สมมุติเหตุการณ์นะครับ เกิดมีการทะเลาะวิวาทกันแล้วฝ่ายตรงข้ามมีอาวุธปืนแล้วชักออกมาข่มขู่ ที่นี้มี 2 กรณีน่ะครับ 1.ชักอาวุธปืนขึ้นมาแล้วชี้ปืนมาที่เราแล้วนิ้วชี้เข้าโกร่งไกปืน กลับ 2. ชักอาวุธปืนขึ้นมาแล้วชี้ปืนมาที่เราแล้วนิ้วชี้อยู่นอกโกร่งไกปืน แบบนี้ทางกฎหมายจะว่า แบบที่1 เป็นการพยายามฆ่าหรือเปล่า กับ แบบที่ 2 เป็นการข่มขู่หรือเปล่าครับ รบกวนพี่ ๆหน่อยน่ะครับ

ถ้ามีเจตนากระทำผิดกฎหมายแล้วนิ้วจะอยู่ในโกร่งไกหรือไม่ ผลในทางกฎหมายไม่ต่างกันครับ เพราะการกระทำในลักษณะดังกล่าวถือว่าใกล้
เคียงกับการกระทำความผิดสำเร็จแล้วเหลือเพียงแค่เอานิ้วเหนี่ยวไกเท่านั้นเอง ส่วนจะเป็นความผิดฐานใดบ้างนั้นต้องดูข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป
ครับ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะครับ กรณีแรก นาย ก. ยกปืนเล็งไปที่ นาย ข. โดยเอานิ้วเข้าไปในโกร่งไกแล้ว แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นาย ก.
แค่ต้องการยกปืนขึ้นขู่ นาย ข. เท่านั้น แต่ไม่ได้ยิง นาย ข. ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะยิงได้ เมื่อ นาย ข. ตกใจวิ่งหนีไป นาย ก. ก็ปล่อยให้ นาย ข.
หนีไปโดยไม่ได้ไล่ติดตาม นาย ข. แต่อย่างใด จากนั้น นาย ก. ก็เก็บปืนใส่ซองเดินหันหลังกลับบ้านไป กรณีเช่นนี้มีคำพิพากษาฎีกาหลายเรื่อง
พิพากษาไว้ว่าไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าครับ เพราะรูปคดีเห็นได้ชัดเจนว่า นาย ก. ไม่ได้มีเจตนาจะใช้ปืนยิง นาย ข. ให้ถึงแก่ความตาย มี
เจตนาเพียงจะข่มขู่ นาย ข. ให้เกิดความกลัวเท่านั้น แต่อาจเป็นความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๒ ได้
กรณีที่สอง เปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็น นาย ก. เห็น นาย ข. ซึ่งเป็นคู่อริเก่าเดินผ่านมา นาย ก. จึงชักปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ นาย ข. โดย
นาย ข. ไม่ทันรู้ตัว แต่ยังไม่ทันจะเหนี่ยวไกเพียงแต่เอานิ้วทาบไว้นอกโกร่งไกเท่านั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินผ่านมาพอดี
นาย ก. เกิดความกลัวว่าหากยิง นาย ข. ไปแล้วอาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ นาย ก. จึงลดปืนใส่ซองแล้วเดินกลับบ้านไป ซึ่งกรณีนี้ถือว่า
นาย ก. มีเจตนาฆ่า นาย ข. ตั้งแต่แรก และได้ลงมือกระทำไปเกือบสำเร็จแล้ว เหลือเพียงแค่เหนี่ยวไกยิงเท่านั้น แต่มีเหตุปัจจัยภายนอกมาขัด
ขวางทำให้ไม่สามารถเหนี่ยวไกยิง นาย ข. ได้ กรณีนี้ นาย ก. ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่า นาย ข. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
ประกอบมาตรา ๘๐ ไปเต็ม ๆ ครับ
พอจะเห็นรึยังครับว่าข้อเท็จจริงต่างกันนิดเดียวผลในทางคดีและโทษต่างกันลิบลับ ดังนั้นบางกรณีก็ยากที่จะฟันธงได้ ต้องดูข้อเท็จจริงอื่น
ประกอบเป็นเรื่อง ๆ ไปด้วยครับ