จากที่เคยได้ไปสัมผัสและพูดคุยกับคนเวียตนามทั้งฮานอยและโฮจิมินห์นั้นจะแตกต่างกัน คนทางโฮจิมินห์จะพูดถึงคนทางฮานอยว่าเหมือนคนและประเทศและเชื้อชาติ ภาษาพูดก็ไม่เหมือนกัน ความคิดความอ่านก็ไม่ทันสมัย ค้าขายกับชาวต่างชาติก็ไม่ค่อยเป็น ดูใจยาก ชอบพูดจาอ้อมค้อม...
...ส่วนคนทางฮานอยก็จะพูดถึงคนทางโฮจิมินห์ว่าไม่มีอุดมการณ์ เป็นคนละเชื้อชาติ เจ้าเล่ห์เชื่อถือไม่ได้...
แต่สิ่งที่คนทั้ง 2 เมืองมีความคิดเหมือนกันก็คือ ลืมเรื่องสงครามในอดีตหมดไปแล้ว นึกถึงอย่างเดียวคือธุระกิจ ลืมความหลังในอดีตของศัตรูที่เคยมาย่ำยีเวียตนามในอดีตอย่างอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และไทย หรือแม้แต่จีน...
มันน่าทึ่งที่ศัตรูในอดีตกลับเข้ามาเวียตนามอีกครั้ง แต่มาในลักษณะใหม่ก็คือธุระกิจ...และดูเหมือนว่าเวียตนามเองก็พอใจเป็นอย่างมากด้วย...
..ในเอเชียนั้นอเมริกาอิมพอร์ตสินค้าจากจีนเป็นอันดับ 1 อินเดียเป็นอันดับ 2 ไม่ใจว่าเวียตนามเป็นอันดับเวียต 3 หรือไม่
เกาหลีใต้ที่เคยส่งทหารมากเป็นอันดับ 2 รองจากอเมริกา และมาช่วยอเมริการบที่เวียตนาม กลับเข้ามาลงทุนที่เวียตนามและย้ายมาอยู่ที่เวียตนามประมาณ 2 แสนกว่าคนแล้ว..
..ในปัจจุบันนี้คนจีนต่างหลั่งไหลเข้ามาธุรกิจที่เวียตนามมากมาย ทั้งเป็นนักลงทุนและเป็นช่างเทคนิคและหัวหน้างาน ส่วนจำนวนเท่าไรนั้นไม่แน่ใจ แต่คงจะมากพอดูเพราะสังเกตุว่าคนเวียตนามรุ่นใหม่ ๆ นั้นจะเรียนภาษาจีนกลางพร้อมกับภาษาอังกฤษ และจะพูดภาษาจีนกลางได้...แต่แปลกที่ไม่ค่อยเห็นคนเวียตนามพูดภาษาเกาหลีเลย..อ้อ..เกือบลืมไปว่าคนค้าขายที่โฮจิมินเองก็พูดภาษาไทยได้นิดหน่อยนะครับ โดยเฉพาะคนที่ค้าขายในตลาดบึ่นถันห์...
..ใต้หวันเองก็เข้ามาลงทุนในเวียตนามไม่น้อย โดยใช้ช่างเทคนิคและหัวหน้างานจากจีน ส่วนแรงงานนั้นจะใช้คนเวียตนาม...
..ส่วนคนไทยนั้นก็เข้าไปลงทุนที่เวียตนามไม่น้อยโดยเฉพาะธุระกิจด้านอาหาร หลัก ๆ ก็จะอยู่ที่จังหวัดด่องไนติดกับโฮจิมินห์ มีโรงงานแปรรูปอาหารทะเลบ้างก็จะอยู่แถบ ๆตอนกลางของประเทศ...
คนเวียตนามชอบส่งลูกหลานไปเรียนที่ออสเตรเลีย แต่หากมีญาติที่อเมริกาก็จะส่งไปเรียนที่อเมริกา ชอบไปช๊อปปิ้งที่สิงคโปร์ แต่หลัง ๆ นี่ชอบมาที่เมืองไทยมาก เพราะถูกและได้ของดี...
เขาคิดว่าระดับความเป็นอยู่หรือคุณภาพชีวิตของคนไทยเหนือกว่าเขา ซึ่งก็จริงครับ...
อ้อ..เกือบลืมไปว่าหากจะถามว่าคนเวียตนามโดยเฉพาะสาว ๆ อยากแต่งานกับหนุ่มชาติใหนที่สุด อันดับหนึ่งก็คงไม่พ้นพวกฝรั่งตาน้ำข้าว...แต่อันดับสองนี่ซิครับไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นหนุ่มไทยนี่เอง....

ที่ผมนั่งพิมพ์มาซะยืดยาวนี่ก็เพียงแค่จะบอกว่าคนส่วนใหญ่เขาแอนตี้สงครามครับแม้แต่ชาติที่ผ่านสงครามมายาวนานอย่างเวียตนามก็ตาม เพราะสงครามไม่ได้ทำให้คนทุกคนได้ประโยชน์ ตรงกันข้ามมีแต่ความสูญเสีย คนที่ได้ประโยชน์ก็คงมีแค่เพียงไม่กี่คนหรอกครับ....

ผมเคยนอนพูดคุยกับคนเวียตนามที่เป็น จนท สายการบินไทยที่สาขาโฮจิมินห์เกียวกับความเจริญของเวียตนามกับไทยว่าแตกต่างกันไหม เธอยอมรับว่าความเจริญของเวียตนามด้อยกว่าไทยหลายเท่าก็เพราะสงครามเป็นเหตุ หากไม่มีสงครามแล้วเวียตนามอาจจะเจริญกว่าไทยอีก เพราคนไทยดูจะสบาย ๆ ไม่ค่อยจริงจังกับชีวิตมากนัก แถมมียังปัญหาต่อกันอีก ... ผมก็เลยใช้ภาษากายเถียงเธอไปซะแทบแย่.....
อ้อ..ผมลืมไปอีกอย่างหนึ่งครับ ช่วงหลังสงครามเวียตนามเราจะเห็นเด็ก ๆ ข้าวนอกนาที่บ้านเรามากมายเช่นที่ อุดร สัตหีบ ตาคลี ฯ แต่ที่โฮจิมินห์ไม่มีเลยครับทั้ง ๆ ที่หลังสงครามแล้วจะมีเด็กๆที่น่าสงสารเหล่านี้ไม่น้อยในโฮจิมินห์ ทราบไหมครับว่าเด็ก ๆ ไปไหนหมด........ ทางอเมริกันรับเด็กๆ เหล่าไปอยู่ที่อเมริกาหมดครับ...

สงครามควรมีแค่ปกป้องอธิปไตยของชาติก็น่าจะพอแล้ว.....แต่แหม...คิด ๆ แล้วมันก็น่าเปิดสงครามกับอีตาฮุนเซนจังเลย...อ้าว....