"เมืองไทยน่าอยู่ คนน่ารัก อาหารอร่อย" กลั่นจากใจ องค์หญิงภูฏานด้วยความประทับใจ ในหลายสิ่งหลายอย่าง ของประเทศไทย ทำให้เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์วังชุก ของราชอาณาจักรภูฏาน
ตัดสินใจเลือกประเทศไทย เป็นสถานที่ศึกษาต่อ สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีงาม ระหว่างไทย-ภูฏาน...
นับตั้งแต่ "มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน" (พระยศขณะนั้น) ได้เสด็จฯมาร่วมงานพระราช
พิธีฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2549 เรื่องราวของราชวงศ์และประเทศภูฏานก็ได้กลายเป็น
ที่สนใจของคนไทยเป็นอย่างมาก ถึงขั้น "จิกมี ฟีเวอร์" เลยทีเดียว
แต่ไม่เฉพาะคนไทยที่เป็นปลื้มและให้ความสนใจเกี่ยวกับประเทศภูฏานเท่านั้น ชาวภูฏานเองก็มีความผูกพันกับเมืองไทย
โดยเฉพาะสมาชิกในราชวงศ์วังชุกแห่งภูฏาน ก็โปรดปรานประเทศไทยมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย โดยไม่เพียงเลือกเมืองไทย
เป็นสถานที่พักผ่อนและแหล่งรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่ยังเลือกให้เป็นสถานที่ศึกษาของสมาชิกในราชวงศ์ภูฏานอีกด้วย
"องค์หญิงยีหวาง พินดาริกา แห่งภูฏาน" เป็นหนึ่งในสมาชิกแห่งราชวงศ์วังชุกที่เลือกมาศึกษาต่อที่เมืองไทย โดยกำลังศึกษา
อยู่ที่มหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ (ประเทศไทย) โอกาสนี้ ทีมข่าวหน้าสตรีไทยรัฐ ได้รับอนุญาตให้เข้าสัมภาษณ์ถึงการใช้ชีวิตใน
เมืองไทยในฐานะนักศึกษาธรรมดาๆคนหนึ่ง
องค์หญิงยีหวาง ได้ทักทายอย่างเป็นกันเองก่อนที่จะเริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสว่า ท่านเป็นธิดาของเจ้าหญิง
เดกี้ เป็นพระธิดาของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 2 ของภูฏาน สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ดอร์จิ วังชุก
กษัตริย์องค์ที่ 3 คือท่านลุงขององค์หญิง และสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 4 (พระราชบิดากษัตริย์ภูฏาน
องค์ปัจจุบัน) เป็นราชโอรสของท่านลุง จึงมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องขององค์หญิง

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เค เซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 5 (องค์ปัจจุบัน) องค์หญิงยีหวาง
อธิบายว่า ถ้าตามศักดิ์ท่านเป็นอา (ของกษัตริย์จิกมี) แต่ไม่ใช่สายตรง แต่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันดี และด้วยความที่สมเด็จ
พระราชาธิบดีจิกมีทรงมีพระชนมายุมากกว่า จึงเปรียบเสมือนพระเชษฐาองค์โตขององค์หญิง หากอยู่ภูฏานก็จะใกล้ชิดกัน เพราะ
สมาชิกในราชวงศ์วังชุกค่อนข้างสนิทกัน แต่นับตั้งแต่สมเด็จพระราชาธิบดีทรงขึ้นครองราชย์และองค์หญิงมาศึกษาที่เมืองไทย
เลยทำให้ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนักตอนนี้อายุ 21 ปีแล้ว มีพี่สาว 1 พี่ชาย 2 และยังมีพี่สาวซึ่งเป็นฝาแฝดกับองค์หญิงอีกด้วย ซึ่ง
กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา
สำหรับองค์หญิงยีหวาง เริ่มต้นการศึกษาที่ภูฏานจนถึงเกรด 4 จึงไปเรียนต่อชั้นประถมศึกษาที่เซนต์ เฮเลน คอนแวนท์ ในเมือง Kurseong, Darjeeling ประเทศอินเดีย และไปเรียนมัธยมศึกษาที่โรงเรียน Kodaikanal International School ซึ่งสอนตั้งแต่ชั้น
ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลายที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย ตั้งอยู่ที่เมือง Tami Nadu ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้องค์หญิงสามารถพูดได้
ถึง 5 ภาษาคือ Dzongkha, Bhumthap (ภาษาท้องถิ่นของภูฏาน), ภาษาอังกฤษ, ฮินดี, เนปาล และยังได้เรียนภาษาฝรั่งเศสตอน
เรียนมัธยมอยู่ 2 ปี ขณะนี้ก็กำลังเรียนภาษาไทยที่มหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์-หัวหิน แต่ยังไม่คล่องเท่าไหร่ตอนที่องค์หญิงตัดสินใจ
มาเรียนที่เมืองไทย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีได้พระราชทานคำแนะนำอะไรบ้างไหมคะ
"พระองค์รู้สึกดีใจที่ฉันเลือกมาเรียนที่ประเทศไทย เพราะท่านรักประเทศไทย คนไทยทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเหมือนเป็นบ้านของ
พระองค์เอง พระองค์รับสั่งว่า ขอให้โชคดีและเดินทางโดยสวัสดิภาพ นอกจากฉันแล้วตอนนี้ยังมีองค์ชายจาโช จิกมี นัมเกล จอร์จิ
มาเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิตด้วย"
ทำไมถึงเลือกมาเรียนที่เมืองไทยล่ะคะ"เพราะที่นี่ไม่ไกลจากภูฏานมากนัก ฉันอยากอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว จะได้ไป-มาเยี่ยมกันได้ง่าย การเดินทางไปภูฏาน
ใช้เวลาไม่นาน เพียง 4 ชั่วโมง แต่ต้องไปลงที่อินเดียก่อน และฉันก็ชอบเมืองเล็กๆ สงบๆ ส่วนพี่สาวฝาแฝดของฉัน
ชอบเมืองใหญ่ เขาเลยเลือกไปแคนาดา เราเลยแยกกันเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ฉันคุ้นเคยกับเมืองไทย ซึ่งเป็นประเทศ
ที่น่าอยู่ คนไทยก็น่ารัก อาหารก็อร่อย เลยเลือกมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์-หัวหิน ซึ่งพี่ชายฉันก็จบจากที่นี่
และเรียนที่นี่ก็ได้ปริญญาของอเมริกา เพื่อนร่วมชั้นก็เป็นชาวต่างชาติจากทั่วโลก เป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะได้เรียนรู้
วัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ ในแต่ละเทอมยังสามารถไปเรียนต่อที่แคมปัสอื่นในประเทศต่างๆ
เช่น ที่ลอนดอน, เจนีวา, ญี่ปุ่น หรือเซี่ยงไฮ้ แล้วกลับมาเรียนที่เมืองไทยต่อได้ด้วย"
แม้ทางมหาวิทยาลัยจะเปิดโอกาสให้โยกไปเรียนแคมปัสอื่นในมหาวิทยาลัยเดียวกันได้ แต่ องค์หญิงยีหวาง บอกว่า
ไม่คิดจะโยกย้ายไปเรียนที่อื่น ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 สาขาสื่อสารมวลชนและการสื่อสาร โดยจะเน้นหนักไปที่การ
โฆษณาและการตลาด การที่เลือกเรียนทางด้านนี้ องค์หญิงยีหวาง บอกว่า ชอบด้านสื่อมาตั้งแต่เด็ก โดยหวังว่าเมื่อจบไป
แล้ว จะนำความรู้ด้านโฆษณาไปทำการประชาสัมพันธ์ ประเทศภูฏานในอนาคต
ส่วนชีวิตการเป็นนักศึกษาขณะนี้ องค์หญิงยีหวาง เล่าว่า การอยู่ที่นี่เป็นการท้าทายตัวเอง เพราะต้องพบกับชีวิตที่แตกต่าง
จากที่เคยเป็นอยู่ อย่างการอยู่ด้วยตัวเองในอพาร์ตเมนต์ มีภาระรับผิดชอบมากขึ้น และทำความเคยชินกับระบบศึกษาที่แตก
ต่าง ต้องทำความรู้จักเจ้าหน้าที่และนักเรียนทุกๆคนในฐานะเพื่อน
เพื่อนๆนักศึกษาทราบหรือไม่คะว่า ท่านเป็นองค์หญิงแห่งภูฏานองค์หญิงยีหวาง ยิ้มอย่างสดใสก่อนบอกว่า "ตอนแรกไม่ทราบ คิดว่าฉันเป็นคนไทยด้วยซ้ำ พอตอนหลังมีคนพูดให้ได้ยิน พวก
เขาก็เข้ามาถาม พอรู้ก็ล้อฉัน เป็นเรื่องตลกไปเลย แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำตัวเหมือนเดิม เป็นเรื่องปกติ เพราะส่วนใหญ่
เพื่อนๆเป็นนักเรียนชาวอเมริกัน เขาไม่รู้สึกแตกต่างอะไร"
แล้วท่านพ่อท่านแม่ขององค์หญิงทรงเป็นห่วงหรือแนะนำอะไรบ้างไหม"ท่านไม่ห่วงอะไรมาก บอกให้ตั้งใจเรียน ใช้ชีวิตอย่างปกติ ทำทุกอย่างที่ตัวเองอยากทำ แต่ให้คำนึงถึงความปลอดภัยด้วย
และให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพราะคนอื่นอยากให้ทำ เราจะคุยกันค่อนข้างบ่อย อาทิตย์ละ 2 ครั้ง และฉันก็จะ
กลับบ้านปีละ 2 ครั้ง ทุกซัมเมอร์และช่วงวันหยุดอีก หรือมีงานพระราชพิธีก็กลับไป"
เมื่อถามถึงความผูกพันระหว่างเมืองไทยกับสมาชิกในราชวงศ์วังชุก องค์หญิงยีหวาง บอกว่า "ค่อนข้างคุ้นเคย เมืองไทยเป็น
ที่โปรดของราชสำนัก เพราะถ้าเลือกสถานที่พักผ่อนหรือช็อปปิ้ง จะคิดถึงเมืองไทยก่อนเลย ตอนฉันอายุ 13-14 ปี ก็มาเที่ยว
เมืองไทยเกือบทุกปีตอนฤดูหนาว"
แล้วคนภูฏานล่ะคะ รู้จักเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน"พวกเขารู้จักเมืองไทยดีนะ ส่วนใหญ่เขาก็ชอบเมืองไทย อยากจะมาบ่อยๆ เพราะวัฒนธรรมมีความคล้ายคลึงกัน
แล้วก็ชอบช็อปปิ้งที่นี่ ชอบคนไทยด้วย"
พร้อมกันนี้ องค์หญิงยีหวาง ยังบอกอีกว่า เมื่อกลับไปประเทศภูฏานแล้ว หากใครถามถึงเมืองไทย องค์หญิงจะช่วยประชา
สัมพันธ์ให้เลยว่า เมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวงดงามหลายแห่ง ผู้คนน่ารักอัธยาศัยดี ส่วนอนาคตขององค์หญิงหลังสำเร็จ
การศึกษาแล้วนั้น ตั้งใจจะทำงานหาประสบการณ์ทางด้านที่เรียนมา ก่อนที่จะไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ
อาจ จะตั้งบริษัทเกี่ยวกับมีเดีย ดูด้านการสื่อสาร เพราะสายงานนี้กำลังเติบโต ซึ่งคงจะช่วยพัฒนา การสื่อสารในประเทศ
ภูฏานด้วย
พอถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาของประเทศภูฏาน ซึ่งไม่ได้วัดดัชนีการเติบโตจากรายได้ แต่วัดจากความสุข
องค์หญิงยีหวาง ยิ้มหวานก่อนตอบว่า "ฉันคิดว่าดีแล้ว และเราคงไม่ต้องห่วงว่าใครจะมองว่าเราล้าหลัง หรือมองที่การเติบโต
ของประเทศ สมเด็จพระราชาธิบดีทรงอยากให้ชาวภูฏานมีความสุข การเติบโตของประเทศคือความสุขของคนทั้งประเทศ
ซึ่งฉันก็เห็นด้วย การที่ทุกคนไม่มีปัญหา ไม่ต้องวิตกกังวลใจเรื่องความปลอดภัยหรืออาชญากรรม มีชีวิตอย่างพอเพียงและยึด
วัฒนธรรมประเพณีของเราแบบเดิมๆให้คงอยู่ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว นอกจากนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีของเราทรงมีรับสั่งเสมอ
ว่า ทุกคนเหมือนอยู่ครอบครัวเดียวกัน ประเทศเดียว ครอบครัวเดียว ดังนั้น พวกเราจึงเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน"
องค์หญิงรู้จัก "ในหลวง" ของคนไทยไหมคะ"รู้จักซิ แต่ยังไม่เคยเข้าเฝ้าฯนะ รู้ว่าพระองค์ท่านประทับที่หัวหินด้วย ในหลวงทรงเป็นที่รักของคนไทย ฉันรักและเคารพพระองค์
ท่านเหมือนอย่างที่รักและเคารพกษัตริย์ของภูฏานเช่นกัน"
จากที่องค์หญิงใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมานานหลายปี ประทับใจสิ่งใดมากที่สุดคะ"การใช้ชีวิตอยู่ประเทศไทย ฉันไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เรามีอะไรคล้ายๆกัน ซึ่งฉันประทับใจหลายอย่าง ทั้งด้านวัฒนธรรมและผู้คน
แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกดีมากที่สุดคือ ฉันรู้สึกทึ่งที่เห็นความรักและความเคารพที่คนไทยมีต่อพระมหากษัตริย์ของชาวไทย ซึ่งฉันจะเก็บสิ่ง
ดีๆแบบนี้กลับไปยังประเทศภูฏานของฉันด้วย"
เพียงความรู้สึกเท่านี้ก็สามารถรับรู้ได้ว่า ความสัมพันธ์ ฉันมิตรอันดีระหว่างชาวไทยและชาวภูฏาน จะคล้องเกี่ยวเป็นความผูกพันกัน
ตลอดไป
จาก
Click