ในอดีตนานมาแล้ว นักปราชญ์ท่านหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวแสวงหาความรู้กับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง ขณะที่เดินทางผ่านแคว้นๆหนึ่ง ซึ่งกำลังเกิดสงครามจึงทำให้เกิดข้าวยากหมากแพง หาเสบียงอาหารไม่ค่อยจะได้หลังจากที่ขาดอาหารผ่านไปถึงเจ็ดวัน ลูกศิษย์คนหนึ่งซื้อข้าวสารมาได้บ้างจึงรีบนำข้าวสารไปหุง ขณะที่ข้าวกำลังจะสุก นักปราชญ์ท่านนั้นเห็นลูกศิษย์เปิดฝาแล้วหยิบข้าวใส่ปาก ท่านแกล้งทำเป็นไม่เห็น และไม่ถามอะไรเมื่อข้าวสุกแล้ว ลูกศิษย์จึงเรียกนักปราชญ์นั้นไปทานข้าว
ท่านพูดขึ้นว่า"เมื่อกี้ ข้าฝันเห็นปรมาจารย์มาหา ข้าอยากจะนำข้าวที่ยังไม่มีใครได้กินก่อนมาเซ่นไหว้ท่านสักถ้วย"
"ไม่ได้ ข้าวหม้อนี้เมื่อกี้ข้าพเจ้ากินไปหนึ่งคำ นำมาเซ่นไหว้ไม่ได้แล้ว"
"ทำไมล่ะ?" นักปราชญ์ถาม
"เมื่อกี้ขณะที่ข้าวกำลังจะสุก เผลอทำขี้เถ้าหล่นลงไปหน่อย จะตักทิ้งก็เสียดาย ก็เลยตักกิน ไม่ได้มีเจตนาที่จะกินเองก่อน" ลูกศิษย์ตอบ
นักปราชญ์ท่านนั้นรู้สึกเสียใจที่เข้าใจลูกศิษย์ผิด และรู้สึกละอายใจ พร้อมกับเอ่ยขอโทษว่า "ปกติข้าเคยไว้ใจเจ้ามากที่สุด แต่ก็ยังคงคลางแคลงใจเจ้าแสดงว่าในใจข้าไม่มั่นคง ตัดสินใจแค่จากความคิดของตนเอง แล้วบางทียังผิดพลาดพวกเจ้าต้องจำไว้ การจะเข้าใจคนๆ หนึ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ เมื่อพบกับเรื่องใดๆ ควรจะพิจารณาไตร่ตรองหลายๆ ด้านให้รอบคอบ มุมมองของตนเองเป็นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เป็นความจริงเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น การจะตัดสินเรื่องใดเพียงด้านเดียว ไม่สามารถตัดสินเรื่องทั้งหมดได้"

เห็นด้วยครับ การที่เราจะตัดสินใครสักคน บางครั้งก็ต้องคบกันนานๆกว่าจะรู้ถึงเบื้องลึก
คนๆนั้นได้ ทุกๆคนมีทั้งด้านดีและไม่ดีปะปนกันอยู่แล้ว เราก็ลองมองด้านดีเข้าไว้สบายใจที่สุด
ขอบคุณพี่วัฒน์ครับ นับเป็นคติดีๆอีกอย่าง