เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
มิถุนายน 09, 2025, 08:31:44 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สุนัขที่ซื่อสัตย์  (อ่าน 5309 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 04:25:03 PM »

เก่งๆเจ๋งๆเห็นมาเยอะแล้วครับ เจอพวกยกๆยอๆ ชวนกินเหล้า พอเมาแล้วพวกลากไปนอนเลนซ้ายสุดถนนบางนาตราด ตอนตีสอง
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #31 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 05:42:32 PM »





รูปหล่อสุนัขอันโด่งดัง ชื่อ ฮาจิโกะหรือฮาจิ ก็จะรู้สึกแปลกสักหน่อย เพราะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่นีหรือจุดนัดพบที่สำคัญซะแล้ว ยิ่งได้อ่านประวัติความเป็นมาแล้ว จะซาบซึ้งมาก มารู้จักเจ้าตัวนี้กันสักหน่อยดีกว่า

“สิ่งที่ยังคงอยู่เหลืออยู่ในปัจจุบันนี้คือ ความกตัญญูต่อเจ้าของ ซึ่งเป็นตัวแทนให้ระลึกถึงความซื่อสัตย์ โดยการเฝ้าการกลับมาของเจ้านายอยู่เสมอ” น่าจะเป็นคำพูดที่กล่าวถึงเจ้าฮาจิโกะได้ดี
ฮาจิโกะเป็นสุนัขสายพันธ์อากิตะ ซึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกเมื่อ 10 พฤศจิกายน 1923 ในจังหวัดอากิตะ โดยเมื่ออายุได้เพียง 2 เดือนเจ้าฮาจิโกะถูกส่งตัวไปอยู่กรุงโตเกียวกับเจ้านายของมันคือ เอชะบุโระ อุเอะโนะ (Hidesamuroh Ueno) ศาสตราจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (มหาวิทยาลัยโตเกียวในปัจจุบัน) ซึ่งศาสตราจารย์รู้สึกภาคภูมิใจกับเจ้าฮาจิโกะเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นสุนัขอากิตะสายพันธุ์แท้ซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น

ในวันที่นายต้องไปสอนหนังสือ ฮาจิโกะจะคอยส่งเจ้านายถึงประตูหน้าบ้าน โดยอุเอะโนะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุยะ จากนั้นเมื่อถึงเวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว เจ้าฮาจิโกะจะมากระดิกหางรอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟอยู่เสมอ แต่แล้ววันหนึ่งในวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม 1925 ศาสตราจารย์ อุเอะโนะ เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น ฮาจิโกะยังคงมารอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟ โดยไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มันจะไม่ได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว เนื่องจากเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

หลังจากที่ศาสตราจารย์อุเอะโนะเสียชีวิต ภรรยาของเขาได้ย้ายบ้านไปและนำเจ้าฮาจิโกะไปให้กับญาติของศาสตราจารย์ที่อยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟหลายกิโลเมตร แต่ว่าเจ้าสุนัขพันธุ์อากิตะผู้ซื่อสัตย์กลับไม่ยอมอยู่กับเจ้านายใหม่ของมัน เพราะทันทีที่มันหนีหลุดออกมาได้ มันวิ่งตรงไปที่บ้านเก่าของมันแต่เมื่อไม่เจอใคร มันจึงกลับไปรอที่สถานีรถไฟเหมือนเมื่อครั้งที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่ โดย คิคุซะบุโระ โคบายาชิ อดีตคนสวนของศาสตราจารย์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเป็นคนคอยดูแลเจ้าฮาจิโกะแทน

ทุกวันเมื่อถึงเวลา 15.00 น. เจ้าฮาจิโกะจะวิ่งไปรอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟไม่เคยขาด ทุกครั้งที่รถไฟเข้า มันก็จะชูคอชะเง้อมองหานายของมัน ทำแบบนั้นตรงเวลา เหมือนเดิมเช่นทุกๆ วัน ปฏิบัติแบบนั้นตลอดระยะเวลา 10 ปี บางคนก็ให้อาหารบ้าง และสงสัยว่า อาจจะเป็นเพราะหิวอาหารจึงมาทุกวัน แต่เมื่อดูพฤติกรรมอย่างถ่องแท้แล้ว มันจะมาเฉพาะช่วงตอนเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะการชะเง้อมองรถไฟขบวน เวลา 15.00 น.เมื่อเข้าจอด ซึ่งไม่ใช่มาเพื่อหาอาหารกิน ทำให้เรื่องราวความซื่อสัตย์ของมัน เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวของมันถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในปี 1932 ทำให้ผู้คนทั่วสารทิศเดินทางมาดู มาเล่นกับเจ้าฮาจิโกะ นอกจากนั้น ชาวญี่ปุ่นยังได้ยกให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆอีกด้วย

ชื่อเสียงความภักดีของฮาจิได้รู้ไปถึงพระราชินีญี่ปุ่น พระองค์จึงได้ทรงให้ช่างหล่อรูปทองแดง ฮาจิโกะ สร้าง
ขึ้นในเดือนเมษายน 1934 โดย อันโดะ เทะรุ ศิลปินชื่อดัง เพื่อยกย่อง และนำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบูยะ อย่างไรก็ตาม วันที่ 8 มีนาคม 1935 ฮาจิโกะก็ได้กลับไปพบกับเจ้านายของมันอีกครั้ง โดยมีคนพบว่าฮาจิโกะนอนตายยังจุดที่มันคอยมารอเจ้านายของมัน ที่ทำมาทุกวันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งข่าวการตายของฮาจิโกะนั้นถือว่าเป็นข่าวใหญ่มาก จนถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น สำหรับร่างของฮาจิโกะนั้นถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว

แม้ว่าฮาจิโกะจะจากไปแล้วแต่เรื่องที่น่าสนใจจากฮาจิโกะยังคงไม่จบ เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้เหล็กและโลหะเป็นอย่างมาก จนถึงกับต้องเอารูปหล่อของเจ้าฮาจิโกะมาหลอมเลยทีเดียว กระนั้นความซื่อสัตย์ของฮาจิโกะยังคงไม่เคยถูกลืมไปจากใจชาวญี่ปุ่น เพราะในเวลาต่อมาได้มีการจัดทำรูปหล่อของฮาจิโกะขึ้นมาอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 1947 และศิลปินผู้รับหน้าที่นี้ก็คือ อันโดะ ทะเคะชิ ลูกชายของ อันโ ดะ เทะรุ ผู้ที่ทำหน้าที่สร้างรูปหล่อฮาจิโกะเมื่อครั้งแรกนั้นเอง ซึ่งปัจจุบันจุดที่รูปหล่อฮาจิโกะตั้งอยู่นั้นได้กลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของย่านชิบูยะ

ทั้งนี้ นอกจากรูปหล่อที่ย่านชิบูยะแล้ว ยังคงมีรูปปั้นที่เตือนให้ระลึกถึงฮาจิโกะอยู่อีกหลายแห่ง เช่น ที่หน้าสถานีรถไฟโอะดะเตะ ในจังหวัดอากิตะ บ้านเกิดของเจ้าฮาจิโกะ เป็นต้น ส่วนเรื่องของเจ้าฮาจิโกะยังคงเป็นที่เล่าขานในญี่ปุ่น ถึงขนาดมีการนำไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน และอื่นๆอีกมากมาย

เรื่องราวความอดทน ความหวัง ความซื่อสัตย์ที่มีอยู่ในตัวสุนัขตัวเล็กๆ ตัวนี้เลยกลายไปเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ และคนญี่ปุ่นทุกคนได้เรียนและรู้เรื่องของฮาจิซึ่งมีอยู่ตามสื่อต่างๆ แม้กระทั่งหนังสือเรียน ขนาดมีการนำไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน และอื่นๆอีกมากมาย
credit : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moddang2&month=23-01-2008&group=9&gblog=5
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #32 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 05:48:33 PM »

ขอบคุณครับพี่ซิก ที่นำสาระดีๆมาฝาก
+1ให้แทนคำขอบคุณครับ  ไหว้
บันทึกการเข้า
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #33 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 06:00:29 PM »

ขอบคุณครับพี่ซิก ที่นำสาระดีๆมาฝาก
+1ให้แทนคำขอบคุณครับ  ไหว้


ขอบคุณครับ Grin
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #34 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 06:19:27 PM »

ขอบคุณครับพี่ซิก ที่นำสาระดีๆมาฝาก
+1ให้แทนคำขอบคุณครับ  ไหว้


ขอบคุณครับ Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2010, 10:47:38 PM โดย ศักดา. » บันทึกการเข้า
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #35 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 09:08:05 PM »



ย่าเหลเป็นหมาพันทาง ขนยาวปุย สีขาว คางดำ เกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม
วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จตรวจเรือนจำ  ได้ทอดพระเนตรเห็นลูกหมาตัวหนึ่ง
ก็ตรัสชมว่าน่ารักน่าเอ็นดู  เจ้าของจึงถวายให้ทรงรับมาเลี้ยงไว้  แล้วพระราชทานนามว่า ย่าเหล

ย่าเหลเป็นสุนัขที่เฉลียวฉลาดแสนรู้ช่างประจบ
ถวายความจงรักภักดี ในหลวงท่านเป็นอย่างยิ่งเสมือนเป็น
ทหารรักษาพระองค์  จึงเป็นที่โปรดปรานมาก  แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความอิจฉาริษยา
และชิงชังให้ข้าราชบริพารบางคนในราชสำนัก

เคยมีเจ้านายบางพระองค์ และข้าราชบริพารบางคนถูกย่าเหลกัด
ต่อหน้าพระที่นั่ง  ก่อให้เกิดความเจ็บแค้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินโดยลำพัง
ไม่ทรงนำย่าเหลไปด้วยจึงเป็นโอกาสให้มหาดเล็กบางกลุ่มรุมทำร้ายเอา

วันต่อมาขณะอยู่หน้าพระที่นั่ง ก็ถึงทีย่าเหลบ้าง  มันกระโดดเข้ากัด และเห่าอย่างเกรี้ยวกราด
กับผู้ที่เคยทำร้ายมัน ทั้งกัดทั้งเห่าแล้ววิ่งไปหาพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6  วิ่งกลับไปกลับมาทำที่เป็นเชิงฟ้อง
เมื่อพระองค์เข้าพระทัยก็กริ้ว และทรงบริภาษอย่างแรง  ทำให้มหาดเล็กผู้นั้นได้รับความอับอาย
และเจ็บแค้นมากยิ่งขึ้นไปอีก

ย่าเหลมีนิสัยชอบหนีออกไปเที่ยว  วันหนึ่งจึงมีผู้ไปพบย่าเหลนอนตายข้างกำแพงพระบรมมหาราชวัง
ด้านวัดโพธิ์ ท่าเตียน ย่าเหลถูกปืนยิงจนตาย  สันนิษฐานกันว่าคนที่ฆ่าย่างเหลต้องไม่ใช่มหาดเล็กธรรมดา
เพราะคนที่มีปืนได้ต้องเป็นคนชั้น พระยาพานทอง หรือเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนี่ง

การตายของย่าเหลนำความโทมนัสมาสู่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 อย่างมาก
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดงานศพอย่างดี มีหีบใส่ศพ
มีมหาดเล็กแต่งตัวเป็นสัตว์นานาชนิดเข้าร่วมขบวนแห่ด้วย  ของชำร่วยที่แจกในงานศพคือผ้าเช็ดหน้าพิมพ์รูปย่าเหล
มีตราวชิระที่มุมด้านขวา  พร้อมกันนี้ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้น หล่อด้วยทองแดง ประดิษฐ์ไว้หน้าพระตำหนัก
ชาลีมงคลอาสน์ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม
 
ชื่อ "ย่าเหล" พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงตั้งจากชื่อตัวละครในเรื่อง "My friend Jarlet"
ที่ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่เป็นภาษาไทยชื่อเรื่อง "มิตรแท้"
และย่าเหลก็ถูกยิงตายเหมือนกับยาเลต์ในละครเรื่องนี้เหมือนกัน ! ! !

สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปจะจดจำได้เกี่ยวกับพระราชวังแห่งนี้ ก็คืออนุสาวรีย์ย่าเหล “สุนัขทรงเลี้ยง” ของรัชกาลที่ ๖ ที่หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์  ย่าเหลเป็นสุนัขแสนรู้คู่พระทัย และคงเป็นด้วยเหตุนั้น จึงถูก “มือมืด” ยิงตายไป ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงสลดพระราชหฤทัยยิ่ง ถึงกับทรงนิพนธ์บทกวีไว้อาลัยอย่างซาบซึ้งจารึกบนแผ่นสำริดติดไว้ข้างฐาน  หลายคนก็คงคุ้นเคยกันดีกับ “อนุสาวรีย์นี้เตือนจิตร์  ให้กูคิดรำพึงถึงสหาย  โอ้อาไลยใจจู่ไม่รู้วาย กูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา  ยากที่ใครเขาจะเห็นหัวอกกู  เพราะเขาดูเพื่อนเห็นแต่เป็นหมา  เขาดูแต่เปลือกนอกแห่งกายา...”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2010, 09:15:35 PM โดย ซิกสุราษฎร์ ::: รักในหลวง » บันทึกการเข้า
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 07:10:00 AM »





รูปหล่อสุนัขอันโด่งดัง ชื่อ ฮาจิโกะหรือฮาจิ ก็จะรู้สึกแปลกสักหน่อย เพราะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่นีหรือจุดนัดพบที่สำคัญซะแล้ว ยิ่งได้อ่านประวัติความเป็นมาแล้ว จะซาบซึ้งมาก มารู้จักเจ้าตัวนี้กันสักหน่อยดีกว่า

“สิ่งที่ยังคงอยู่เหลืออยู่ในปัจจุบันนี้คือ ความกตัญญูต่อเจ้าของ ซึ่งเป็นตัวแทนให้ระลึกถึงความซื่อสัตย์ โดยการเฝ้าการกลับมาของเจ้านายอยู่เสมอ” น่าจะเป็นคำพูดที่กล่าวถึงเจ้าฮาจิโกะได้ดี
ฮาจิโกะเป็นสุนัขสายพันธ์อากิตะ ซึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกเมื่อ 10 พฤศจิกายน 1923 ในจังหวัดอากิตะ โดยเมื่ออายุได้เพียง 2 เดือนเจ้าฮาจิโกะถูกส่งตัวไปอยู่กรุงโตเกียวกับเจ้านายของมันคือ เอชะบุโระ อุเอะโนะ (Hidesamuroh Ueno) ศาสตราจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (มหาวิทยาลัยโตเกียวในปัจจุบัน) ซึ่งศาสตราจารย์รู้สึกภาคภูมิใจกับเจ้าฮาจิโกะเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นสุนัขอากิตะสายพันธุ์แท้ซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น

ในวันที่นายต้องไปสอนหนังสือ ฮาจิโกะจะคอยส่งเจ้านายถึงประตูหน้าบ้าน โดยอุเอะโนะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุยะ จากนั้นเมื่อถึงเวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว เจ้าฮาจิโกะจะมากระดิกหางรอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟอยู่เสมอ แต่แล้ววันหนึ่งในวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม 1925 ศาสตราจารย์ อุเอะโนะ เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น ฮาจิโกะยังคงมารอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟ โดยไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มันจะไม่ได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว เนื่องจากเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

หลังจากที่ศาสตราจารย์อุเอะโนะเสียชีวิต ภรรยาของเขาได้ย้ายบ้านไปและนำเจ้าฮาจิโกะไปให้กับญาติของศาสตราจารย์ที่อยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟหลายกิโลเมตร แต่ว่าเจ้าสุนัขพันธุ์อากิตะผู้ซื่อสัตย์กลับไม่ยอมอยู่กับเจ้านายใหม่ของมัน เพราะทันทีที่มันหนีหลุดออกมาได้ มันวิ่งตรงไปที่บ้านเก่าของมันแต่เมื่อไม่เจอใคร มันจึงกลับไปรอที่สถานีรถไฟเหมือนเมื่อครั้งที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่ โดย คิคุซะบุโระ โคบายาชิ อดีตคนสวนของศาสตราจารย์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเป็นคนคอยดูแลเจ้าฮาจิโกะแทน

ทุกวันเมื่อถึงเวลา 15.00 น. เจ้าฮาจิโกะจะวิ่งไปรอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟไม่เคยขาด ทุกครั้งที่รถไฟเข้า มันก็จะชูคอชะเง้อมองหานายของมัน ทำแบบนั้นตรงเวลา เหมือนเดิมเช่นทุกๆ วัน ปฏิบัติแบบนั้นตลอดระยะเวลา 10 ปี บางคนก็ให้อาหารบ้าง และสงสัยว่า อาจจะเป็นเพราะหิวอาหารจึงมาทุกวัน แต่เมื่อดูพฤติกรรมอย่างถ่องแท้แล้ว มันจะมาเฉพาะช่วงตอนเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะการชะเง้อมองรถไฟขบวน เวลา 15.00 น.เมื่อเข้าจอด ซึ่งไม่ใช่มาเพื่อหาอาหารกิน ทำให้เรื่องราวความซื่อสัตย์ของมัน เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวของมันถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในปี 1932 ทำให้ผู้คนทั่วสารทิศเดินทางมาดู มาเล่นกับเจ้าฮาจิโกะ นอกจากนั้น ชาวญี่ปุ่นยังได้ยกให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆอีกด้วย

ชื่อเสียงความภักดีของฮาจิได้รู้ไปถึงพระราชินีญี่ปุ่น พระองค์จึงได้ทรงให้ช่างหล่อรูปทองแดง ฮาจิโกะ สร้าง
ขึ้นในเดือนเมษายน 1934 โดย อันโดะ เทะรุ ศิลปินชื่อดัง เพื่อยกย่อง และนำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบูยะ อย่างไรก็ตาม วันที่ 8 มีนาคม 1935 ฮาจิโกะก็ได้กลับไปพบกับเจ้านายของมันอีกครั้ง โดยมีคนพบว่าฮาจิโกะนอนตายยังจุดที่มันคอยมารอเจ้านายของมัน ที่ทำมาทุกวันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งข่าวการตายของฮาจิโกะนั้นถือว่าเป็นข่าวใหญ่มาก จนถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น สำหรับร่างของฮาจิโกะนั้นถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว

แม้ว่าฮาจิโกะจะจากไปแล้วแต่เรื่องที่น่าสนใจจากฮาจิโกะยังคงไม่จบ เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้เหล็กและโลหะเป็นอย่างมาก จนถึงกับต้องเอารูปหล่อของเจ้าฮาจิโกะมาหลอมเลยทีเดียว กระนั้นความซื่อสัตย์ของฮาจิโกะยังคงไม่เคยถูกลืมไปจากใจชาวญี่ปุ่น เพราะในเวลาต่อมาได้มีการจัดทำรูปหล่อของฮาจิโกะขึ้นมาอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 1947 และศิลปินผู้รับหน้าที่นี้ก็คือ อันโดะ ทะเคะชิ ลูกชายของ อันโ ดะ เทะรุ ผู้ที่ทำหน้าที่สร้างรูปหล่อฮาจิโกะเมื่อครั้งแรกนั้นเอง ซึ่งปัจจุบันจุดที่รูปหล่อฮาจิโกะตั้งอยู่นั้นได้กลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของย่านชิบูยะ

ทั้งนี้ นอกจากรูปหล่อที่ย่านชิบูยะแล้ว ยังคงมีรูปปั้นที่เตือนให้ระลึกถึงฮาจิโกะอยู่อีกหลายแห่ง เช่น ที่หน้าสถานีรถไฟโอะดะเตะ ในจังหวัดอากิตะ บ้านเกิดของเจ้าฮาจิโกะ เป็นต้น ส่วนเรื่องของเจ้าฮาจิโกะยังคงเป็นที่เล่าขานในญี่ปุ่น ถึงขนาดมีการนำไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน และอื่นๆอีกมากมาย

เรื่องราวความอดทน ความหวัง ความซื่อสัตย์ที่มีอยู่ในตัวสุนัขตัวเล็กๆ ตัวนี้เลยกลายไปเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ และคนญี่ปุ่นทุกคนได้เรียนและรู้เรื่องของฮาจิซึ่งมีอยู่ตามสื่อต่างๆ แม้กระทั่งหนังสือเรียน ขนาดมีการนำไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน และอื่นๆอีกมากมาย
credit : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moddang2&month=23-01-2008&group=9&gblog=5



ย่าเหลเป็นหมาพันทาง ขนยาวปุย สีขาว คางดำ เกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม
วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จตรวจเรือนจำ  ได้ทอดพระเนตรเห็นลูกหมาตัวหนึ่ง
ก็ตรัสชมว่าน่ารักน่าเอ็นดู  เจ้าของจึงถวายให้ทรงรับมาเลี้ยงไว้  แล้วพระราชทานนามว่า ย่าเหล

ย่าเหลเป็นสุนัขที่เฉลียวฉลาดแสนรู้ช่างประจบ
ถวายความจงรักภักดี ในหลวงท่านเป็นอย่างยิ่งเสมือนเป็น
ทหารรักษาพระองค์  จึงเป็นที่โปรดปรานมาก  แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความอิจฉาริษยา
และชิงชังให้ข้าราชบริพารบางคนในราชสำนัก

เคยมีเจ้านายบางพระองค์ และข้าราชบริพารบางคนถูกย่าเหลกัด
ต่อหน้าพระที่นั่ง  ก่อให้เกิดความเจ็บแค้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินโดยลำพัง
ไม่ทรงนำย่าเหลไปด้วยจึงเป็นโอกาสให้มหาดเล็กบางกลุ่มรุมทำร้ายเอา

วันต่อมาขณะอยู่หน้าพระที่นั่ง ก็ถึงทีย่าเหลบ้าง  มันกระโดดเข้ากัด และเห่าอย่างเกรี้ยวกราด
กับผู้ที่เคยทำร้ายมัน ทั้งกัดทั้งเห่าแล้ววิ่งไปหาพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6  วิ่งกลับไปกลับมาทำที่เป็นเชิงฟ้อง
เมื่อพระองค์เข้าพระทัยก็กริ้ว และทรงบริภาษอย่างแรง  ทำให้มหาดเล็กผู้นั้นได้รับความอับอาย
และเจ็บแค้นมากยิ่งขึ้นไปอีก

ย่าเหลมีนิสัยชอบหนีออกไปเที่ยว  วันหนึ่งจึงมีผู้ไปพบย่าเหลนอนตายข้างกำแพงพระบรมมหาราชวัง
ด้านวัดโพธิ์ ท่าเตียน ย่าเหลถูกปืนยิงจนตาย  สันนิษฐานกันว่าคนที่ฆ่าย่างเหลต้องไม่ใช่มหาดเล็กธรรมดา
เพราะคนที่มีปืนได้ต้องเป็นคนชั้น พระยาพานทอง หรือเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนี่ง

การตายของย่าเหลนำความโทมนัสมาสู่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 อย่างมาก
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดงานศพอย่างดี มีหีบใส่ศพ
มีมหาดเล็กแต่งตัวเป็นสัตว์นานาชนิดเข้าร่วมขบวนแห่ด้วย  ของชำร่วยที่แจกในงานศพคือผ้าเช็ดหน้าพิมพ์รูปย่าเหล
มีตราวชิระที่มุมด้านขวา  พร้อมกันนี้ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้น หล่อด้วยทองแดง ประดิษฐ์ไว้หน้าพระตำหนัก
ชาลีมงคลอาสน์ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม
 
ชื่อ "ย่าเหล" พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงตั้งจากชื่อตัวละครในเรื่อง "My friend Jarlet"
ที่ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่เป็นภาษาไทยชื่อเรื่อง "มิตรแท้"
และย่าเหลก็ถูกยิงตายเหมือนกับยาเลต์ในละครเรื่องนี้เหมือนกัน ! ! !

สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปจะจดจำได้เกี่ยวกับพระราชวังแห่งนี้ ก็คืออนุสาวรีย์ย่าเหล “สุนัขทรงเลี้ยง” ของรัชกาลที่ ๖ ที่หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์  ย่าเหลเป็นสุนัขแสนรู้คู่พระทัย และคงเป็นด้วยเหตุนั้น จึงถูก “มือมืด” ยิงตายไป ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงสลดพระราชหฤทัยยิ่ง ถึงกับทรงนิพนธ์บทกวีไว้อาลัยอย่างซาบซึ้งจารึกบนแผ่นสำริดติดไว้ข้างฐาน  หลายคนก็คงคุ้นเคยกันดีกับ “อนุสาวรีย์นี้เตือนจิตร์  ให้กูคิดรำพึงถึงสหาย  โอ้อาไลยใจจู่ไม่รู้วาย กูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา  ยากที่ใครเขาจะเห็นหัวอกกู  เพราะเขาดูเพื่อนเห็นแต่เป็นหมา  เขาดูแต่เปลือกนอกแห่งกายา...”



ขอบคุณครับผม + 1   ไหว้
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
nick357 "รักในหลวง"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 197
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1843


no!!! conflict.let'sit and talk!!!!


« ตอบ #37 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2010, 12:44:09 PM »

ขาด ชาติหมาอีกจำพวกครับ Wink
บันทึกการเข้า
ณัฏฐ์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 133
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1229



« ตอบ #38 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2010, 01:40:32 PM »

ขนาดหมายังซื่อสัตย์:) +ให้พี่ซิกครับกับเรื่องที่ดีๆ
บันทึกการเข้า
owen.463
Newbie
*

คะแนน 2
ออฟไลน์

กระทู้: 6


« ตอบ #39 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2010, 05:14:27 PM »

เคล็ดไม่ลับในการป้อนยาให้น้องแมว(เคยเลี้ยงอยู่)ใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัวห่อน้องแมวให้มิดชิดทั้ง 4 ขา แค่นี้น้องแมวก็ไม่ไม่ดิ้นและข่วน
ได้อีกแล้วป้อนยาได้เลยครับ Grin Grin
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.062 วินาที กับ 22 คำสั่ง