
ผมว่าการที่นายกไป 3 จว. ใต้ สงสัยจะลบมากกว่าบวก
เงี่ยหูฟังชาวตันหยงลิมอ ความรู้สึกหลังสัมผัสท่านผู้นำ พลันที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คล้อยหลังออกจากหมู่บ้านตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ระหว่างเดินทางลงพื้นที่ไปปฏิบัติภารกิจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา บรรยากาศภายในหมู่บ้านได้กลับคืนสู่สภาพปกติ
ถนนสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรถตามขบวนนานาชนิด และเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองความปลอดภัยเหลือบางตา ชาวบ้านที่ออกมาดูนายกรัฐมนตรีต่างทยอยเข้าบ้านไปพักผ่อนและถือศีลในช่วงรอมฎอน มีเพียงทหารบางนายที่ยังคงจับกลุ่มสนทนากับชาวบ้านบางคนที่มัสยิด ในขณะที่ชาวบ้านอีกหลายคนนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันบริเวณหน้าบ้าน
หนึ่งในชาวบ้านตันหยงลิมอ กล่าวว่า ตั้งแต่เหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชา การสังหารสองนาวิกโยธิน เรื่อยมาจนถึงการออกหมายจับและควบคุมตัวชาวบ้านไปหลายคนแล้ว สถานการณ์ในหมู่บ้านแย่ลงมาก
การลงมาเยี่ยมชาวบ้านของนายกรัฐมนตรีลดความตึงเครียดในหมู่บ้านให้ผ่อนคลายลง เพราะอย่างน้อยไม่ว่าจะมาเพื่ออะไรแต่ก็ดีกว่าไม่มา และหากเป็นไปได้อยากให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเยี่ยมชาวบ้านดีๆ แบบครั้งนี้บ้าง ส่วนการมาต้อนรับในวันนี้ได้รับความสนใจทั้งชาวบ้านในหมู่ 7 บ้านตันหยงลิมอ รวมถึงชาวบ้านจากต่างหมู่บ้านรอบข้างอีกหลายคน
จริงๆ แล้วจะมีคนมาต้อนรับนายกฯมากกว่านี้ แต่ตอนนี้บางบ้านก็ไม่มีคนอยู่ ข่าวที่ออกหมายจับมากมายทำให้ชาวบ้านกลัวไม่กล้าอยู่บ้าน เพราะอาจจะถูกจับเหมือนคนอื่นๆ
เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มาระบุว่ารู้ตัวคนร้ายที่ยิงกราดร้านน้ำชาแล้วซึ่งเป็นคนในหมู่บ้าน ไม่ใช่คนนอกนั้น ประเด็นนี้ทำให้ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยชาวบ้านหลายคนให้ความเห็นว่า เชื่อได้ยาก เพราะชาวบ้านยังตั้งข้อสังเกตหลายประการเกี่ยวกับผู้ที่กราดยิงร้านน้ำชาในคืนนั้น เช่น รถกระบะที่วิ่งเข้ามาก่อเหตุได้ทั้งๆ ที่มีด่านตรวจของทหารปิดหัวท้ายหมู่บ้าน เป็นต้น
ชาวบ้านส่วนหนึ่งที่นั่งรวมกลุ่มสนทนาในร้านน้ำชาให้ความเห็นว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดว่าคนร้ายเป็นคนในหมู่บ้านนั้นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เหมือนกับพยายามบังคับให้ชาวบ้านเป็นโจร ชาวบ้านไม่เชื่อแน่นอน อีกทั้งการมาของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่เห็นว่าจะสามารถเข้าถึงชาวบ้านได้ เพราะเป็นการมาถึงแล้วพูดอยู่ฝ่ายเดียว พูดเสร็จก็ยกขบวนกลับ
จากการสอบถามชาวบ้าน ทำให้ทราบว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางมาที่หมู่บ้าน และได้แวะพูดคุยกับเยี่ยมเยียนชาวบ้านเฉพาะบริเวณมัสยิด ศาลาจุดเกิดเหตุสังหาร 2 นาวิกโยธิน และบริเวณร้านน้ำชาเท่านั้น แต่ไม่ได้เข้าเยี่ยมญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงแต่อย่างใด
ในขณะที่พ่อของ อาซูวัน อาแว เหยื่อที่ถูกยิงเสียชีวิตในร้านน้ำชา คืนวันเกิดเหตุ ซึ่งออกมาทำบุญที่มัสยิดภายหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางออกจากหมู่บ้านไปแล้ว เปิดเผยว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีลงมาที่หมู่บ้าน ตนไม่ได้ออกมาต้อนรับนายกฯ เนื่องจากไม่สบายและนอนพักอยู่ที่บ้าน อีกทั้งยังไม่มีเรื่องร้องขออะไรจากนายกรัฐมนตรี ส่วนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในร้านน้ำชาคืนนั้นแม้จะอยากรู้แต่ก็คิดว่าคงไม่มีทางได้รู้ความจริง
ปวดหัว เลยไม่อยากออกมา นอนอยู่บ้านเฉยๆ ได้แต่กังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวและอยู่ในช่วงทำใจ อีกทั้งยั้งวิตกกังวลว่าจะถูกซัดทอดให้เป็นโจรเสียเองพ่อของเหยื่อผู้สูญเสียกล่าว
ด้านกลุ่มผู้หญิงประมาณ 9 คนที่จับกลุ่มสนทนาอยู่หน้าบ้าน เปิดเผยผู้สื่อข่าวว่า นายกรัฐมนตรีพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กๆ ในหมู่บ้านให้บอกว่าใครเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยกล่าวว่าถ้าใครบอกจะให้เงิน
เข้าใจว่าที่ถามเด็กเพราะเด็กไม่โกหกแน่นอน คำตอบที่ได้จากเด็กก็ถูกต้องแล้ว เพราะเด็กๆ ทุกคนตอบว่าไม่รู้ จะรู้ได้อย่างไร คนมาชุมนุมวันนั้นเยอะแยะใครจะให้ลูกหลานออกมาจากบ้านทุกคน
สุดท้ายนายกรัฐมนตรีได้ให้เงินมา 5,000 บาท โดยบอกว่าให้เอามาแบ่งกัน ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าว
ลูกชายของผู้หญิงคนนี้ได้มีโอกาสใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะมาเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟัง และเมื่อนำคำพูดของนายกฯ ที่กล่าวกับชาวบ้านว่า คนร้ายที่ยิงชาวบ้านในร้านน้ำชากับที่สังหารโหดนาวิกโยธิน 2 คนเป็นกลุ่มเดียวกัน และเป็นคนในหมู่บ้านตันหยงลิมอนั้น กลุ่มผู้หญิงกลุ่มนี้ได้แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ต่างคนต่างพูดกันเสียงดัง
ชาวบ้านที่เห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน อยู่ดีๆ จะเอาปืนมายิงเด็กอย่างนั้นหรือ ผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นมา
นายกฯ อยากให้ชาวบ้านตันหยงลิมอเป็นโจรอย่างที่นายกฯ กล่าวหาใช่หรือเปล่า อยากให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ รับคำสารภาพเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ทำ นายกฯต้องการอย่างนี้ใช่ไหม ผู้หญิงอีกคนหนึ่งในกลุ่ม กล่าวเสียงขุ่น
คนในหมู่บ้านตันหยงลิมอเป็นโจรหรือเปล่า อาจจะมีหรือไม่มีพวกเราไม่รู้ แต่เราอยากให้นายกฯ ทักษิณ นึกบ้างว่าคนที่ดีอยู่ในหมู่บ้านตันหยงลิมอก็มี อย่ากล่าวหาแบบรวมๆได้ไหม เพราะทุกวันนี้ชาวบ้านไม่มีที่พึ่งแล้ว นายกฯยังกล่าวหาว่าเราเป็นโจรอีก
กับการที่นายกรัฐมนตรีเดินไปดูแค่อาคารเกิดเหตุ ไปดูมัสยิดและร้านน้ำชา ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีอยากไปพบปะกับญาติพี่น้องของผู้ที่เสียชีวิตในร้านน้ำชา หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น
ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มให้ความเห็นว่า ได้ยินว่านายกฯมา ก็นึกว่ามาแล้วจะพูดกับชาวบ้านเลยออกมาให้กำลังใจ แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือนายกฯ พูดกับนักข่าวฝ่ายเดียว ไม่ได้มาให้ความสำคัญกับชาวบ้านเหมือนอย่างที่คิดเลย ไม่รู้ว่านายกฯจะได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับตันหยงลิมอบ้างหรือเปล่า
ถ้าจะมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว นายกฯไม่ต้องลงมาดูก็ได้ หญิงสาวอีกคนหนึ่งเสริม
ในขณะที่ผู้หญิงอีกหลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า นายกฯคงกลัวว่าจะต้องเสียเงินให้กับชาวบ้าน พวกเราไม่ต้องการเงินที่ให้แบบไม่เต็มใจ เพราะมันไม่ดี หากเอาไปใช้แล้วพวกเรากลัวรวย พวกเราแค่อยากเห็นหน้านายกฯเท่านั้น ไม่เคยคิดจะขอเงินเลย
ถ้านายกฯ มาแล้วยิ่งทำให้ชาวบ้านรู้สึกไม่ดี ขออย่าได้มาเลยในโอกาสหน้า ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวในที่สุด
เศษเสี้ยวความคิดเห็นของชาวบ้านอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่นายกรัฐมนตรีต้องฟัง เมื่อท่าทีในการแก้ปัญหาของรัฐบาลคือต้องการจับชาวบ้านตันหยงลิมอที่สังหารนาวิกโยธินทั้งสองนายให้ได้ แล้วสรุปว่าคนนั้นเป็นคนที่ยิงเข้าไปในร้านน้ำชาด้วย
แล้วหลังจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นกับชาวบ้าน หากทุกคนในหมู่บ้านมั่นใจว่าคนที่รัฐจับกุมไม่ใช่คนร้ายแน่นอน เพราะคนในชุมชนรู้จักกันทุกคน มุมมองที่ชาวบ้านจะมองรัฐต่อไปจะเป็นอย่างไร
และที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าจะต้องพลิกแผ่นดินจับคนร้ายให้ได้ แต่คำถามที่แสดงถึงความห่วงใยให้กับครอบครัวของ อาซูวันและ นิมะ ผู้ที่สูญเสีย 2 ชีวิตเช่นกันอยู่ที่ไหน
ชาวบ้านรอฟังอยู่...
จาก http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9480000138416