นึกถึงอีกกระทู้ครับยายที่คนบ่นเรื่องการทำงานของตำรวจ
ได้อย่างท่านผู้การแต้มเยอะๆนี่ ประชาอุ่นใจของจริง

นายตำรวจมือปราบ “ผู้การแต้ม” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่า ผู้การแต้ม เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2498 เป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และปริญญาโทจากคณะพัฒนาบริหารศาสตร์(พัฒนาสังคม) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) และจบหลักสูตรนักเรียนนายร้อยอบรม รุ่นที่ 25 หลักสูตรโรงเรียนผู้กำกับการ รุ่นที่ 35 และหลักสูตรการบริหารงานภาครัฐ และกฎหมายมหาชน สถาบันพระปกเกล้า (ปรม. รุ่นที่ 6) ก่อนจะเริ่มเข้ารับราชการตำรวจครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2524 ในตำแหน่งรองสวส.สน.ประชาชื่น และโยกย้ายสลับตำแหน่งไปมาอยู่ในพื้นที่นครบาลทั้งเขตเหนือ เขตใต้ และฝั่งธนบุรี
ผู้การแต้มเล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้อยากเป็นตำรวจ แต่อยากเป็นทหารเพราะพ่อเป็นทหาร โชคร้ายสอบไม่ติด ชีวิตเลยหันเห มารับราชการตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ซึ่งพอมาอยู่ตรงนี้แล้วก็รู้สึกรักและภาคภูมิใจในอาชีพนี้มาก อาชีพตำรวจเป็นหน่วยงานที่ได้ทำงานจริงๆ และเป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก ไม่ได้ทำงานเช้ากลับเย็นเหมือนอาชีพอื่นๆ ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ต้องมุ่งมั่นยึดถือคติที่ว่า “ทำงานเพื่อนาย ตายเพื่อประชาชน” มาโดยตลอด
ผลงานของผู้การแต้มที่ผ่านมาถึงแม้จะไม่เป็นคดีใหญ่โต แต่ทุกคดีล้วนแล้วแต่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งสิ้น จนทำให้ได้รับฉายาต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฉายามือปราบอมยิ้ม เพราะเมื่อก่อนขณะที่ผู้การแต้มเป็นสารวัตรจราจรชอบแจกอมยิ้มให้ประชาชน ฉายามือปราบสัปเหร่อ ได้มาเพราะวิสามัญคนร้ายเยอะ ตอนหลังก็ได้รับฉายามือปราบหูดำเพราะทุกคนสังเกตเห็นตำหนิเดียวกันคือปานดำ ที่หูข้างซ้าย
“ผลงานของผมที่ออกสู่สายตาพี่น้องประชาชนผมไม่เคยมานั่งคิดหรือบันทึกว่ามี กี่งาน มันเหมือนเป็นคะแนนสะสมมากว่า ทุกงานผมทำเต็มที่ และคิดถึงความเดือดร้อนของทุกคนเป็นหลัก แต่ลำพังผมคนเดียวคงทำงานไม่สำเร็จ ผมมีลูกน้องที่รักผม ผมให้การดูแลลูกน้องใต้บังคับบัญชาอย่างดี เพื่อให้เขาพร้อมที่จะทำงานให้เราอย่างเต็มกำลัง แต่หากมีการทำความผิดก็ว่ากันไปตามผิด ไม่เพียงแต่ลูกน้อง กับสื่อมวลชนผมไม่เคยถือตัว มือถือรับสายตลอด ประตูห้องไม่เคยปิด” ผู้การแต้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อาชีพตำรวจถือได้ว่าเสี่ยงอันตรายทุกวินาที แต่ผมก็ไม่เคยหวั่น เพราะทุกครั้งที่ออกปฏิบัติหน้าที่จะใส่พระ และพกเครื่องลางของขลังติดตัวตามแต่สถานการณ์ที่ต่างกันไป มองดูแล้ว ไม่ใช่การงมงาย แต่เพื่อความอุ่นใจ หากปฏิบัติหน้าที่ตามปกติก็จะใส่หลวงพ่อทวดเพราะจะได้แคล้วคลาดปลอดภัย เดินทางแคล้วคลาด บางช่วงที่ต้องไปเจรจากับใครก็จะใส่พระสมเด็จบางขุนพรหม มีพระกริ่งวัดชนะ จะได้ชนะทุกเรื่อง หากต้อง ไปรบราฆ่าฟันกับใครก็ใส่อีกชุด อย่างพระไพรีพินาต” ผู้การแต้มบอกพร้อมกับโชว์พระที่เก็บไว้ให้ดูเป็นขวัญตา
นอกจากผู้การแต้มจะผ่านการจับโจรและการเจรจามาอย่างโชกโชนแล้ว ยังมีแววการเป็นนักเขียนด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์โชว์ผลงานผ่านพ๊อตเก็ต บุ๊คที่ออกตัวแรงกลายเป็นหนังสือขายดีมาระยะหนึ่ง ซึ่งความสามารถดังกล่าวดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะยามว่างของมือปราบหูดำคน นี้มักจะต้องหยิบจับหนังสือขึ้นมาอ่าน โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับคำคม มุกตลก แนวปรัชญาให้ข้อคิด เพราะนอกจากจะได้ความรู้มาใช้ในการทำงานแล้วยังเป็นการผ่อนคลายกับดคีความ ต่างๆที่ถามโถมเข้ามาด้วย
ถือเป็นนายตำรวจน้ำดีคนหนึ่ง หากจะพูดปากเปล่าคงไม่พอ จันทร์ส่องดาวมีรางวัลที่ผู้การแต้มเคยได้รับมาการันตีกันสักหน่อย”
เริ่มจาก รางวัลพนักงานสอบสวนดีเด่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2535 ,รางวัลจราจรดีเด่น ของสมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทย ปี 2538,รางวัลดีเด่นด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม จากชมรมผู้สื่อข่าว ช่างภาพอาชญากรรม แห่งประเทศไทย ปี 2544, รางวัลคนดีสังคมไทย สาขา ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ดีเด่น จากองคมนตรีประจำปี 2547 และปี 2552, รางวัลตำรวจต้นแบบ ของชมรมผู้สื่อข่าว ช่างภาพอาชญากรรม แห่งประเทศไทย ปี 2533, รางวัลพ่อดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2552 จากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ, รางวัลบุคคลดีเด่นในสายตาช่างภาพสื่อมวลชน ประจำปี 2553 จากสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย, และล่าสุดรางวัลเจรจาดีเด่น จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
http://thairecent.com/Crime/2010/730949/