อย่างนี้ญี่ปุ่นก็เก่งกว่าเขาสิครับพี่โหน่ง

ทำลูกเล็กมาตั้งแต่สงครามครั้งที่หนึ่งเลย--เขียมไปหลายตังค์

+1
กลับกันครับ ............... ตอนแรกญี่ปุ่นคิดดีกว่า ทำกระสุน 6.5 มม. อาริสซากะ ออกมา รีคอยนุ่มนวล แค่นี้ก็ยิงคนตายแหงแก๋แล้ว
พอเอาไปใช้กับปืนกลกับปืนกลอากาศติดเครื่องบิน ..................อานุภาพของกระสุนไม่รุนแรงต่อเป้าหมายขนาดใหญ่หรือยานพาหนะ รบกันหนักเข้าๆ กระสุน 6.5 มม. อานุภาพไม่เพียงพอในการรบ .....................
ต้องออกแบบกระสุนใหม่ในขนาด 7.7 มม. แล้วปรับปืนอาริสซากะ Type38 เป็น Type 99 .................. ซึ่งใช้ร่วมกันกับปืนกลและปืนกลอากาศได้ สะดวกในการผลิตและส่งกำลังบำรุง
ดูๆไปแล้วสงสารญี่ปุ่นนะครับ

รบกับเขาแบบจนๆในหนังแปซิฟิคเห็นแล้วอนาถามากอยู่แบบอดๆอยากๆ--มารีนในเรื่องนั้นก็ใช้สปริงฟิลด์แบบพี่โหน่งนะครับ มาท้ายๆเรื่องถีงจะมี ปลยบ.88 ใช้
--คนในตะกูลผมก็ตายกับอาริซากะเป็นสิบๆคนนะครับ

ตอนนั้นพ่อผมอายุได้สัก 14-15 ปี ญี่ปุ่นก็บุกมาจนถึงซัวเถา (แน่นอนครับผ่านนานกิงมาเรียบร้อยที่นี่คนจีนตายเป็นแสนๆ) หมู่บ้านไผ่เหลืองของพ่อก็อยู่ที่เมืองซัวเถานี่ด้วย ตอนตีห้าของวันนั้นคนที่ออกไปทำนาก่อนก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในหมู่บ้านบอกว่า มีทหารญี่ปุ่นประมาณสิบคน คงจะหนึ่งหมู่ปืนเล็ก เข้ามาปักธงตั้งเต็นท์ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านหุงหาอาหารกินกัน พอข่าวสะพัดบรรดาดาวบู๊ประจำตำบล (เมืองจีนเวลาสงบนั้นระหว่างหมู่บ้าน

ชอบยกพวกไปรบกันยิงกัน) พ่อผมเรียกพวกนี้ว่า"บรรดาอาเจ็ก"ก็ระดมพลได้ประมาณร่วมๆร้อยคนอาวุธพร้อมทั้งปืน,ดาบ,มีด แล้วยกพลไปตีทหารญี่ปุ่นกะขยี้ให้เละ

พ่อผมก็ไม่ได้เห็นเหตุการณ์เพราะไม่ได้ไปด้วยได้ยินแต่เสียงปืน รู้แต่ว่าเหลือรอดกลับมาได้ไม่กี่คน

ที่กลับมาก็เล่าว่า
" พวกมันตัวเล็กๆผอมๆเตี้ยๆ ปืนของมันยาวราวกับหอก พวกมันเคลื่อนไหวเหมือนผียิงอย่างไรก็ไม่ถูก"(คงจะมีการขุดหลุมบุคคลไว้รอตั้งรับไว้แล้วมังครับ)และพวกมันก็ยิงแม่นอย่างที่สุด ตั้งแต่ไกลๆก็โดนมันยิงร่วงเป็นสิบคน ตอนบ่ายของวันนั้นพวกคนแก่ก็ขอญี่ปุ่นไปเก็บศพเพื่อกลับมาฝัง

ศพคนนำไปต่อสู้ญี่ปุ่นมันไม่ยอมให้เก็บไปฝังมันหั่นเป็นสี่ท่อน ทิ้งไว้ปากทางแยก---พ่อผมเล่าว่าเสียงปืนของญี่ปุ่นตอนนั้นที่ฟังไกลๆ--เสียงไม่เหมือนปืนของบรรดาอาเจ็กเสียงดังแหลมๆแปลกๆ---
พี่โหน่งครับเสียงปืนอาริซากะนี่ไม่เหมือนกระบอกอื่นหรือครับ 