HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #6255 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 12:34:52 PM » |
|
พี่ Carrera ยังถือ True อยู่ไหมครับเห็นลงหนักเลยครับ......
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 2329
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 84478
|
 |
« ตอบ #6256 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 12:42:45 PM » |
|
พี่ Carrera ยังถือ True อยู่ไหมครับเห็นลงหนักเลยครับ......
ช๊อตหุ้นครับ  แต่รับกลับ กลัวหลุด 6.6-6.55 มากกว่า ถ้าหลุดนี่เรียกว่าจบรอบขายทิ้งเลยครับ น่ากลัวมาก
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 2329
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 84478
|
 |
« ตอบ #6257 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 12:44:32 PM » |
|
true กำไรมา  เหลือครึ่งเดียว
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #6258 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 02:37:44 PM » |
|
พี่ Carrera ยังถือ True อยู่ไหมครับเห็นลงหนักเลยครับ......
ช๊อตหุ้นครับ  แต่รับกลับ กลัวหลุด 6.6-6.55 มากกว่า ถ้าหลุดนี่เรียกว่าจบรอบขายทิ้งเลยครับ น่ากลัวมาก พี่ Carrera ครับ True หลุด 6.55 บาทแล้วครับรีบหนีด่วนเลยครับ......
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #6259 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 03:57:05 PM » |
|
ดัชนี SET ภาคบ่ายร่วงกว่า 10 จุด จากแรงขายหุ้นบิ๊กแคป
ตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปกว่า 10 จุด หลังจากเปิดทำการในช่วงภาคบ่ายมาได้ไม่นาน เป็นผลจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มแบงก์และพลังงาน โบรกเกอร์มองว่าเนื่องมาจากตลาดคาดว่าตัวเลขการจ้างงานสหรัฐที่จะประกาศคืนนี้น่าจะออกมาดี ก็จะทำให้เงินลงทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ ไปสู่ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งตลาดหุ้น และทองคำ
เมื่อเวลา 14.35 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,040.79 จุด ลดลง 10.19 จุด (-0.97%) ล่าสุดเมื่อ 14.46 น.ดัชนี SET อยู่ที่ 1,040.87 จุด ลดลง 10.11 จุด(-0.96%) นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายร่วงลงกว่า 10 จุด เป็นผลจากการเก็งกันว่าตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่จะประกาศในคืนนี้ คาดว่าจะออกมาดีสะท้อนการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น จาก Flow ที่คงจะหมุนเข้าไปที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯพักหนึ่ง
ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้มีแรงขายทำกำไร Asset ที่ตรงข้ามกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างเงินสกุลอื่นก็อ่อนค่าลงเล็กน้อยในวันนี้ และราคาน้ำมันก็ปรับตัวลง รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity)อื่น ๆ ก็ปรับตัวลงด้วย ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นที่ยังเปิดเทรดอยู่ในขณะนี้หลายตลาดในภูมิภาคก็อยู่ในทิศทางอ่อนลง จากแรงขายทำกำไร
พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 1,035-1,036 จุด แนวต้าน 1,045 จุด ที่มา : RYT9
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #6260 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 03:58:12 PM » |
|
อาการเหมือนแย่งกันขายหนีตายเลยครับ.....น่ากลัวมากครับ 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #6261 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 05:15:47 PM » |
|
วันนี้พีๆโดนมีดบาดกันหรือเปล่าครับ ผมโดนนิดหน่อยครับไม่มาก เห็น Set หลุด 1040 จุดอย่างนี้ ถ้าว่าตามกราฟน่าจะลงไปทดสอบ 1020 จุดอีกรอบครับ......วันจันทร์มาช่วยกันลุ้นอีกทีนะครับ.... 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HOW
Hero Member
   
คะแนน 92
ออฟไลน์
กระทู้: 1467
|
 |
« ตอบ #6262 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 05:30:27 PM » |
|
ต่างชาติขาย 2300 ล้านบาทครับ สู้ต่อไปครับพี่ๆทุกคน....... 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 2329
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 84478
|
 |
« ตอบ #6263 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 05:36:39 PM » |
|
พี่ Carrera ยังถือ True อยู่ไหมครับเห็นลงหนักเลยครับ......
ช๊อตหุ้นครับ  แต่รับกลับ กลัวหลุด 6.6-6.55 มากกว่า ถ้าหลุดนี่เรียกว่าจบรอบขายทิ้งเลยครับ น่ากลัวมาก พี่ Carrera ครับ True หลุด 6.55 บาทแล้วครับรีบหนีด่วนเลยครับ...... รับราคาปิดครับ  ลงเยอะอย่างนี้กำไรแล้วครับ รอเด้งนิดหน่อยก็เลิกเล่นตัวนี้แล้วครับ บ่ายไม่อยู่หน่อยเดียวลงกันหมด Ktb ตั้งรับไว้ 18.2 แต่เช้ารับกลับมาอีก ไม่คิดว่าจะได้วันนี้นะเนี่ยถือว่าช๊อคทำต้นทุนต่ำลงครับ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 2329
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 84478
|
 |
« ตอบ #6264 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 05:40:31 PM » |
|
อาการเหมือนแย่งกันขายหนีตายเลยครับ.....น่ากลัวมากครับ  ลงแรงขึ้นแรงนะครับ  เสียวจริงๆ โอววววว พี่สมชายผมไปไหนเนี่ยยยยย true ต้องไปทดสอบ 6 บาท แต่ หลุด 6.5 นี่ก็หมายถึงหมดรอบแล้วครับ น่ากลัวมากตัวนี้
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #6265 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 05:48:07 PM » |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #6266 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 08:26:33 PM » |
|
เห็นว่ามีประโยชน์ นำมาแบ่งปันครับ โฆสิตชี้โจทย์ศก.พลิกขั้ว ถึงเวลาไทยปรับตัวรับมือ โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ มองโจทย์เศรษฐกิจเปลี่ยนทิศ ผลจากความตกต่ำของประเทศพัฒนา หมดยุคโลกตะวันตกดันเศรษฐกิจ จีนต้องหันกลับพึ่งการเติบโตในประเทศ เชื่อมีทางทำสำเร็จด้วยทฤษฎีใหม่ ปริมาณผู้บริโภคและค่าแรงที่สูงขึ้นขยายขนาดของตลาด ไทยต้องปรับโครงสร้างรับโจทย์ที่เปลี่ยนแปลงจากผลที่จะเกิดขึ้นจากหลากปัจจัย ขณะที่มองธุรกิจแบงก์ปีนี้แข่งขันดุเดือด เหตุทุกแบงก์มีความพร้อม ระบุหมดเวลานโยบายผ่อนคลายเตรียมภาวะดิ้นรนกันตามปกติได้แล้ว นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง Smart CEO Smart Vision ทิศทางเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารในปี 2554 ในงาน Thailand Smart Money 2010-2011 ซึ่งจัดโดยเครือหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยธุรกิจ ว่า ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย หากแยกกล่าวถึงจะมี 2 มิติ คือ มิติระหว่างประเทศ ที่ปัจจุบันถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากเศรษฐกิจระหว่างประเทศค่อนข้างผันผวน และยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหา ส่วนอีกมิติเป็นเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศ
สำหรับมิติระหว่างประเทศ การที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอัน 1 ของโลก และเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมาในระยะเวลา 30 ปี แต่เมื่อปี 2552 เศรษฐกิจของสหรัฐกลับติดหล่มจากปัญหาวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ส่งผลกระทบทำให้การค้าขายของโลกหดตัวลง และยังส่งผลกระทบถึงความเป็นอยู่ของคนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสหรัฐพยายามหาทางดูแลตัวเอง ด้วยวิธีการหาทางคลี่คลายการขาดดุลการค้า ทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้น จึงเป็นที่มาของการทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง โดยได้มีการออกมาตรการ QE2 ซึ่งยิ่งทำให้เงินของสหรัฐมีแนวโน้วอ่อนแอลงไปอีก แต่มาตรการนี้นับว่าได้ผลบ้างในแง่ของการส่งออกที่ดีขึ้น การแก้ปัญหาของสหรัฐทำให้เห็นได้ว่า สหรัฐอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากการขาดดุลการค้า การใช้นโยบายการเงินอุดหนุนเศรษฐกิจ มาเป็นการสนับสนุนการส่งออกมากขึ้น โดยมุ่งหวังเศรษฐกิจเติบโตพอที่จะลดปัญหาการว่างงาน
ในปี 2554 สหรัฐยังไม่พร้อมที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันประเทศในยุโรปก็มีปัญหา และญี่ปุ่นก็อยู่ในอาการที่ไม่ค่อยดีนัก โดยมีปัญหาในลักษณะที่ไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจได้ เมื่อดูแล้วจะเห็นได้ว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วหรือกลุ่ม G7 ต่างอ่อนแอเหมือนกันหมด ทำให้ประเทศไทยที่เคยโตด้วยเหตุผลจากการส่งของออกไปขายในประเทศเหล่านี้ ต้องเปลี่ยนโจทย์ในการพัฒนาประเทศ นายโฆสิต กล่าวต่อไปว่า นอกจากเศรษฐกิจของโลกตะวันตก มิติระหว่างประเทศยังต้องจับตามองที่จีน เนื่องจากตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่สหรัฐเข้าสู่ยุคของการปรับตัวอย่างรุนแรง จีนก็มีการปรับตัวแต่ไม่ได้มากมาย และยังทำได้สำเร็จ คือ สามารถที่จะดำรงรักษาอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุด จีนเป็นประเทศที่มีวิถีการพัฒนาในแบบอาศัยการส่งออก โดยมีสหรัฐอเมริกาและประเทศที่ร่ำรวยเป็นผู้ซื้อสินค้าจากจีน แต่ปัจจุบันปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น คงไม่สามารถทำให้จีนส่งออกได้มากมายเช่นที่ผ่านมา ดังนั้นหลายคนเห็นว่าจีนควรทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนไม่ยินยอม และที่ผ่านมาจีนพยายามประวิงเวลาเพื่อรักษาสถานภาพค่าเงินหยวน รักษาประโยชน์ต่อการส่งออกของจีนเอง
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #6267 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 08:27:13 PM » |
|
อย่างไรก็ดี ทางการจีนยอมรับว่าในอนาคตข้างหน้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการส่งออกไปเป็นการเจริญเติบโตภายในประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจีนจะสามารถทำได้ เนื่องจาก 1.จีนเป็นประเทศที่มีพลเมืองจำนวนมาก ทำให้มีความต้องการบริโภคมาก 2.ค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประชากรจีนมีฐานะดีขึ้น แต่การเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจของจีนคงยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เพราะถ้าเกิดสะดุดจีนจะมีปัญหามาก เนื่องจากในทางการเมืองจีนถือเป็นประเทศที่ใหญ่ แต่ยังไม่ได้เป็นประเทศที่ร่ำรวย
ถ้าถามว่าใน 2-3 ปีข้างหน้า การเปลี่ยนผ่านของจีนเพื่อตอบโจทย์ใหม่จะเป็นไปได้อย่างไร ในความคิดของผมขณะนี้จีนมีโอกาสเจริญเติบโตต่อไปได้ เนื่องจากค่าจ้างแรงงานกำลังสูงขึ้น แต่จีนก็ต้องระมัดระวังการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง เพราะถ้าดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาฟองสบู่ ซึ่งจีนได้ระมัดระวังเรื่องนี้อยู่แล้ว ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวและเผยต่อไปว่า
แรงส่งจากปริมาณผู้บริโภคและค่าแรงที่สูงขึ้นถือว่ามีน้ำหนักพอสมควร ทำให้ในระยะเวลาใกล้ๆ นี้จีนจะสามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจของตัวเองได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และถ้าเอาจีนรวมกับอินเดีย จะเห็นได้ว่ากำลังทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ยังดีอยู่ โดยในปี 2553 จีนมีการเติบโต 10% และอินเดียมีการเติบโต 8-9% และในปี 2554 เชื่อว่าจะเติบโตในลักษณะเดียวกัน ซึ่งการเติบโตของจีนและอินเดียจะเป็นโจทย์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ เมื่อโจทย์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยน ปัจจัยสำคัญต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย โดยยุคปัจจุบันจำนวนประชากรถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการชี้ขนาดของตลาด เมื่อมีคนบริโภคมาก ตลาดก็มีขนาดใหญ่ และยิ่งคนบริโภคมีฐานะดีขึ้น ตลาดก็จะดีขึ้นตาม ซึ่งจีนมีศักยภาพตรงนี้เช่นเดียวกับอินเดีย โดยจีนมีประชากร 1,400 ล้านคน อินเดียมี 1,200 ล้านคน ขนาดของตลาดใหญ่มากเมื่อรวมจีนกับอินเดียไว้ด้วยกัน นับเป็นเรื่องที่น่าสนในสำหรับไทย เนื่องจากทั้งสองประเทศนี้อยู่ในเอเชีย จะสร้างอานิสงส์ให้กับเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่อยู่ระหว่างจีนกับอินเดีย ที่เรียกว่าภูมิภาคอาเซียนถือเป็นยุทธภูมิที่มีแรงส่งที่ดี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 50462
|
 |
« ตอบ #6268 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 08:27:41 PM » |
|
สำหรับประเทศไทยเองก็ยังมีแรงส่งจากที่รัฐบาลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีโครงการต่างๆ มากมายแต่ยังไม่ได้ทำ ซึ่งถึงขณะนี้บรรยากาศในการลงทุนดีขึ้น และหลายๆ โครงการได้มีการประมูลไปแล้ว ทำให้จะเริ่มเห็นการลงทุนของภาครัฐ ส่วนภาคเอกชนก็จะมีการขยายงาน ขยายการก่อสร้าง ขณะที่ปัจจัยที่จะเป็นกำลังส่งที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งจะมาจากผู้บริโภค จากการที่ผู้บริโภคในชนบทที่เป็นผู้บริโภคส่วนใหญ่กำลังจะได้อานิสงส์จากราคาสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นราคายางและอ้อยที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดกำลังซื้อจากคนจำนวนมาก ส่วนแรงส่งจากภาคการส่งออกจะลดลงจากปี 2553 ซึ่งภาพรวมในปี 2554 แรงส่งเศรษฐกิจของไทยยังพอไปได้ ทำให้เศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้ 4-5% ถือเป็นอัตราการเติบโตที่ปกติสำหรับไทย
นายโฆสิต กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ คุณภาพของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ หากยังไม่มีการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเจริญเติบโตอาจไม่ยั่งยืน เนื่องจากโจทย์เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทห้างร้านต่างๆ จะต้องปรับตัวหรือปรับปรุงโครงสร้างเพื่อรองรับโจทย์ที่เปลี่ยนแปลง เพราะในขณะที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ไทยก็เหมือนกับทุกประเทศที่ใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่วันนี้ความจำเป็นนั้นหายไปแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังกลับไปสู่ภาวะปกติ เป็นโจทย์ที่รัฐบาลจะต้องดูว่าทำอย่างไรที่งบประมาณจะสมดุล ทำอย่างไรดอกเบี้ยจะกลับไปสู่ภาวะปกติ หรือใกล้เคียงกับเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกันไทยจะต้องปรับตัวให้เกิดความเข้มแข็ง เพื่อให้ความเจริญมีความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ในการพัฒนาประเทศ ต้องหาวิธีบริหารจัดการเพื่อตอบสนองกับโครงสร้างที่เปลี่ยนไป โดยเรื่องแรก เนื่องจากทรัพยากรของไทยน้อยลง ไม่สามารถนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เพื่อให้ได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งต่อไปไทยต้องร่วมมือกับเพื่อนบ้านด้วยซ้ำไป เช่น การขยายผลผลิตน้ำตาล ที่อาจจะต้องไปปลูกอ้อยที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งการให้ความสำคัญและมีมีการทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ส่วนเรื่องที่สอง ประเทศไทยไม่ใช่เป็นประเทศที่ค่าแรงต่ำเมื่อเทียบกับตัวเลขค่าจ้างแรงงานกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยค่าแรงสูงสุดในอาเซียน คือ สิงคโปร์ อยู่ที่ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐ มาเลเซีย 670 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยอยู่ที่ 245 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังมากกว่าฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะที่ค่าแรงเป็นรายได้ของคนหรือผู้บริโภค และผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อก็คือตลาด ถ้ามองจากปัจจัยในประเทศ การที่ไทยมีค่าแรงต่ำทำให้ขนาดของตลาดแคบ และเมื่อมีปัญหาเรื่องการส่งออกทุกอย่างก็จบ ไม่มีแรงส่งภายในประเทศ
ดังนั้น การที่ไทยมีกระบวนการเดียวกับจีน จะต้องไปสู่ทิศทางที่อำนาจการซื้อของคนในประเทศดีขึ้น แต่อำนาจการซื้อจะดีขึ้นได้อย่างไรในเมื่อค่าแรงคงที่ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นโจทย์สมัยใหม่ คือ อำนาจซื้อเป็นตัวกำหนดขนาดของตลาด ประเทศไทยมี 67 ล้านคน ถ้าทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้นขนาดของตลาดก็ใหญ่ขึ้น และถ้าจะอาศัยตลาดในประเทศก็ต้องทำแบบนี้ ต้องปรับโครงสร้างตรงนี้เป็นกระบวนการ และต้องทำให้ได้ดีด้วย ไม่เช่นนั้นอัตราการเจริญเติบโตที่มีแรงส่งอยู่ในขณะนี้ อีก 2-3 ปีก็จะหมดแรง ถ้าไม่อาศัยเรื่องพวกนี้มาช่วย
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องโครงสร้างและมีความสำคัญ คือ เรื่องของจำนวนแรงงาน ซึ่งทุกวันนี้ไทยขาดแรงงาน ตัวเลขของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่าไทยใช้แรงงานต่างด้าว 2 ล้านคน การที่ไทยจะเพิ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากขึ้นจะเอาคนที่ไหน ทรัพยากรในประเทศไม่มีแล้วจะทำอย่างไร ตลาดภายในประเทศก็เล็กแล้วจะทำอย่างไร ลองนึกดูว่าประเทศที่ส่งแรงงานเข้ามาในไทย วันหนึ่งประเทศเขาก็ต้องก้าวหน้า แรงงานของเขาจะกลับไป แล้วเราจะทำอย่างไร โจทย์มันใหญ่มาก และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาคิดเรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้นค่าแรงถือว่าเรื่องเล็ก แต่ไม่มีคนทำงานเป็นเรื่องใหญ่กว่า นายโฆสิตกล่าว และบรรยายต่อไปว่า
ส่วนเรื่องสำคัญประการ คือ การที่ประชากรในประเทศมีอายุมากขึ้น เมื่อคนมีอายุมากขึ้นการใช้จ่ายจะลดระดับลงไป การทำมาหากินก็จะถดถอย โดยเมื่อปี 2552 ไทยมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปถึง 11% หรือ 7 ล้านคน ขณะที่อีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านคน คิดเป็น 17.5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เมื่อคนสูงอายุมีมากขึ้น กำลังแรงงานจะน้อยลง ขนาดตลาดจะเล็กลง ดังนั้นจะต้องหาวิธีการให้คนแต่ละคนมีรายได้สูงขึ้น โดยเฉพาะการสร้างงานสำหรับคนชั้นกลางถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ซึ่ง ณ วันนี้ มีจำนวนคนในวัยทำงานในไทยมี 39 ล้านคน เวียดนามมี 48 ล้านคน อินโดนีเซีย 118 ล้านคน ไทยจึงไม่มีความได้เปรียบด้านกำลังแรงงานเลย ซึ่งไทยเป็นกำลังเผชิญกับโจทย์ที่เปลี่ยนไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความสำคัญอยู่ที่ว่าไทยมีแนวทางที่ตอบสนองต่อโจทย์ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่ การที่รัฐบาลออกนโยบาย เช่น การแจกอะไรต่างๆ น่าจะต้องมีการถามด้วยว่านโยบายของรัฐบาลมีเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ถ้าไม่มีทรัพยากรรัฐบาลจะทำอย่างไร ค่าแรงสูงรัฐบาลจะทำอย่างไร ไม่มีคนทำงานรัฐบาลจะทำอย่างไร ประชากรแก่ขึ้นรัฐบาลจะทำอย่างไร เป็นคำถามที่ต้องช่วยกันคิด เพราะว่ารัฐบาลเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คนไทยจะต้องช่วยกันสร้างสรรค์เรื่องเหล่านี้
ส่วนทางด้านทิศทางธุรกิจธนาคารในปี 2554 นายโฆสิต กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยสะดุดปัจจัยบางอย่าง แต่ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ ขณะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังเดินไปได้เรื่อยๆ ขณะเดียวกันธุรกิจธนาคารไม่ได้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ก็ลดลงตามลำดับ และทุนก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากธุรกิจธนาคารของไทยได้รับผลกระทบจากจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์น้อยมาก และไทยมีระบบธนาคารที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เศรษฐกิจจะกลับมาเป็นระบบปกติ ทำให้ในช่วงปี 2554 ธนาคารพาณิชย์มีความพร้อมเหมือนกันหมด การแข่งขันคงดุเดือดยิ่งขึ้น
นโยบายใหญ่ที่คล้ายๆ กับการผ่อนปรน คงจะพ้นความจำเป็น เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ตกต่ำลงแล้ว เรื่องพวกนี้คงต้องทำความเข้าใจกัน เพราะเหตุการณ์กำลังเปลี่ยน โจทย์กำลังเปลี่ยน การที่เรากำลังเพลินกับสถานการณ์ที่ผ่อนปรน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถฟรี สิ่งเหล่านี้กำลังจะหมดไป ถึงเวลาที่อาจจะต้องเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจว่าไม่ใช่อีกแล้ว ปี 2554 เป็นปีที่กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว นายโฆสิต กล่าวในที่สุดhttp://dbbnews.com/index.php/1/1-page1/553-2011-01-07-04-06-15
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 2329
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 84478
|
 |
« ตอบ #6269 เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 09:07:38 PM » |
|
ถึงเวลาที่อาจจะต้องเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจว่าไม่ใช่อีกแล้ว ปี 2554 เป็นปีที่กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว นายโฆสิต กล่าวในที่สุด[/b]
ยอดครับ ท่านสรุปได้มีเหตุผลน่าเชื่อถือเสมอ  นายแบ็งค์หลายท่านที่เก่งนี่เก่งจริงๆ มีความรู้และข้อมูลในมือเพียบ ปล.จากลูกน้องเก่า
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|