ความคืบหน้าโครงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยในปี ๒๕๕๘-๑ครั้งนี้จะมานำเสนอความคืบหน้าของโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ต่างๆของแต่ละเหล่าทัพเป็นบางส่วนหลังจาก
ที่เคยนำเสนอไปแล้วเมื่อเดือนมกราคมครับ

โครงการจัดหารถถังหลัก Oplot จากยูเครนซึ่งมีการเผยแพร่ภาพการทดสอบรถถังชุดใหม่ ๕คันที่สนามทดสอบที่
Kharkiv ไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยทาง UKROBORONPROM ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการส่งออกยุทโธปกรณ์ของยูเครน
ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถถังหลัก Oplot ให้ไทยล่าสุดตามนี้
UKROBORONPROM CAN REARM THE ARMY OWNING TO EXPORT
http://www.ukroboronprom.com.ua/en/newsview/1/631ใจความสำคัญของข่าวของคือ รถถังหลัก Oplot จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการส่งออกเป็นหลักไม่ได้สร้างเพื่อนำไปใช้เอง
โดยราคาต่อคันที่ $4.9 million นั้นยูเครนจะสามารถนำไปต่อยอดในการปรับปรุงรถถังหลัก T-64 และ T-72 ของ
กองทัพยูเครนได้อีกเป็นจำนวนมาก เช่น T-64B1M หรือ T-72UA1 เป็นต้น ซึ่งปี 2015 นี้โรงงาน Malyshev จะทำการ
ผลิต Oplot ให้ได้ ๔๐ คัน ซึ่งควรจะเป็นจำนวนที่ครบตามที่กองทัพบกไทยสั่งจัดหาคือ ๔๙ คัน สำหรับเข้าประจำการใน
กองพันทหารม้าที่๒ กองพลทหารราบที่๒ รักษาพระองค์ ด้วย แต่ที่ว่าจะผลิต ถ.Oplot ให้ได้ในปีถัดๆไป ๑๐๐-๑๒๐ คัน
นี่ก็ไม่ทราบว่ายูเครนสามารถหาลูกค้าเพิ่มนอกจากไทยได้ตั้งแต่เมื่อไร ตรงนี้ก็หวังว่ายูเครนจะสามารถจัดส่งรถถังหลัก
Oplot-T ชุดใหม่หลังจากการตรวจรับมอบมาถึงไทยได้เสียทีครับ

อีกโครงการคือโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป ฮ.ท.๑๓๙ AW139 เพิ่มเติมจำนวน ๖ เครื่อง วงเงิน
๒,๘๐๐ ล้านบาท เพิ่มเติมจากชุดแรก ๓เครื่องที่เข้าประจำการใน กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (กบบ.ขส.ทบ.)
โดยคาดว่าการจัดหา ฮ.ท.๑๓๙ ใหม่นี้จะถูกนำเข้าประจำการในศูนย์การบินทหารบก(ศบบ.) เพื่อนำไปวางกำลัง
สนับสนุนปฏิบัติการของกองทัพภาค เช่นงานขนส่งบุคลสำคัญอย่างคณะนายทหารของกองทัพภาพที่เดินทาง
ตรวจเยี่ยมหน่วยงานภาคสนามตามชายแดน และภารกิจธุรการอื่นๆ เช่น การส่งกำลังบำรุงให้หน่วยต่างๆตามชายแดน
ทั้งนี้รูปแบบการจัดระบบภายในเช่นห้องโดยสารของ ฮ.ท.๑๓๙ AW139 ๖ เครื่อง ที่จัดหามาใหม่น่าจะเป็นแบบ
ลำเลียงทั่วไปต่างจาก ฮ.ชุดแรก ๓ ลำ ของ กบบ.ขส.ทบ. ที่เป็น ฮ.รับส่งบุคคลสำคัญ(เช่นไม่น่าจะมีเบาะหนัง)
หลังจากที่กองทัพบกนำ AW139 ชุดแรกเข้าประจำการมา ก็จะเห็นได้ว่า ฮ.ได้ถูกใช้งานในภารกิจการขนส่งบุคคล
สำคัญบ่อยมากในช่วงหลังมานี้ ซึ่งเป็นการลดภาระการนำ ฮ.ใช้งานทางยุทธวิธีอย่าง ฮ.ท.๖๐ UH-60 ไปใช้ใน
ภารกิจขนส่งบุคคลสำคัญลงไปได้มาก

ตรงนี้จึงมองว่าถ้าจะมีการนำ ฮ.ใหม่ทั้ง ฮ.ท.๑๓๙ AW139 จำนวน ๖ เครื่อง ที่จะจัดหาลงใน ศบบ. และ ฮ.ท.๑๔๕
EC145 T2 ที่มีข่าวว่าจะจัดหามา ๖ ลำ ลงใน ศบบ.เป็น ฮ.VIP ด้วยนั้น ส่วนตัวก็คาดเดาว่า ฮ.ใหม่ทั้งสองแบบน่าจะ
ถูกนำมาใช้แทน ฮ.เก่าที่ใช้สนับสนุนภารกิจการขนส่งบุคคลสำคัญ และงานธุรการทั่วไปในระดับกองพล และกองทัพภาค
เช่น กองร้อยบินของกองพลทหารราบ และชุดปฏิบัติการบินสนับสนุนกองทัพภาคต่างๆ แทน ฮ.แบบเก่าที่ใช้มานาน
หลายสิบปี ทั้ง ฮ.ท.๑ UH-1H, ฮ.ท.๒๐๖ Bell 206A และ ฮ.ท.๒๑๒ Bell 212 แต่ตรงนี้ก็มีข้อสงสัยอยู่ครับว่า ฮ.ท.๒๑๒
ที่ประจำการอยู่ในส่วน กองทัพภาค นั้นถ้าถูกโอนกลับมาอยู่ในส่วนกลางคือ ศบบ.แล้ว ก็กองทัพมีการจะปรับโครงสร้าง
อัตราจัดอย่างไรต่อ เช่น จะปรับปรุงเป็น ฮ.ใช้งานทางยุทธวิธี เช่น ฮ.ท.๒๑๒ Bell 212 EDA ที่ปรับปรุงใหม่ที่ประจำใน
กองบินปีกหมุนที่ ๒ หรือไม่ครับ
ในส่วนของกองทัพเรือนั้นโครงการสำคัญคือการผลักดันโครงการจัดหาเรือดำน้ำใหม่จำนวน ๒-๓ ลำ ซึ่งก็มีการรายงาน
การนำเสนอแบบเรือของบริษัทต่างๆอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ๒๕๕๘ มานี้ เช่น

บริษัท CSOC สาธารณรัฐประชาชนจีน เสนอข้อมูลเรือดำน้ำแบบ S26T

Rosoboronexport รัสเซีย เสนอข้อมูลเรือดำน้ำแบบ Project 636 Kilo และเรือดำน้ำแบบ Amur 1650

บริษัท TKMS เยอรมนี เสนอข้อมูลเรือดำน้ำแบบ U209/1400mod และ U210mod

บริษัท Hyundai Heavy Industries (HHI) สาธารณรัฐเกาหลี เสนอข้อมูลเรือดำน้ำแบบ HDS-500RTN

บริษัท Saab AB สวีเดน เสนอข้อมูลเรือดำน้ำแบบ A26
ขณะนี้ผู้บัญชาการทหารเรือและคณะกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ ซึ่งภารกิจหนึ่งในการเยือน
น่าจะร่วมการเยี่ยมชมข้อมูลเรือดำน้ำของประเทศต่าง ๆ ด้วย เช่น จีน ซึ่งไปพร้อมคณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
และล่าสุดคือสวีเดนเป็นต้น

จีนนั้นมีความพยายามในการเสนอเรือดำน้ำให้กองทัพเรือไทยมาตลอดครับ ตั้งแต่เรือดำน้ำแบบ Type 039 Song
เมื่อเกือบ ๑๐ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นจีนเสนอการให้เช่าเรือดำน้ำชั้น Song ที่ประจำการในกองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีน
แก่กองทัพเรือเพื่อฝึกกำลังพลทำความคุ้นเคยด้วย แต่ตอนนั้นกองทัพเรือปฏิเสธไปเนื่องสองเหตุผลคือ กองทัพเรือ
ยังไม่มีงบประมาณเพียงพอโดยเฉพาะส่วนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการสนับสนุนปฏิบัติการของเรือ และจีนยังจำเป็น
ต้องคงจำนวนเรือดำน้ำ Type 039 Song ที่มีประจำการในกองเรือดำน้ำของตนอยู่ โดยความพยายามล่าสุดของจีน
ในการเสนอเรือดำน้ำให้ไทยคือเรือแบบ S26T ซึ่งพัฒนามาจาก Type 039A Yuan รุ่นล่าสุดตามที่มีการนำเสนอข้อมูล
ไปก่อนหน้านี้ ถ้ากองทัพเรือสนใจจะจัดหาเรือดำน้ำจากจีนจริง จีนก็ต้องทำสัญญาโครงการจัดหาในรูปแบบจัดตั้งระบบ
ให้แบบครบวงจรครับ ทั้งการจัดตั้งระบบที่ตั้งชายฝั่ง อู่เรือดำน้ำ และระบบสนับสนุนการซ่อมบำรุงเรือ ระบบการฝึกจำลอง
แบบสมบูรณ์ การเข้าถึงข้อมูลการผลิตอะไหล่การซ่อมบำรุงชิ้นส่วนอุปกรณ์และอาวุธประจำเรือ เช่น Battery, Torpedo
อาจจะรวมถึงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำด้วย เป็นต้น กล่าวคือจีนควรจะต้องไม่ได้เสนอขายเฉพาะตัวเรือให้
กองทัพเรือไทย แต่จีนจะต้องขายกองเรือดำน้ำให้กองทัพเรือไทยทั้งระบบครับ
ดังนั้นประเด็นที่ว่ามีแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองให้กองทัพเรือเลือกจัดหาเรือดำน้ำจากจีนนั้น ก็เป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากว่า
บุคลากรในกองทัพเรือโดยเฉพาะกองเรือดำน้ำน่าจะค่อนข้างลำบากใจในเรื่องนี้ เพราะเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ได้ฝึกศึกษา
วิทยาการด้านเรือดำน้ำเป็นหลักเป็นระบบตะวันตก โดยเฉพาะของเยอรมนี และประเทศอื่นเช่นเกาหลีใต้เป็นต้น
และระบบที่จัดตั้งมาที่กองบัญชาการกองเรือดำน้ำ เช่น ห้องฝึกจำลองศูนย์ยุทธการเรือดำน้ำนั้นก็เป็นระบบของเยอรมัน
กดน.จึงน่าจะมองตัวเลือกแบบเรือจากตะวันตกคือ เยอรมนี หรือสวีเดนเป็นแบบหลักอันดับต้นๆมากกว่า โดยมีระบบของ
เกาหลีใต้อันดับรองลงมา และมองรัสเซียและจีนเป็นลำดับท้ายๆ เนื่องจากไม่มีความคุ้นเคยในระบบอาวุธรัสเซีย
เช่นเดียวกับจีนทีมีข้อสงสัยด้านความน่าเชื่อถือของเรือดำน้ำจีน

เพราะก็ตามที่ทราบว่ากองทัพเรือนั้นมีประสบการณ์ที่ไม่น่าพอใจกับการจัดหา ใช้งาน และปรับปรุงเรือรบผิวน้ำชุดต่าง ๆ
ที่จัดหามาจากจีนนัก เป็นที่มาในประเด็นความน่าเชื่อถือของเรือดำน้ำจีน ซึ่งเรือดำน้ำจีนเองนั้นก็ตามที่ทราบว่าแทบ
จะไม่มีประเทศใดจัดหาไปใช้เลย นอกจากบังคลาเทศ คือ Type 035 Ming มือสอง และแบบ S20 ที่ปากีสถานกำลัง
เจรจากับจีน แม้ว่าข้อเสนอของจีนในโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือก็อาจจะมีรูปแบบคล้ายคลึงกับการ
ซ่อมบำรุงและปรับปรุงเรือจีนหลายๆแบบที่กองทัพเรือนำเข้าประจำการมา คือถึงจะมีการถ่ายทอด Technology
และจัดตั้งระบบสนับสนุนต่างให้กองทัพเรือแบบครบวงจรก็จริง แต่ในทางกลับกันก็จะเป็นว่ากองเรือดำน้ำจะต้องพึ่งพา
และใช้ระบบต่างขึ้นอยู่กับจีนไปตลอด อย่างน้อยจนกว่าจะสามารถเลือกและเปลี่ยนแบบระบบใหม่ไปเป็นของประเทศ
อื่นแทน เช่น ระบบเรือดำน้ำตะวันตก หรือรัสเซียได้ ซึ่งตรงนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่กองทัพเรือจำเป็นต้องพิจารณา
ให้รอบคอบจึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่ใน กดน.จะมีการตอบสนองต่อแรงกดดันการนำเสนอเรือดำน้ำแบบ S26T
ในเชิงลบครับ
แต่ส่วนตัวมองในแง่ร้ายครับว่ากองทัพเรือมีทางเลือกจำกัดในตัดสินใจคือ ถ้าไม่เลือกจัดหาเรือดำน้ำจากจีนตาม
ความต้องการของฝ่ายการเมืองแล้ว ก็คงต้องตัดสินใจยกเลิกโครงการจัดหาเรือดำน้ำไปโดยที่ยังไม่ได้ตั้งโครงการ
ตรงนี้ถ้าจะให้กล่าวตามตรงคือแนวโน้มคงจะกลับไปรูปแบบเดิมครับคือกองทัพเรืออาจจะต้องปฏิเสธความต้องการ
ของฝ่ายการเมือง โดยยกเลิกโครงการจัดหาเรือดำน้ำที่ยังไม่มีการตั้งขึ้นมาเลยไปเสีย โดยถ้ากองทัพเรือถูกฝ่าย
การเมืองเข้ามาแทรกแซงในการตัดสินใจในโครงการจัดหาเรือดำน้ำซึ่งยังไม่ได้ตั้งขึ้นมาแล้ว รูปแบบก็อาจจะ
ใกล้เคียงกับกรณีที่เกิดกับโครงการจัดหาเรือดำน้ำ U206A จากเยอรมนีครับ คือกองทัพเรือคงจะตัดสินใจระงับการ
จัดตั้งโครงการจัดหาเรือดำน้ำแล้วชะลอโครงการออกไปอีกนานจนกว่าจะมีโอกาสใหม่อำนวย ทำให้ส่วนตัวมองว่า
โครงการจัดหาเรือดำน้ำครั้งใหม่นี้มีแนวโน้มความเป็นเป็นไปได้อยู่ค่อนข้างมากว่า อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ
เหมือนกับหลายๆกรณีที่ผ่านมาในอดีตครับ และถ้ากองทัพเรือเลือกแนวทางที่จะปฏิเสธโครงการจัดหาเรือดำน้ำ
ซึ่งเป็นความต้องการทางยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพเรือแล้ว ก็หมายความว่ากองเรือดำน้ำจะเป็นกองเรือที่ไม่มีเรือ
เข้าประจำการในกองเรือไปอีกนาน นั่นก็คงเป็นที่น่าลำบากใจของกองทัพเรือมากครับว่า กองทัพเรือจะตัดสินใจให้
กองเรือดำน้ำที่เพิ่งจัดตั้งมาใหม่เพียงไม่กี่ปี เป็นชนวนข้อขัดแย้งให้เกิดปัญหาผลกระทบกับหน่วยใช้กำลังหลักโดยเฉพาะ
กองเรือต่างๆในกองเรือยุทธการที่ต้องใช้การงบประมาณไปใช้ในโครงการของตนเช่นกันหรือไม่ ซึ่งก็จะเป็นคำถามตามมา
ถึงการมีอยู่ของ กดน.ต่อไปในอนาคตว่า กองทัพเรือจะเลือกจัดหาเรือดำน้ำจีนเพื่อให้มีเรือดำน้ำเข้าประจำการเสียที
หรือจะเลือกที่จะเป็นกองทัพเรือที่ไม่มีเรือดำน้ำประจำการต่อไปกันแน่? (หรือจะสู้กับแรงบีบบังคับเพื่อให้ได้แบบเรือที่
กำลังพลต้องการจริงๆ) แต่หวังว่าคราวนี้กองทัพเรือจะผ่านอุปสรรคนานานับประการจากที่เคยเจอมาไปได้เสียทีครับ
Thailand increases defence budget by 7%
http://www.janes.com/article/51042/thailand-increases-defence-budget-by-7ยังมีโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่บางโครงการที่ไม่ได้รายงาน เช่น โครงการจัดหาเครื่องบินฝึกขั้นก้าวหน้าใหม่
ทดแทน บ.ขฝ.๑ L-39ZA/ART ของกองทัพอากาศไทย ซึ่งยังไม่มีรายงานข่าวเพิ่มเติม ตามรายงานของ Jane's นั้น
งบประมาณกลาโหมประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของไทยที่จะอนุมัติในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ อาจจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ ๗
หรืออยู่ที่ประมาณ ๒๐๗,๐๐๐ล้านบาท($6.3 billion) มีอัตราส่วนเป็นร้อยละ ๘ ของงบประมาณประเทศทั้งหมด คิดเป็น
ร้อยละ ๑.๕ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ตรงนี้จะเห็นได้ว่าถึงจะดูเพิ่มขึ้นก็จริงแต่ก็เทียบไม่ได้กับ
หลายประเทศในกลุ่ม ASEAN เช่นอินโดนีเซียที่เพิ่มเกือบ $9 billion ในปี 2016 จะเพิ่มขึ้นเป็นถึง $15 billion ภายในปี
2020(แต่ทั้งนี้ก็เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่ด้วย) และพม่าซึ่งใช้งบประมาณกลาโหมถึงร้อยละ ๔ ของ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แม้ว่าในภาพรวมจะยังเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก แต่งบประมาณที่รัฐบาลพม่าเพิ่มให้
กองทัพพม่าในปี 2015-2016 นั้นก็เพิ่มขึ้นจากเดิมราว $2.75 billion แล้ว ก็น่าจะพอมองออกครับว่าประเทศในกลุ่ม
ASEAN ส่วนใหญ่กำลังเริ่มเพิ่มงบประมาณกลาโหมและจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งจะไม่ให้ไทยขยับตัวตาม
บ้างเลยคงไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติที่มีความจำเป็นล้วน ๆ ครับ
http://aagth1.blogspot.com/2015/05/blog-post.html