครินทร์ (SKR) บมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) และบมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา (CENTEL)
ส่วนตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ได้แก่ ตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ ของแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยประจำปีนี้ โดยครอบครัววิจิตรพงศ์พันธ์ นำโดย ทองมา และภรรยา ทิพย์สุดา รวมทั้งทายาท มาลินี-ชัญญา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ถือครองหุ้น PS ที่ทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรแบรนด์ พฤกษา รวมมูลค่า 37,618.75 ล้านบาท รวยขึ้นถึง 18,804.83 ล้านบาท หรือ 99.95%
ตระกูลอัศวโภคิน ปีนี้ตกลงไปอยู่อันดับ 3 โดย 6 เครือญาติ อนันต์ อนุพงษ์ ทรงพล บุญทรง สุดา และอภิชิต ถือครองหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) และ บมจ.เอพี พร๊อพเพอร์ตี้ (AP) รวมมูลค่าทั้งสิ้น 21,868.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,753.46 ล้านบาท หรือ 8.72% ตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ได้แก่ กาญจนพาสน์ โดยมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 1,135.90% หรือ 18,629.49 ล้านบาท จากการถือครองหุ้น บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ของ คีรี และกวิน กาญจนพาสต์ และการถือครองหุ้น บมจ.บางกอกแลนด์ (BLAND) ของอนันต์ และ สาคร กาญจนพาสน์ คิดเป็นมูลค่าหุ้นที่ตระกูลกาญจนพาสน์ถือครองรวมทั้งสิ้น 20,269.56 ล้านบาท ส่วนตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งเซ็นทรัล ปีนี้อยู่ในอันดับ 5 โดยมีเครือญาติในตระกูลที่ติดอันดับเศรษฐีหุ้นมากที่สุดถึง 30 คน ถือครองหุ้นรวมกันทั้งสิ้น 18,325.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,039.41 ล้านบาท หรือ 37.93%
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
|