เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ธันวาคม 26, 2025, 08:48:21 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นักธรรมตรี  (อ่าน 16779 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2009, 08:04:05 AM »

รบกวนสอบถามหน่อยครับ เผอิญเมื่อวานลูกชายตัวเล็กมาบอกด้วยความภาคภูมิใจ ว่าสอบได้นักธรรมตรี ด้วยความที่พ่อมันไม่ค่อยเข้าวัด เลยไม่ทราบคุณค่าได้แต่ยิ้มๆแล้วเก่งมากลูก ท่านใดทราบความหมายช่วยขยาย นักธรรมตรี นี้ด้วยครับ กิ๊วก๊าว ไหว้
บันทึกการเข้า

สหายอ๋อง เซียนปลาซิว
จริงใจ บริสุทธ์ใจ แล้วจะแคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 657
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9377


คบหมาเป็นเพื่อน ดีกว่าคบเพื่อนหมาๆ


« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2009, 08:35:20 AM »

นักธรรม...ใช้สำหรับพระภิกษุ  สามเณร  ถ้าเป็นเด็ก  เยาวชน  จำไม่ได้แล้วว่าเรียกยังไง  แต่ก็เรียกคล้ายๆกัน

นักธรรม  มี  3  ระดับ  คือ  นักธรรมตรี  นักธรรมโท  นักธรรมเอก  ซึ่งเทียบได้ไกล้เคียงกับขั้นปฐม

จากนั้นขึ้นขั้นสูงคือ  เปรียนธรรม  มีทั้งหมด  9  ประโยค ((((  ระดับ  ))))

ปีแรกจะเรียนควบ คือ  ปธ.1-2  ปีที่2  ปธ.3  หากภิกษุรูปไดสอบได้ปธ.3  จะเรียกพระมหา  นำมาเทียบทางโลกได้  ม.3

ปล.  เด็กวัดเก่า
บันทึกการเข้า
ทิดเป้า
Hero Member
*****

คะแนน -1181
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11916



« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2009, 08:49:11 AM »

 เยี่ยมเย้...เพื่อนผมจบนักธรรมตรีแล้ว ดีใจจัง

ยินดีด้วยครับน้าจอย

ลูกน้าจอย(เพื่อนผม)คงเรียนในชั่วโมงเรียน ที่ทางโรงเรียนนิมนต์พระมาสอน เมื่อสอนจบหลักสูตร ก็สอบปริยัติธรรมสนามหลวง เมื่อสอบผ่าน จะได้ใบกาศนักธรรมชั้น ตรี โท เอก

ลูกผม เรียน เสาร์-อาทิตย์ พร้อมกับครู เพื่อน ( ชมรมพุทธศาสนา ) ที่วัดใกล้บ้าน ตอนเที่ยง ก็กินข้าวก้นบาตร ประหยัดค่าอาหารไปมื้อนึง

เรื่องการเรียนนักธรรม ถ้าพระ - เณร  จะเรียนยากมาก กว่าจะจบ ต้องหัวดี จำแม่นจริงๆ .... ต้องถาม มหาตี๋ sv ณ ซึมเศร้า ครับ ว่ากว่าจะจบ หนักหนาสาหัสขนาดไหน

สำหรับนักเรียน ...ไม่แน่นเหมือนพระเณรครับ ...มีบอกข้อสอบ หรือชี้แนวบ้าง

ถึงอย่างไร เด็กที่จบมา ก็รู้เรื่องธรรมะมากกว่าเด็กทั่วไปเยอะเลยครับ
บันทึกการเข้า

เอ.เค.
Full Member
***

คะแนน 15
ออฟไลน์

กระทู้: 122


« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2009, 08:50:32 AM »

ธรรมศึกษาตรีครับ

นักธรรมจะเรียนวินัยมุขด้วย (สำหรับพระภิกษุสามเณร) ธรรมศึกษาสำหรับฆราวาส ไม่เรียนวินัยมุขครับ
บันทึกการเข้า
..GlockGlack..
ทำดีไว้ไม่ขาดทุน..... ขาว อวบ. อิอิอิ
Hero Member
*****

คะแนน 48
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3569


ใช้ปืนดี มีพระคุ้มครอง


« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2009, 10:10:58 AM »

แบบนี้เวลาที่ลูกกล่าวธรรม พี่จอยฯ ต้องฟังอย่างนอบน้อม Grin
บันทึกการเข้า

ขอสักกระทู้ที่ไม่เลอะเทอะเลื่อนเปื้อน จนเสียคุณค่าเนื้อความในกระทู้นะครับ Cheesy
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2009, 11:34:45 AM »

ประวัดนักธรรมโดยสังเขป
 
          การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือที่เรียกกันว่า นักธรรม เกิดขึ้นตามพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นการศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทย เพื่อให้ภิกษุสามเณรผู้เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาสามารถศึกษาพระธรรมวินัยได้สะดวกและทั่วถึง อันจะเป็นพื้นฐานนำไปสู่สัมมาปฏิบัติ ตลอดจนเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไป

         การศึกษาพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณมา นิยมศึกษาเป็นภาษาบาลี ที่เรียกว่า การศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ยากสำหรับภิกษุสามเณรทั่วไป จึงปรากฏว่า ภิกษุสามเณรที่มีความรู้ในพระธรรมวินัยอย่างทั่วถึงมีจำนวนน้อย เป็นเหตุให้สังฆมณฑลขาดแคลนพระภิกษุผู้มีความรู้ความสามารถที่จะช่วยกิจการพระศาสนาทั้งในด้านการศึกษา การปครอง และการแนะนำสั่งสอนประชาชน ดังนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงได้ทรงพระดำริวิธีการเล่าเรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทยขึ้น สำหรับสอนภิกษุสามเณรวัดบวรนิเวศวิหารเป็นครั้งแรก นับแต่ทรงรับหน้าที่ปกครองวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา โดยทรงกำหนดหลักสูตรการสอนให้ภิกษุสามเณรได้เรียนรู้พระพุทธศาสนา ทั้งด้านหลักธรรม พุทธประวัติ และพระวินัย ตลอดถึงหัดแต่งแก้กระทู้ธรรม

         เมื่อทรงเห็นว่า การเรียนการสอนพระธรรมวินัยเป็นภาษาไทยดังนี้ได้ผล ทำให้ภิกษุสามเณรมีความรู้กว้างขวางขึ้น เพราะเรียนรู้ได้ไม่ยาก จึงทรงดำริที่จะขยายแนวทางนี้ไปยังภิกษุสามเณรทั่วไปด้วย ประกอบกับใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ประเทศไทยเริ่มมีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ซึ่งภิกษุทั้งหมดจะได้รับการยกเว้น ส่วนสามเณร จะยกเว้นให้เฉพาะสามเณรผู้รู้ธรรม ทางราชการได้ขอให้คณะสงฆ์ช่วยกำหนดเกณฑ์ของสามเณรผู้รู้ธรรม สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงกำหนดหลักสูตรองค์สามเณรรู้ธรรมขึ้น ต่อมาได้ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์สามเณรรู้ธรรมนั้นเป็น “องค์นักธรรม” สำหรับภิกษุสามเณรชั้นนวกะ (คือผู้บวชใหม่) ทั่วไป ได้รับพระบรมราชานุมัติ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และโปรดให้จัดการสอบในส่วนกลางขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยใช้วัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุ และวัดเบญจมบพิตร เป็นสถานที่สอบ การสอบครั้งแรกนี้ มี ๓ วิชา คือ ธรรมวิภาคในนวโกวาท แต่งความแก้กระทู้ธรรม และแปลภาษามคธเฉพาะท้องนิทานในอรรถกถาธรรมบท

         พ.ศ. ๒๔๕๕ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมให้เหมาะสมสำหรับภิกษุสามเณรทั่วไปจะเรียนรู้ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยแบ่งหลักสูตรเป็น ๒ อย่างคือ อย่างสามัญ เรียนวิชาธรรมวิภาค พุทธประวัติ และเรียงความแก้กระทู้ธรรม และ อย่างวิสามัญ เพิ่มแปลอรรถกถาธรรมบทมีแก้อรรถ บาลีไวยากรณ์และสัมพันธ์ และวินัยบัญญัติที่ต้องสอบทั้งผู้ที่เรียนอย่างสามัญและวิสามัญ

         พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมอีกครั้งหนึ่ง โดยเพิ่มหลักธรรมหมวดคิหิปฏิบัติเข้าในส่วนของธรรมวิภาคด้วย เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการครองชีวิตฆราวาส หากภิกษุสามเณรรูปนั้นๆ มีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เรียกว่า นักธรรมชั้นตรี การศึกษาพระธรรมวินัยแบบใหม่นี้ ได้รับความนิยมจากหมู่ภิกษุสามเณรอย่างกว้างขวาง และแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว เพียง ๒ ปีแรกก็มีภิกษุสามเณรสมัครเข้าสอบสนามหลวงเกือบพันรูป เมื่อทรงเห็นว่าการศึกษานักธรรมอำนวยคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและภิกษุสามเณรทั่วไป ในเวลาต่อมา จึงทรงพระดำริขยายการศึกษานักธรรมให้ทั่วถึงแก่ภิกษุทุกระดับ คือ ทรงตั้งหลักสูตรนักธรรมชั้นโท สำหรับภิกษุชั้นมัชฌิมะ คือ มีพรรษาเกิน ๕ แต่ไม่ถึง ๑๐ และนักธรรมชั้นเอก สำหรับภิกษุชั้นเถระ คือมีพรรษา ๑๐ ขึ้นไป ดังที่เป็นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะสงฆ์สืบมาตราบถึงทุกวันนี้

         ต่อมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธฯ ทรงพิจารณาเห็นว่า การศึกษานักธรรมมิได้เป็นประโยชน์ต่อภิกษุสามเณรเท่านั้น แม้ผู้ที่ยังครองฆราวาสวิสัยก็จะได้รับประโยชน์จากการศึกษานักธรรมด้วย โดยเฉพาะสำหรับเหล่าข้าราชการครู จึงทรงตั้งหลักสูตรนักธรรมสำหรับฆราวาสขึ้น เรียกว่า “ธรรมศึกษา” มีครบทั้ง ๓ ชั้น คือ ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ซึ่งมีเนื้อหาเช่นเดียวกันกับหลักสูตรนักธรรมของภิกษุสามเณร เว้นแต่วินัยบัญญัติที่ทรงกำหนดใช้เบญจศีลเบญจธรรมและอุโบสถศีลแทน ได้เปิดสอบธรรมศึกษาตรีครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ และเปิดสอบครบทุกชั้นในเวลาต่อมา มีฆราวาสทั้งหญิงและชายเข้าสอบเป็นจำนวนมาก นับเป็นการส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

         ปัจจุบัน การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมนี้ มี พระพรหมมุนี (พฺรหฺมคุตฺตเถร) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เน้นการพัฒนาศาสนทายาทให้มีคุณภาพสามารถดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วยดี ทั้งถือว่าเป็นกิจการของคณะสงฆ์ส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมาตั้งแต่ครั้งอดีตถึงปัจจุบัน
 

นักธรรมชั้นตรี
 
         จากพระดำริที่จะส่งเสริมการศึกษาธรรมวินัยให้แพร่หลายไปสู่ภิกษุสามเณรอย่างทั่งถึงทุกระดับชั้นดังกล่าวแล้ว พ.ศ. ๒๔๕๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมอีกครั้งหนึ่ง โดยรวมองค์นักธรรมประโยค ๑ และประโยค ๒ เข้าด้วยกันเป็น “นักธรรมชั้นตรี” และกำหนดหลักสูตรสอบความรู้ภิกษุสามเณรเป็น ๔ อย่างคือ

                   - เรียงความแก้กระทู้ธรรม
                   - ธรรมวิภาค
                   - ตำนาน (พุทธประวัติ)
                   - วินัยบัญญัติ

         สำหรับสามเณร เว้นวินัยบัญญัติไว้ก่อนจนกว่าอุปสมบทแล้วจึงสอบวินัยบัญญัติ และการสอบไม่มีการพักเป็นประโยค ๑ ประโยค ๒ ดังแต่ก่อน สอบพร้อมกันทั้ง ๒ ประโยค ได้ตกพร้อมกันทั้ง ๒ ประโยค (แถลงการณ์คณะสงฆ์เล่ม ๑, หน้า ๕๒๙.)

         และในศกเดียวกันนี้ ทรงจัดหลักสูตรเปรียญบาลี ๓ ประโยคเข้ากับองค์นักธรรมประโยค ๒ เป็นเปรียญธรรมชั้นตรี ทั้งนี้โดยทรงมีพระปรารภว่า “การสอบความรู้บาลีเป็นเปรียญ ๓ ประโยค ให้แปลธัมมปทัฏฐกถาเป็นความไทยอย่างเดียวกันทั้ง ๓ ประโยคไม่ค่อยจะได้เปรียญมีความรู้ดี เพราะผู้เข้าสอบโดยมากด้วยกันจะไม่รู้จักสัมพันธ์และไม่แตกฉานในทางไวยากรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ การเรียนบาลีจึงตกต่ำ” (เล่มเดียวกัน, หน้า๕๓๑.)

         จากพระปรารภดังกล่าวแล้ว “จึงทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตแก้ไขหลักสูตรเปรียญบาลี ๓ ประโยค “ให้คงแปลธัมมปทัฏฐกถา เพียงประโยคเดียวอีก ๒ ประโยคนั้น เปลี่ยนเป็นสอบความรู้สัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้จักชักศัพท์เชื่อมถึงกัน ประโยค ๑ สอบความรู้บาลีไวยากรณ์ ส่วนวจีวิภาคเพื่อเข้าใจยกศัพท์ ประโยค ๑ วิธีสอบสัมพันธ์ จักวางแบบให้ไว้ ส่วนวิธีการสอบไวยากรณ์เคยกันมาแล้วฯ ทั้ง ๓ นี้ รวมเป็นหลักสูตรบาลี เป็นองค์อันหนึ่งของเปรียญธรรมชั้นตรีฯ” (เล่มเดียวกัน, หน้าเดียวกัน) และ

         “ภิกษุสามเณรที่จะสอบบาลีเป็นเปรียญ ๓ ประโยค ต้องสอบได้องค์นักธรรมประโยค ๒ สามัญมาก่อนแล้ว เมื่อสอบบาลีได้อีกองค์หนึ่ง จักเป็นเปรียญชั้นตรี ได้แก่ นวกภูมิ หรือเรียกนับประโยคว่า เปรียญธรรม ๓ ประโยค ก็ได้ฯ”

         เปรียญธรรมชั้นตรี หรือเปรียญธรรม ๓ ประโยคนี้เรียกย่อว่า “ป.ธ. ๓“ หลักสูตรนักธรรมชั้นตรีและเปรียญธรรมชั้นตรี ที่ทรงปรับปรุงใหม่นี้ เริ่มสอบตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็นต้นมา

         หลักสูตรนักธรรม ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงจัดขึ้นนั้น ได้รับความนิยมจากภิกษุสามเณรอย่างรวดเร็วและแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง เพียง ๒ ปีแรกที่จัดสอบ ก็มีภิกษุสามเณรสมัครเข้าสอบในสนามหลวงเกือบพันรูป ในปีต่อๆมา จึงโปรดให้มีการจัดสอบขึ้นในสนามมณฑลต่างๆด้วย เพื่อบรรเทาความแออัดในการสอบ ภิกษุสามเณรที่สอบได้ในสนามวัดหรือสนามมณฑลมีความรู้เข้าเกณฑ์ของสนามหลวง สนามหลวงก็รับโอนเป็นนักธรรมของสนามหลวง ต่อมาทรงกำหนดให้มีการสอบสนามวัดก่อนที่จะส่งเข้าสอบสนามหลวงต่อเมื่อสอบผ่านสนามวัดนั้นๆ ได้แล้ว จึงทรงอนุญาติให้ส่งเข้าสอบในสนามหลวง ทั้งนี้เพื่อกันไม่ให้ผู้มีความรู้ไม่ถึงขั้นเข้าสอบในสนามหลวง อันเป็นการเพิ่มภาระให้แก่สนามหลวงโดยไม่จำเป็น

         การสอบองค์นักธรรมและนักธรรมตรีในระยะแรกนั้นสามเณรต้องมีอายุ ๑๙ ปีขึ้นไป จึงอนุญาติให้เข้าสอบได้

         สำหรับการสอบนักธรรมชั้นตรี สอบโดยวิธีเขียน (ขณะนั้นการสอบพระปริยัติธรรม หรือสอบบาลีสนามหลวงยังใช้วิธีแปลปากอยู่) ข้อสอบแต่ละวิชามี ๒๑ ข้อ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๗ จึงลดลงมาเป็น ๑๔ ข้อ (ประวัติการศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย. คณาจารย์มหามกุฏราชวิทยาลัย (เอกสารโรเนียวเย็บเล่ม), หน้า ๑๓๙.) ส่วนกำหนดเวลาสอบในระยะแรกยังไม่มีการกำหนดเวลาเป็นชั่วโมง แต่กำหนดว่า ถ้ายังมีผู้นั่งสอบอยู่ด้วยกัน ๖ รูป ยังไม่หมดเวลา ต่อมาแก้ไขเป็น ถ้ายังมีผู้สอบเหลืออยู่ด้วยกัน ๓ รูป ถือว่ายังไม่หมดเวลา (แต่ไม่พบหลักฐานว่าแก้ไขเมื่อปีใด) (แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๒ พ.ศ. ๒๔๕๗ หน้า ๕๒๘.) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็นต้นมา จึงมีการกำหนดเวลาสอบเป็นชั่วโมง คือ ๓ ชั่วโมงครึ่ง (ประวัติการศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย. หน้า ๑๓๙.)
 
 ไหว้ คัดลอกบางส่วนจาก การจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถเข้าชมรายละเอียดส่วนอื่นได้จาก http://www.gongtham.org/my_data/history_gongtham/index.php
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2009, 01:57:25 PM »

แบบนี้เวลาที่ลูกกล่าวธรรม พี่จอยฯ ต้องฟังอย่างนอบน้อม Grin

                                       
บันทึกการเข้า

                
พราน
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 35
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 910



« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2009, 06:34:31 AM »

น้องเขาเก่งนะครับพี่จอยฯโดยวิชาที่แต่งกระทู้ธรรมนี่ยากมากครับ ต้องยกคติธรรมหรือพุทธวจนมาเป็นตัวตั้งและบรรยายเหตุหรือข้อความประกอบเป็นความเรียง เหมือนเราตอบข้อสอบกฏหมายที่ต้องยกทั้งตัวบท และเหตุผลประกอบนั่นแหละครับ ผมก็จบนักธรรมตรีเหมือนน้องเขาเลยตอนบวชเป็น นวโกวาท บวชตั้ง 140 วันอยู่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ที่หนองสูงมุกดาหารครับ แต่สอบได้แค่นักธรรมตรีเท่าน้องเขานี่แหละครับ ขำก๊าก
บันทึกการเข้า
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2009, 12:15:21 PM »

"นักธรรมตรี"สำหรับสามเณรหรือพระภิกษุกับนักเรียนที่เรียนในโรงเรียน ความเข็มข้นและความยากง่ายน่าจะต่างกัน  ผมเองก็ยังเคยเรียน ตอนเรียนมัธยมฯต้น โดนบังคับให้เรียนทุกวันศุกร์ จะมีพระในจังหวัดมาสอนที่โรงเรียน พอจบหลักสูตร ก็จะมีการสอบรวมกันทั้งจังหวัด แรกเริ่มเดิมทีมีการห้ามนำตำราที่สอนเข้าห้องสอบ แต่สุดท้ายแล้วไม่ค่อยมีใครทำได้ ถามแต่พระที่คุมสอบ สุดท้ายก็สอบกันแบบเปิดตำราลอกคำตอบ แต่ก็ตอบกันได้ไม่หมดอยู่ดี หมดเวลาเสียก่อน เพราะหาคำตอบในตำราที่สอนไม่เจอ  ส่วนที่เรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ส่วนใหญ่เป็นภาคสมัครใจ  วิชาที่สอนหลักๆ สำหรับนักเรียนประกอบด้วย
  - พุทธประวัติ
  - ศาสนพิธี
  - หลักธรรม ต่างๆ
  - เรียงความแก้กระทู้ธรรม     

แปลก!! ผมกลับชอบวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมมากที่สุด โจทย์จะให้เลือกหลักธรรม มาเพียงหนึ่งประโยค หลังจากนั่นพวกเราก็เขียนเพ้อฝันไปเรื่อย จะยกตัวอย่างจะยกธรรมบทอื่นมาเทียบเคียงอย่างไร? ก็เขียนไป แต่ต้องอยู่ในธรรมที่เป็นหัวข้อโจทย์ ตอนนั่นเราแข่งกันว่าใคร?จะเขียน มากหน้ามากกว่ากัน  ส่วนสาระ..ไม่รู้.. ไม่ต้องพูดถึง ... กิ๊วก๊าว กิ๊วก๊าว

พระรูปไหนที่มีสมณศักดิ์ หรือพระรูปไหน? ที่เทศน์เก่งๆ โดยเฉพาะเทศน์สดๆได้เก่ง ร้อยทั้งร้อยพระรูปนั่นจะมีพื้นฐานเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมได้เก่งมากๆ
 
แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้หลักสูตรเป็นอย่างไร? ถ้าลูกชาย ของ "คุณจอย" สามารถสอบได้และไม่เปิดตำราเหมือนรุ่นผมต้องนับถือครับว่า เก่งและก็เก่งมากๆเลยครับ.. เยี่ยม
 
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2009, 07:57:12 PM »

ขอบคุณทุกท่านทีให้ความกระจ่างครับ เผอิญไปต่างจังหวัดเลยไม่ได้เข้ามาอ่าน ไหว้
แบบนี้เวลาที่ลูกกล่าวธรรม พี่จอยฯ ต้องฟังอย่างนอบน้อม Grin
อ๋อย อ๋อย อ๋อย
น้องเขาเก่งนะครับพี่จอยฯโดยวิชาที่แต่งกระทู้ธรรมนี่ยากมากครับ ต้องยกคติธรรมหรือพุทธวจนมาเป็นตัวตั้งและบรรยายเหตุหรือข้อความประกอบเป็นความเรียง เหมือนเราตอบข้อสอบกฏหมายที่ต้องยกทั้งตัวบท และเหตุผลประกอบนั่นแหละครับ ผมก็จบนักธรรมตรีเหมือนน้องเขาเลยตอนบวชเป็น นวโกวาท บวชตั้ง 140 วันอยู่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ที่หนองสูงมุกดาหารครับ แต่สอบได้แค่นักธรรมตรีเท่าน้องเขานี่แหละครับ ขำก๊าก
เขาก็บอกว่ายากตอนเรียงความหรือแปลความตามกระทู้ธรรมนี้แหละครับ Grin
บันทึกการเข้า

สหายแป๋ง คนดง
ถึงตัวเจ้าจะจากไปแต่ชื่อและความดีของเจ้าจะอยู่ในใจพี่เสมอ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2284
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 53136


ป่าสร้างคนแต่คนกลับสร้างป่า ด้วยลมปาก


« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2009, 12:45:46 PM »

  อีกหน่อยลูกก็ได้"นักธรรมเอก"แล้ว  ถึงเวลานั้นพ่อจะได้บวชเสียที คิก คิก
บันทึกการเข้า

รักชาติ  ศาสน์  กษัตริย์ 
ยืนหยัดในความเป็นไทย


  เกิดเป็นเซื้อซาดแฮ้ง  อย่าเหม็นสาบกุยกัน.......
  ข้าราษฎรประจำไทยควรคำนึง
http://www.youtube.com/watch?v=gM1D0xIwLVo
ต้นคระกูลไทย
http://www.youtube.com/watch?v=
สีอำพัน-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 258
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4432



« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2009, 01:05:24 PM »

จำไม่ค่อยได้ครับ ว่าผมเองก็ได้นักธรรมโทหรือตรี เรียนตอนปิดเทอม ป.5 ป.6
ที่วัด แล้วไปสอบครับ ท่านเรียกสอบสอบสนามหลวง
บันทึกการเข้า

อันวันใดไม่สำคัญเท่าวันนี้ เป็นวันที่สำคัญกว่าวันไหน
อันวันนี้สำคัญกว่าวันใด  วันไหนไหนไม่สำคัญเท่าวันนี้
สหายอ๋อง เซียนปลาซิว
จริงใจ บริสุทธ์ใจ แล้วจะแคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 657
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9377


คบหมาเป็นเพื่อน ดีกว่าคบเพื่อนหมาๆ


« ตอบ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2009, 01:11:51 PM »

ตอนบวช  ท่านอาจารย์  บังคับว่าพระ  และเณร  ทุกรูป  ต้องเรียนในช่วงเข้าพรรษา

ผมก็เลยได้  นักธรรมตรี  กะเขามาด้วย

การสอบการแต่งกระทู้  ข้อสอบจะให้  พุทธสุภาษิตมาหนึ่งบท  แล้วเอามาแต่งเป็นเรื่องคล้ายๆ  การเทศนา

แต่ตอนนี้ไม่ต้องมาถามเรื่องธรรม  คืนครูบาอาจารย์ไปหมดแล้ว
บันทึกการเข้า
S.V
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 647
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11296


เสียชีพ อย่าเสียสัตย์


« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2009, 01:28:53 PM »


   ขอตอบแบบง่ายๆนะครับ  หลักสูตรที่พระเรียน กับนักเรียนเรียน เป็นหลักสูตรเดียวกัน ทางพระเรียกวิชานักธรรม

  ส่วนที่นักเรียนเรียน จะเรียก ธรรมะศึกษา เพียงแต่ ทางพระจะเรียนครบ แต่ทางนักเรียนจะลดหลั่นลงมาบ้าง

   เพื่อไม่เป็นการยากจนเกินสมองเด็ก เช่นสมมุติว่า มีหัวข้อธรรมซัก 10 ข้อ  ก็อาจจะลดมาเหลือซัก 5 ข้อ สำหรับนักเรียน

  และคำตอบก็จะเป็นช้อยให้ X ซึ่งจะง่ายขึ้น ไม่ต้องเขียนหมด เหมือนพระภิกษุ เว้นแต่หมวดบังคับคือแก้กระทู้ อันนี้ต้องเขียน
บันทึกการเข้า

ถ้วยหนึ่งนงนุช  สองถ้วยพุทธวาจา  สามถ้วยแกล้วกล้าพูดจาองอาจ  สี่ถ้วยเก่งกาจผ้าขาดไม่รู้ตัว  ห้าถ้วยเมามัวพูดไม่กลัวความผิด  หกถ้วยมีฤกธิ์พูดผิดทุกคำ  เจ็ดถ้วยมืดคล้ำมือคลำหนทาง  แปดถ้วยเอวบางพี่เห็นช้างเท่าหมู  เก้าถ้วยโอ้ว่าโฉมตรูสุดรู้สุดคิด  สิบถ้วยมืดมิดสิ้นฤทธิ์พี่แล้วเจ้าแก้วเอย
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2009, 02:25:22 PM »


   ขอตอบแบบง่ายๆนะครับ  หลักสูตรที่พระเรียน กับนักเรียนเรียน เป็นหลักสูตรเดียวกัน ทางพระเรียกวิชานักธรรม

  ส่วนที่นักเรียนเรียน จะเรียก ธรรมะศึกษา เพียงแต่ ทางพระจะเรียนครบ แต่ทางนักเรียนจะลดหลั่นลงมาบ้าง

   เพื่อไม่เป็นการยากจนเกินสมองเด็ก เช่นสมมุติว่า มีหัวข้อธรรมซัก 10 ข้อ  ก็อาจจะลดมาเหลือซัก 5 ข้อ สำหรับนักเรียน

  และคำตอบก็จะเป็นช้อยให้ X ซึ่งจะง่ายขึ้น ไม่ต้องเขียนหมด เหมือนพระภิกษุ เว้นแต่หมวดบังคับคือแก้กระทู้ อันนี้ต้องเขียน
ขอบคุณครับท่าน มหาตี๋ ยิ้มีเลศนัย คิก คิก
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.066 วินาที กับ 21 คำสั่ง