
เมื่อประมาณต้นปี ได้พบเห็นอุบัติเหตุ ต่อหน้าต่อตา ข้างหน้าประมาณระยะ 100 เมตร โดยมีมอเตอร์ไซค์ ขับปาดจากไหล่ทาง
ข้างถนน ตัดหน้ารถทางตรงบนถนน 3 เลน ผมวิ่งมาเลน 2 มองเห็นแว๊บเดียว ภาพชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซค์แตกกระจาย เหมือนโดนระเบิด เพราะโดนฟอจูนเนอร์ที่วิ่งในเลนที่ 3 ชนอย่างแรงโดยไม่ได้เบรคเลย เพราะไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งปาดหน้ารถมา 2 เลน
คนขับมอเตอไซค์ กระเด็นมาที่เลน 2 ซึ่งตอนแรก ผมคิดว่าไม่น่าจะรอด เพราะกระแสรถตอนนั้นวิ่งกันไม่ต่ำกว่าร้อย กม./ชม.แน่นอน
เวลาประมาณใกล้ 2 ทุ่มบริเวณนั้นมืดมาก (เพชรเกษมขาเข้า ช่วงเขาย้อย-วังมะนาว)
จากอดีต เคยเห็นศพที่โดนรถทับจนเละเหมือนศพสุนัขที่โดนรถทับ ประมาณ กม.8 - 9 ถนนบางนา - ตราดเมื่อประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว สมัยนั้นถนนบางช่วงไม่มีไฟ มืดมาก ความคิดในตอนนั้น คิดว่าตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุ ครั้งแรก เขาอาจจะยังไม่เสียชีวิตก็ได้
แต่ด้วยไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ คู่กรณีหนี ไม่ได้จอดให้ความช่วยเหลือ และถนนมืดมาก จึงทำให้รถที่วิ่งตามหลังมา ทับซ้ำ แล้วถ้ารถที่ทับซ้ำ เป็นรถบรรทุก รถต่างๆที่วิ่งตามหลังมา ก็คงจะคิดว่าตัวเองขับรถทับทรากสุนัขโดยไม่รู้ว่าเป็นร่างมนุษย์
พอผมเห็นตำแหน่งผู้บาดเจ็บนอนอยู่บนพื้นถนนแล้ว(นอนอยู่ กลางเลน 2 ) ผมไม่รีรอที่จะนำรถ(อีซูสุ ไฮแลนเดอร์)ไปจอดบล็อค ร่างผู้บาดเจ็บทันที (นอนนิ่งไม่ไหวติง)
ผมคิดว่า ถึงแม้ว่าเขาจะเสียชีวิตแล้ว แต่สภาพศพของเขาควรจะเสียหาย น้อยที่สุด พร้อมทั้งเปิดไฟฉุกเฉิน ไม่ได้ลงจากรถ เพราะอยู่บนรถน่าจะปลอดภัยกว่า
ตอนนั้น รถก็ยังขับเร็วกันมาก มาเบรกที่ท้ายรถก็หลายครั้ง เพราะแซงซ้ายแล้วมาตบขวาเข้า รอกู้ชีพเพชรบุรี น่าจะนานเกินครึ่งชั่วโมง
แต่ที่ดีใจที่สุด และภูมิใจที่สุดก็คือ ก่อนคู่ชีพมาเล็กน้อย คนเจ็บได้ยกแขนตั้งขึ้นและยกลง ทำให้ผมและทุกคนในรถดีใจที่เขายังมี
ชีวิตอยู่ หลังจากนั้นกู้ชีพก็นำคนเจ็บส่ง รพ. ร้อยเวรเดินมาขอชื่อและขอบคุณ พนักงานมูลนิธิเดินมายกมือไหว้ขอบคุณ ว่าถ้าไม่ได้
พี่ คงจะเก็บลำบากแน่ ๆ คนเจ็บน่าจะเป็นคนแถวนั้นและน่าจะดื่มมา ไม่น้อย เลย

ส่วนคู่กรณี ต้องจอด ห่างออกไปเป็นร้อยเมตรไปไม่รอด เพราะซากรถมอเตอร์ไซค์ เข้าไปขัดติดในซุ้มล้อหน้าซ้าย ยับเยิน