
คำตอบครับ...

- Nargis เป็นภาษาอาราบิท ซึ่งชาวมุสลิมนิยมนำใช้ตั้งชื่อเด็กผู้หญิง ความหมายที่แท้จริงยังไม่ระบุแน่ชัด แต่ความหมายที่ใกล้เคียง
คือ ดอกไม้ และดอก Narcissus
ดอก Narcissus 
- ดอก Narcissus เป็นลักษณะดอกพลับพลึงที่เป็นดอกสีขาว และ สีเหลือง ออกดอกในฤดู ใบไม้ผลิ
- ตำนานของดอก Narcissus มีเล่าอยู่ในหนังสือเทวดากรีก-โรมันของ อ. สายสุวรรณ ในตอนนางสะท้อนเสียง กับเจ้าพลับพลึง
ทั้งคู่มาเกี่ยวข้องกันโดยบังเอิญ ทุกคนคงรู้จักคำว่า Echo เสียงเอคโค คือ เสียงสะท้อนกลับ เมื่อเราเอ่ยวาจาใด ไปก็ตามเสียงนั้นก็จะสะท้อนกลับ มาหาเจ้าของเสียง
- เรื่องมีอยู่ว่า
เจ้าแม่เดียนา มีนางอัปสรเป็นบริวาร มากมาย แต่มีอยู่นางหนึ่งเป็นที่โปรดปรานคือ นางเอคโค (Echo) มักจะตามเสด็จไปกับเจ้าแม่ตามลำเนาป่าเขาอยู่เสมอ แต่นางเอคโค มีข้อบกพร่องอยู่ประการหนึ่งก็คือ นางเป็นคนช่างพูดเกินไป นางมักจะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นได้พูดคำสุดท้ายเลย โดยนาง ผูกขาด พูดอยู่ฝ่ายเดียว เพราะถ้าคนเราได้ผลัดกันพูด ในระหว่างสนทนา ก็จะเป็นที่สนุกสนาน แต่ถ้าผูกขาดพูด อยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายก็จะเกิดความเบื่อหน่าย และ เมื่อนางเอคโคใช้อุปนิสัยเช่นนี้ไม่ถูกกาลเทศะ ก็ทำให้เกิดเรื่อง
- เมื่อวันหนึ่ง เจ้าแม่ยูโนเสด็จมาหาเทพบดี สวามีในป่าเมื่อสงสัยว่าพระสวามีคงจะมาข้องแวะกับพวกนางอัปสร และเมื่อเจอนางเอคโค ระหว่างทาง นางเอคโคจึงเพ็ดทูลเจ้าแม่ จนเจ้าแม่รำคาญและรู้สึกเสียเวลา จึงทำให้พระสวามีของเจ้าแม่ได้โอกาสขับไล่นางอัปสรเหล่านั้น ไปเสียก่อนที่เจ้าแม่จะมาถึง เจ้าแม่ยูโนจึงกริ้วนางเอคโค ที่เป็นเหตุให้เสียแผนการ จึงได้เรียกนางมาสาบว่า "ต่อแต่นี้ไปเจ้าอย่าหมายว่าจะพูดได้คล่องปาก ดังแต่ก่อน เจ้าสามารถเพียงได้แต่ ทวนคำ พูด ที่ผู้อื่นพูดเท่านั้น จะปริปากพูดก่อนหาได้ไม่"
- นับแต่นั้นมานางเอคโคจึงพูดกับใครไม่ออกได้แต่ทวนความที่ผู้อื่นพูด นางจึงถูกเพื่อนอัปสรเยาะเย้ย ถากถาง จึงทำให้นางเอคโคไม่พบปะ กับใครอีก จนวันหนึ่ง มีหนุ่มรูปงามเข้ามาเที่ยวในป่า หนุ่มน้อยมีนามว่า นาร์ซิสซัส (Narcissus) ซึ่งเป็นที่หมายปองของนางอัปสรในละแวกนั้น นางเอคโคก็มีความหลงใหลในตัวนาร์ซิสซัสเช่นกัน แต่ก็พูดขึ้นก่อนไม่ได้ ต้องคอยให้นาร์ซิสซัสพูดขึ้นก่อนเท่านั้น
-ฝ่ายนาร์ซิสซัสก็รู้ตัวว่าถูกใครตาม จึงร้องถามว่า "ใครมา" นางเอคโคก็ทวนคำพูดนั้น และไม่ว่านาร์ซิสซัสจะพูดคำใดนางเอคโคก็จะทวนคำพูดเหล่านั้น นาร์ซิสซัส พูดว่า "ออกมาหาข้าเถิด" นางเอคโคก็ทวนคำพูดนั้นเช่นกัน และเมื่อนางเอคโคมาปรากฎตัวต่อหน้านาร์ซิสซัส คิดว่าคงจะลุ่มหลงนาง แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า นาร์ซิสซัส ถอยหนีด้วยความเกลียดชัง นางจึงมีความเสียใจ และ ตรอมใจจึงแฝงกายอยู่ตามถ้ำ จนที่สุดนางก็ไม่มีรูปกาย ส่วนกระดูกก็กลายเป็นหิน คงอยู่แต่เสียงก่น และทวนคำพูดของผู้อื่นอยู่ร่ำไปตราบจนทุกวันนี้
- ฝ่ายนาร์ซิสซัส ก็แสดงความรู้สึกเกลียดชัง และไม่ใยดีต่อนางอัปสรเหล่านั้น เป็นเหตุให้นางหนึ่งเกิดความเคียดแค้น จึงได้ไปบนบานต่อเทวีแห่งความพยาบาท เพื่อบันดาลให้นาร์ซิสซัสรู้เสียบ้างว่า การที่ไม่รักตอบกับคนที่รักจะมีความทุกข์เพียงใด เทวีแห่งความพยาบาท จึงบันดาลให้วันหนึ่ง นาร์ซิสซัส เที่ยวไปถึงลำธารแห่งหนึ่ง และน้ำในลำธารใสดังกระจก เมื่อนาร์ซิสซัสกระหายน้ำ จึงก้มลง วักน้ำดื่ม และก็ปรากฎ เกิดภาพเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ
- นาร์ซิสซัสเกิดความลุ่มหลงรูปตนเองในน้ำคิดว่าภาพนั้นเป็นภูตประจำลำธาร ยิ่งหลงมาก จึงขยับท่าจะเข้าไปตะกองกอด แต่พอมือสัมผัสน้ำภาพก็ไหวและหายไป เมื่อน้ำกลับนิ่งดังเก่า ภาพนั้นก็ปรากฎอีกหลายครั้ง จนนาร์ซิสซัสสะท้อนใจ เมื่อไม่สมหวังแต่จะหักใจปลีกตนก็ไม่สำเร็จ นาร์ซิสซัส ลุ่มหลงมีจิตหมกมุ่นแต่รูปที่ตนเองเห็นอย่างเดียว จึงทรุดกายลงเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น ในไม่ช้านาร์ซิสซัสก็ถอนตัวไม่ขึ้น เพราะเกิดรากงอกหยั่งลงไปในดิน ใบก็แตกออกตามตัว ส่วนหน้าที่โน้มพินิจดูน้ำอยู่ตลอด ก็กลายเป็นดอก นาร์ซิสซัส จึงกลายร่างเป็นต้นพลับพลึง กลายเป็นต้นตระกูลพลับพลึง ที่มักขึ้นตามริมน้ำและที่ชื้นแฉะ สืบทอดมาถึง ปัจจุบัน