นอกจากเรื่องแจ้งความแล้ว...
คราวหน้าคราวหลังต้องพกกล้องถ่ายรูปด้วยครับ... เอากล้องดิจิต้อลรุ่นถูกที่สุดราคาประมาณ 4,000.- กว่าบาท(เผื่อชุลมุลกันแล้วกล้องพัง แต่รูปยังอยู่ในการ์ดความจำ)...
เวลาขโมยของแล้วไล่ไม่ไปให้ยืนถ่ายรูปไว้เลยครับ แล้วถ่ายรูปขณะไล่เสียด้วย เอาให้เห็นหน้าคนให้ครบ เห็นทะเบียนรถยนต์ สิ่งปลูกสร้างข้างเคียงหรือต้นไม้ใหญ่ แสงเงาดวงอาทิตย์...
หากไล่ด้วยปากไม่ไปต้องไล่ด้วยลูกปืนแล้วครับ... สถานที่ก่อสร้างมีสิ่งของสามารถใช้เป็นอาวุธได้แยะ เช่นเครื่องมือก่อสร้าง หรือไม้หน้าสาม ท่อนเหล็กสารพันขนาด ล้วนแล้วแต่ถึงตายครับ...
ช่วงนายสมชายสร้างบ้านนายสมชายพกกล้อง+ปืนติดเอวตลอดเวลา(ซุกซ่อน)... เดินถ่ายรูปไปทั่ว Site งาน ถ่ายปูพรมทุกวันทุกซอกทุกมุม ก่อสร้างบ้านหนึ่งปีถ่ายรูปไปกว่าหมื่นรูป ถ่ายเสร็จแล้วกลับมานั่งดูรายละเอียดบนคอมพิวเตอร์ทุกวันครับ ทั้งที่ขณะถ่ายรูปไม่มีประเด็นว่าจะต้องถ่ายตรงไหนบ้าง แต่กลับมานั่งดูที่คอมฯแล้วจะเห็นประเด็นสำหรับควบคุมงานก่อสร้างครับ...
นอกจากนี้เวลาเกิดเรื่องต้องฟ้องผู้รับเหมา มีประเด็นตรงไหนก็มานั่งเปิดรูปย้อนหลัง มีรูปมีหลักฐานพร้อมทั้งบุคคลอ้างอิง เวลาอ้างอิง ฯลฯ... ขึ้นศาลสืบพยานสบายทนายครับ...
เรื่องจริงมิได้อิงนิยาย
การแสวงหาหลักฐานเพื่อใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ของตน เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในคดีความ ไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือเป็นจำเลย
ดังนั้นหากมีหลักฐานใดเกิดขึ้น ไม่ว่าร่องรอยการกระทำผิด สภาพที่เกิดเหตุ สิ่งของที่อยู่ในที่เกิดเหตุ พยานบุคคล หรือ บาดแผล ความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้น หากเราเก็บรักษาหลักฐานนั้นได้ให้อยู่ในสภาพเดิมได้ จะดีที่สุดอย่างยิ่ง
แต่ด้วยความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถเก็บหลักฐานหรือสภาพที่เกิดเหตุให้อยู่ในสภาพเดิมได้ตลอด สิ่้งที่สามารถทำได้และดีที่สุด คือถ่ายรูปเก็บภาพถ่ายไว้ดั่งที่พี่สมชายว่า
ซึ่งหากเจ้าตัว ไม่ได้ติดต่อทนายทันทีหลังเกิดเหตุ หรือมาติดต่อหลังจากเรื่องผ่านไปเป็นปี คงลำบากครับที่จะมีหลักฐานใดๆหลงเหลืออยู่ให้ทนายถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน

คดีตัวอย่าง ผู้ตายได้ร่วมกับพวก นำไม้และมีดพร้าเข้ามาทบตีจำเลยและลูกเมีย ภายในบ้านของจำเลยจนเกิดการชุลมุน ข้าวของกระจาย
จนจำเลยใช้อาวุธมีดทำครัวซึ่งหยิบได้ในขณะนั้น แทงผู้ตายไปทีหนึ่งเพื่อป้องกันตัว
หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุ จำเลยแจ้งเรื่องราวให้สายตรวจฟัง และได้รับคำแนะนำว่าให้ไปแจ้งความ
ทางจำเลยพาลูกเมียไปแจ้งความและนำอาวุธมีดของกลางไปมอบ
ปัญหาอยู่ที่ว่า พนักงานสอบสวนมิได้ไปในที่เกิดเหตุในวันนั้นทันที แต่หลายวันกว่าจะไป
ด้วยความที่จำเลยและครอบครัวเข้าใจว่าแจ้งความแล้วคงไม่มีปัญหา จึงเก็บกวาด เช็ดถูคราบเลือด
เก็บไม้และมีดของฝ่ายผู้ตายไปกองข้างบ้าน จนสภาพที่เกิดเหตุเปลี่ยนไปเรียบร้อย
โดยมิได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานเก็บไว้ หรือเร่งรัดให้พนักงานสอบสวนมาดูที่เกิดเหตุ
ต่อมาจำเลยได้รับหมายเรียกให้ไปทราบข้อกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
จำเลยให้การต่อสู้ว่าป้องกันตัวเนื่องจากผู้ตายและพวกมาตีตนเองและลูกเมียในบ้าน จึงใช้มีดแทงผู้ตายในบ้านของตน
พนักงานสอบสวนจึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ คือบ้านของจำเลย ................. ถ่ายภาพบ้านที่อยู่ในสภาพเรียบร้อย และกองมีดไม้ที่อยู่ข้างบ้าน
สุดท้าย สำนวนขึ้นสู่ศาล ญาติผู้ตายและพวกของผู้ตายให้การเป็นพยานโจทก์ว่า เหตุเกิดบนถนน มิใช่ในบ้าน และจำเลยวิ่งเอามีดมาแทงผู้ตาย
ไม่มีพฤติการณ์เรื่อง กลุ่มผู้ตายใช้อาวุธมาทุบตีในบ้าน และไม่มีหลักฐานใดๆแสดงว่ามีเหตุร้ายในบ้านก่อนผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทง
จำเลยสู้ว่าป้องกันตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
แต่ปรากฏว่า จำเลยไม่มีหลักฐานใดๆแสดงว่ามีเหตุต่อสู้ในบ้านจำเลย ก่อนที่ผู้ตายถูกแทง
ทั้งปรากฏจากภาพกองมีดและสภาพบ้านจำเลยมิได้อยู่ในสภาพเดียวกับวันเกิดเหตุ
พยานโจทก์ยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุมิได้เข้าไปในบ้านจำเลย
จำเลยมีเพียงลูกเมียจำเลย ซึ่งให้การช่วยเหลือจำเลยได้
รอยฟกช้ำตามใบรับรองแพทย์ของภรรยาและบุตรจำเลย น่าจะเกิดขึ้นจากที่ฝ่ายจำเลยสมัครใจเข้าวิวาทกับฝ่ายผู้ตาย
เชื่อว่าเหตุเกิดบนถนนสาธารณะ
จึงเชื่อว่าเป็นการสมัครใจเข้าวิวาทจึงไม่อาจอ้างเหตุป้องกันได้
เมื่อจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธมีดแทงผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
