พอค้นไปเรื่อยๆ...
ที่มา :
http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=2682&stissueid=2571&stcolcatid=2&stauthorid=17 บทความ-สารคดี ภาษาที่ควรแก้ไขในสื่อ โดย สุดสงวน
ฉบับที่ 2571 ปีที่ 50 ประจำวัน อังคาร ที่ 27 มกราคม 2547
แม้ว่าไม่ได้ตั้งหน้าจะจับผิด แต่ก็มีภาษาผิดๆที่ ยามภาษา ของ สุดสงวน ช่วยส่งข่าวผ่านโทรศัพท์บ้าง โทรสารบ้างมาให้ช่วยเตือนสื่อมวลชนที่ใช้ภาษาไม่สมควรเผยแพร่อยู่เสมอ ซึ่งนานๆ สุดสงวน ก็รวบรวมมากระซิบกันเสียที หวังว่าเพื่อนๆในวงการของเราจะเข้าใจเจตนาดี คือ มิได้หมายใจจะประจานแต่ประการใด หากปรารถนาให้ผู้ที่อ่านพบ โดยเฉพาะเยาวชนของชาติ จดจำแต่ภาษาที่ถูกต้องไปใช้ เพื่อช่วยกันรักษาภาษาไทยให้บริสุทธิ์นานเท่านาน สมดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานทุกๆโอกาสที่พระองค์ทรงเห็นสมควร
คราวนี้ก็คงมีเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเสนอให้ช่วยกันคิดดังเคย
เรื่องที่หนึ่ง คำแรกที่ใคร่จะนำมาคุยกันวันนี้ คือคำที่สื่อมวลชนไทยชอบใช้ว่า โลโก้
คำว่า โลโก้ นี้นักอ่านทั่วไปทราบดีว่ามาจาก logo ในภาษาอังกฤษ ความจริงอย่างหนึ่งก็คือ logo ย่อมาจากคำว่า logotype อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งคำเดิมในภาษาอังกฤษหมายถึง แบบที่เป็นสัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมาย โดยทั่วไป มักเป็น เครื่องหมายการค้า บ้าง เป็น สัญลักษณ์ (symbol) บ้าง ที่ไทยเราคุ้นเคยมาก่อน ได้แก่ คำที่มาจากภาษาจีนก็คือ ยี่ห้อ อันหมายถึง ตราของสินค้า หรือ ตราของร้านค้า และ/หรือ ตราขององค์กร ต่างๆก็ได้
ความจริง การใช้คำว่า โลโก้ ก็ทำให้เข้าใจกันได้ แต่ในฐานะที่เรามีคำไทยที่ควรใช้ให้เยาวชนหรือผู้เรียนมาน้อยเข้าใจง่าย ถ้าเราจะใช้ว่า ตรา หรือ สัญลักษณ์ ก็น่าจะเหมาะกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่สื่อใช้เรียกว่า โลโก้พรรคประชาธิปัตย์ (ที่เกิดเรื่องเพราะคนงานจำนวนไม่กี่คนไปยกสัญลักษณ์ที่หนักมากนั้น เลยถลำลงไป) หากเรียก ตรา หรือ สัญลักษณ์ น่าจะเหมาะกว่าที่เรียก โลโก้ เป็นไหนๆ เพราะคำว่า ตรา หรือ สัญลักษณ์ รวมทั้ง ยี่ห้อ นั้นเราใช้มานานและเข้าท่ากว่าจะเป็นทาสภาษาอังกฤษกันไปเป็นไหน
เมื่อพูดถึง โลโก้ แล้ว ทำให้นึกถึงอีกคำหนึ่งที่ใช้กันมากในวงการโฆษณาและวงการธุรกิจปัจจุบัน นั่นคือคำว่า แบรนด์ ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษ brand ทำนองเดียวกัน
สมัยก่อน คำ แบรนด์ อาจใช้หมายถึง ตรา หรือ สัญลักษณ์ หรือ ยี่ห้อ แต่ปัจจุบันนี้วงการโฆษณาและธุรกิจบอกว่า คำว่า แบรนด์ กว้างกว่านั้นมากกว่ามากนัก เพราะรวมถึง ชื่อเสียง-เกียรติภูมิ-ความเชื่อมั่น-ความเชื่อถือที่ลูกค้าหรือประชาชนทั่วไปมีต่อสินค้านั้น-บริษัทนั้น หรือองค์กรนั้น ฯลฯ พอนักประชาสัมพันธ์แปลให้อย่างที่เคยใช้มา นักโฆษณาก็บอกว่ายังไม่คลุมความหมายทุกอย่างนั้น พวกนักประชาสัมพันธ์เลยจนใจ ยอมให้พวกนักโฆษณาใช้คำว่า แบรนด์ ไปตามใจ (เพราะพวกโฆษณาเขามีสิทธิ์ใช้เงินมากกว่าพวกนักประชาสัมพันธ์มากมายหลายเท่านัก เสียงของพวกเขาเลยมีอำนาจมากกว่าเป็นธรรมดา...แฮ่ม...!)
สำหรับความเห็นส่วนตัวของ สุดสงวน คิดว่า ตรา หรือ สัญลักษณ์ หรือ ตราสัญลักษณ์ ก็น่าจะใช้แทน โลโก้ หรือ แบรนด์ ได้
เรื่องที่สอง ความสับสนระหว่างคำ ค้อน-ฆ้อน เพื่อนคนที่ชมเสมอว่า นสพ. ไทยรัฐ มักไม่ใคร่มีคำผิดให้เห็นบ่อยนัก คราวนี้โทรศัพท์มาว่าสงสัยคนเขียนวิเคราะห์ข่าวการเมืองหน้า ๓ วันหนึ่งจะเข้าใจผิดเสียแล้ว เพราะในข่าวงานครบรอบพรรคชาติไทยที่หัวหน้าพรรคชาติไทย (คุณบรรหาร ศิลปาอาชา) เคยมอบ ฆ้อน ให้ คุณกร ทัพพะรังสี หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเมื่อปีก่อนๆนั้น ปีนี้ไม่มีการมอบ ฆ้อน ให้ คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเลย ไม่ว่า ฆ้อน โฟมหรือ ฆ้อน เหล็ก
เห็นเขียน ฆ้อน ดังนี้ทุกคำ แสดงว่าเขาเข้าใจว่าเขียนเช่นนั้นจริง เรื่องนี้เราเข้าใจว่าเขาคงเผลอไปติดภาพคำว่า ฆ้อง มา ไม่เช่นนั้น เขาคงสะกดเป็น ค้อน ตามที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติไว้ เพราะคำว่า ค้อน นั้น พจนานุกรมให้ความหมายว่า ชื่อเครื่องมือที่มีหัวและด้ามสำหรับเคาะ ตอก ตี ทุบ ลักษณนามว่า เต้า หรืออัน หรือ เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ในการจับปลา นั่นเป็นความหมายที่เป็นคำนาม ส่วนที่เป็นคำกริยาก็มีว่า แสดงความไม่พอใจด้วยการตวัดสายตา
นอกจากนั้นยังมีคำกริยา ค้อนควัก ซึ่งมีคำอธิบายว่า ค้อนจนหน้าคว่ำ ควักค้อน ก็ว่า นอกจากนั้นก็มี ค้อนติง ซึ่งเป็นคำกริยาโบราณ ที่มีความหมายว่า ทักท้วงแสดงความไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ก็ถือว่ามีแนวเทียบผิด (เหมือนคนที่เข้าใจผิด เขียน ทูต เป็น ฑูต เขียน นาที เป็น นาฑี เขียน ทีฆายุโก เป็น ฑีฆายุโก (เรื่องนี้ สังเกตได้ แม้คอมพิวเตอร์ยังไม่ยอมเขียน ฆ้อน ให้เลย มักเปลี่ยนกลับไปเป็น ค้อน ที่เขียนถูกอยู่ร่ำไป) เรื่องที่สาม ยามภาษา-สมัครเล่น (ส่งเสียงมาทางโทรศัพท์ว่า) รายการอะไรสักอย่างทางโทรทัศน์ช่อง ๙ อ.ส.ม.ท. โมเดิ้นไนน์ เขียนภาษาวิบัติว่า มาตรฐาน (อย่างน้อยที่ ยามภาษา-สมัครเล่น เธอเห็น) สองครั้งสองครา แสดงว่าคนที่เขียนคำนี้คงเข้าใจเช่นนั้นจริงๆ
ความจริง คำที่เทียบกับภาษาอังกฤษว่า standard นั้น คนทั่วไปรู้ดีว่าคนไทยใช้ว่า มาตรฐาน มานานแล้ว แม้ปี-สองปีมานี้ มีคำฮิตคือ ดับเบิ้ลสแตนดาร์ด คนทั่วไปยังเรียกทับศัพท์ว่า สองมาตรฐาน) มีแต่คนรุ่นใหม่ (บางคน-ขอย้ำว่า บางคน เท่านั้น) ที่ไม่เอาใจใส่ว่า คำที่เขียนถูกต้อง เขาเขียนว่าอย่างไร ผู้เขียนก็เคยได้ยิน ผู้ดำเนินรายการบางคนอ่านว่า มาตรฐาน แต่เข้าใจว่าคนอ่านนั้น อ่านผิดเองกระมัง แต่เมื่อมีคนยืนยันว่าเธอเห็นกับตาว่าเขาเขียนอย่างนี้ด้วย และอ่านอย่างนี้ด้วย (คืออ่านยืดเสียง ตรา ยาว) ก็ขอฟ้องให้คนที่ดูแลเรื่องภาษาไทยของช่อง ๙ ช่วยกำชับให้แก้ไขด้วย ถ้ายังไม่มีใครบอกกล่าว ต่อไปจะฟ้องถึง คุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการโดยตรงเลยละ...ฮึ่ม...!!
เรื่องที่สี่ เพื่อน ยามภาษา บอกกล่าวให้ช่วยเขียนถึงคนทำงานสื่อมวลชนยุคใหม่ (บางคน) ที่ไม่รู้จักแยกคำว่า พลู กับ พู ให้ด้วย
ผู้เขียนไม่รู้จะบ่นไปที่ใด ก็เลยถือเป็นหน้าที่ที่จะบ่นผ่านคอลัมน์นี้ว่า พลู นั้นหมายถึง พืชที่เป็นไม้เถาชนิดหนึ่ง ใบมีรสเผ็ดร้อน ใช้เคี้ยวกับหมาก (โบราณเรียกว่ากินหมาก) และใช้ทำยาได้ พืชชนิดนี้ แต่ก่อนมีปลูกทั่วไปเพราะเป็นของจำเป็นของคนไทย ถึงขนาดที่มีปลูกเป็นสวนหรือไร่ขนาดใหญ่ มีตลาดค้าขายเป็นที่เลื่องชื่อคือที่เรียกว่า ตลาดพลู ฝั่งธนบุรี แถวถิ่นที่อยู่เก่าของ หลวงเมือง หรือ หมอทรัพย์ สวนพลู แห่ง มติชน ยังเหลือชื่อให้เด็กยุคใหม่สงสัยอยู่ทุกวันนี้ ว่าไม่เห็นมีพลูที่ไหน
ส่วนคำว่า พู นั้น เป็นคำนามเหมือนกัน แต่หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะนูนขึ้นมา เช่น พูทุเรียน (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) หรือ เป็นชื่อเรียกถั่วชนิดเป็นเหลี่ยมชนิดหนึ่ง ใช้รับประทานเป็นผัก มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนผักสีเขียวทั่วไปว่า ถั่วพู
ยามภาษา เพื่อนเก่าและแก่ของ สุดสงวน บ่นว่า เดี๋ยวนี้มีเยาวชนยุคใหม่ (เยาวชนยุคเก่าช่างเขาเถอะ!!) ไม่รู้จักแยกแยะ อยู่ๆก็เรียก ถั่วพลู บ้าง ขอทุเรียนสักพลู บ้าง อยากทำตามใจพวกเขาโดยเอา พลู จริงๆมาให้กิน อยากรู้ว่าจะต้องไปกระโดดน้ำอย่างในโฆษณาอาหารสำเร็จรูปไหม
เยาวชนยุคเก่านั้นมีคำทายกันสนุกๆว่า อะไรเอ่ย รีๆเหมือนใบพลู มีรูตรงกลาง รอบข้างมีขน พลันก็จะถูกเพื่อนๆผู้หญิงซัดเผียะเข้าให้ พลางส่งค้อนวงใหญ่พร้อมต่อว่าๆ เซี้ยว หรือ สัปดน ตาบ้า ทั้งๆที่คำทายนั้นไม่ได้สัปดนสักนิด หากเฉลยว่า ใบหูของวัวหรือหูควายย่ะ
ส่วนที่เรียกใบ พลู เป็น พู ก็มีเหมือนกัน แต่เป็นพวกลิ้นแข็ง ครูบาอาจารย์ไม่สั่งไม่สอนให้รู้จักพูดอักษรควบกล้ำ เหมือนผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินบางคน ต่อไปถ้าภาษาวิบัติอาจต้องเชิญท่านเหล่านั้นมาขูดลิ้น แล้วสอนให้พูดควบกล้ำให้ถูกทั้งเช้า-กลางวัน-เย็น เป็นนกแก้วนกขุนทองเสียให้เข็ด ทำเป็นเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศดีนัก แต่ภาษาของบรรพบุรุษไทยของตนกลับไม่ใส่ใจ...อนิจจา...ท่านผู้ทรงเกียรติ!!
ปล. ภาษาไทยใครว่าง่าย