เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:21:04 AM



หัวข้อ: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:21:04 AM
นุ่มนวล…แต่หนักแน่น  
          สมภพขึ้นรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีที่นั่ง จึงต้องยืนห้อยโหน ที่แน่กว่านั้นคือคนขับรถเมล์ใจร้อนเหลือเกิน ออกรถแบบกระโชกโฮกฮาก ขับรถห้อตะบึง และเบรกกะทันหันบ่อย ๆ จนสมภพเซถลาไปหลายครั้ง ขณะที่นึกบ่นอยู่ในใจ รถก็พุ่งถึงสี่แยก แล้วก็หยุดกะทันหันเพราะไฟแดงพอดี

          สมภพเสียหลัก ถลาถึงข้างที่นั่งคนขับ ทั้งรู้สึกเสียหน้าและโมโหคนขับ อยากจะต่อว่าให้เจ็บแสบ แต่ก็ได้สติขึ้นมา จึงพูดกับคนขับว่า

          "คุณครับ เรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือ ทีหลังแค่กวักมือเรียกผมก็พอนะครับ"


 

          การจะต่อว่าใครนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะโทสะพร้อมจะหนุนส่งอยู่แล้ว แต่พอต่อว่าไปแล้ว เราแน่ใจหรือว่า ผลจะออกมาอย่างที่เราต้องการ แม้เรามุ่งหมายที่จะเตือนเขา แต่ผลกลับตรงกันข้าม คือแทนที่จะรับฟัง และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กลับทำเหมือนเดิมและยิ่งกว่าเดิม มิหนำซ้ำยังกลับหันมาเล่นงานเราอีก

          โกรธเขาไป เขาก็โกรธกลับมา เราก็เลยยิ่งโกรธมากขึ้น หมุนเวียนกันไปเช่นนี้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราใช้วิธีการที่นุ่มนวลแต่ก็ทำให้ผู้ฟังได้คิด และระมัดระวังมากขึ้น ไม่สร้างปัญหาแก่ผู้อื่นต่อไป

          สมภพเป็นตัวอย่างของคนที่ใช้วิธีตักเตือนด้วยความนุ่มนวลแทรกอารมณ์ขัน คนขับได้ยินแล้วคงอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้ม แม้รู้ว่าสมภพกำลังต่อว่าตนอยู่ก็ตาม ถ้าเป็นคุณพอฟังแล้วเห็นจะต้องขับรถช้าลง อย่างน้อยก็เพราะเกรงใจสมภพ

          การตักเตือนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยศิลปะ เพราะคนทั่วไปไม่ค่อยอยากให้มีคนมาบอกข้อผิดพลาด หรือความไม่เหมาะสมของตน เวลาจะตักเตือนใคร นอกจากจะต้องดูเวลา สถานที่ และอารมณ์ความรู้สึกของคนคนนั้นในขณะนั้นแล้ว คำพูดหรือวิธีการก็สำคัญด้วย

          เสนาะซื้อเตียงใหม่ประดับทองราคาแพงหลายล้านจากนอก อยากให้ใคร ๆ ได้มาเห็น จึงแกล้งป่วย เพื่อให้วงศาคณาญาติและเพื่อนฝูงเข้าไปในห้อง และมีโอกาสชื่นชมเตียงของตน

          เพื่อนร่วมงานชื่ออภิสิทธิ์ก็เข้ามาเยี่ยมด้วยเหมือนกัน ระหว่างที่ไต่ถามทุกข์สุขกัน เสนาะสังเกตเห็นอภิสิทธิ์นั่งไขว่ห้างดึงชายกางเกงให้สูงขึ้นจนเห็นรองเท้ายี่ห้อดัง

          "เป็นอะไรหรือ" เสนาะถาม

          "ก็เป็นโรคเดียวกับคุณนั่นแหละ" อภิสิทธิ์ตอบ

          อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่เห็นจะตักเตือนได้ยาก ทำตัวเป็นคนเกเรเพราะสำคัญตนว่าเป็นคนยิ่งใหญ่ หรือมีพ่อรวยคนแบบนี้ขืนไปตอบโต้ด้วยคำด่าหรือวิธีรุนแรงก็ยิ่งไปกันใหญ่ แต่ถ้าจะปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ก็ดูกระไรอยู่ จะกลายเป็นคนยุยงส่งเสริมให้เป็นคนเกเรหนักขึ้น เจอแบบนี้เข้าก็เห็นจะต้องตอบโต้ด้วยความนุ่มนวลแต่หนักแน่น

 

          เฉลิมบุตรเป็นลูกรัฐมนตรี ไปไหนมาไหนก็ต้องวางก้ามเดินกร่าง วันหนึ่งขณะที่เดินอยู่บนฟุตบาทในซอยคาวบอยแถวสุขุมวิท เห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกำลังเดินสวนมา เนื่องจากทางตรงนั้นค่อนข้างแคบ เดินได้แค่คนเดียว จึงพูดขึ้นว่า

          "คนอย่างข้าไม่หลีกทางให้พวกปัญญาอ่อนหรอกเว้ย"

          ชายคนนั้นได้ยินเข้า มองหน้าเฉลิมบุตรสักพัก แล้วก็เดินลงจากฟุตบาท พร้อมกับพูดว่า

          "แต่ผมหลีกทางให้พวกนี้ครับ"
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:22:54 AM
คนใจร้อน  
          หนุ่มเลือดร้อนเข้าไปนั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ทันไรก็ตะโกนว่า "ทำไมยังไม่ยกก๋วยเตี๋ยวมาสักที จะให้รอถึงชาติหน้าหรือไง"

          สักประเดี๋ยวเจ้าของร้านก็ออกมาพร้อมก๋วยเตี๋ยวเต็มชาม แต่พอถึงโต๊ะพ่อหนุ่มก็เทก๋วยเตี๋ยวกองบนโต๊ะแล้วบอกว่า "ฉันต้องรีบใช้ชาม คุณเองก็รีบกินเข้า จะต้องรีบใช้โต๊ะ"

          ชายหนุ่มเดือดดาลมาก กลับถึงบ้านก็เล่าให้ภรรยาฟังแล้วบอกว่า "ฉันเนี่ยโกรธตายเลย" ภรรยาได้ฟังดังนั้นก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วพูดว่า "เนื่องจากเธอตายแล้ว ฉันจะไปแต่งงานใหม่"

          วันรุ่งขึ้นหลังจากภรรยาแต่งงานใหม่ เจ้าบ่าวคนใหม่ก็ขอหย่าโดยให้เหตุผลว่า "ก็เธอไม่ยอมมีลูกสักที"



          คนใจร้อนมักหงุดหงิดเวลาเจอคนที่ใจเย็น หรือเชื่องช้ากว่าตน แต่ลองได้เจอคนที่ใจร้อนและเร็วกว่าตน ก็จะรู้ว่ามันแย่กว่ามาก เวลาเราคาดคั้นเร่งรัดใคร เราไม่รู้ดอกว่าเราสร้างความทุกข์แก่เขาแค่ไหน ต่อเมื่อถูกคนอื่นคาดคั้นเอากับเราบ้าง จึงจะรู้ซึ้งแก่ใจว่าคนใจร้อนนั้นน่ารำคาญเพียงใด

          ทุกวันนี้ใครต่อใครดูเร่งรีบกันไปหมด เพราะเราพากันเชิดชูบูชาความเร็ว จะทำอะไรต้องให้เสร็จไว ๆ ถ้าจะเปิดปุ๊บก็ต้องติดปั๊บ ถ้าจะกินกาแฟก็ต้องเป็นอินแสตนต์คอฟฟี่ ส่วนก๋วยเตี๋ยวก็ต้องเป็นมาม่าไวไวถึงจะถูกใจ แม้กระทั่งเวลาทำสมาธิ ก็อยากบรรลุในวันนี้วันพรุ่ง

          เราต่างถูกสอนว่าเวลานั้นเป็นเงินเป็นทอง ดังนั้นจึงพยายามใช้เวลาอย่างประหยัดที่สุด ทุกอย่างต้องให้เสร็จในเวลาน้อยที่สุด จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น แต่น่าแปลกที่ว่ายิ่งรีบเท่าไร ยิ่งประหยัดเวลามากเท่าไร เวลาว่างกลับเหลือน้อยลง วันแล้ววันเล่า ชีวิตก็ยังยุ่งเหยิงตั้งแต่เช้ามืดจรดดึกดื่น

          เป็นเพราะคอยไม่เป็น เราจึงเย็นไม่ได้เสียที นั่นยังไม่เท่าไรหากว่าคนอื่น ๆ ใจเย็นกว่าเรา แต่ถ้าคนรอบตัวล้วนใจร้อนพอ ๆ กัน โลกนี้ก็คือนรกดี ๆ นี่เอง

          ลองช้าลงสักนิด เย็นลงสักหน่อย เราจะมีความสุขกว่านี้มาก อย่างน้อยตัวเราก็จะเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ไม่เหมือนกับผู้จัดการในเรื่องข้างล่าง

          จันทร์ต้นเดือนเริ่มด้วยความอลหม่าน ผู้จัดการเอียงคอหนีบหูโทรศัพท์ขณะสั่งงานเลขาฯ ส่วนมือก็กดแป้นคอมพิวเตอร์ไวเป็นระวิง ประเดี๋ยวก็รีบไปคว้าแฟ้มในตู้ พลิกเอกสารอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาโทรศัพท์ต่อ ครั้นวางหูโทรศัพท์เสร็จก็สั่งงานเลขาฯ ต่อ ส่วนมือหนึ่งก็เปิดบัญชีขึ้นมาดู แต่ไม่ทันไรก็หยุด พร้อมส่ายตามองหาอะไรสักอย่างบนโต๊ะซึ่งมีเอกสารกองสุ่มอยู่เต็ม ด้วยความหวังดี เลขาฯ จึงเอ่ยถามว่า

          "หาอะไรอยู่หรือคะ เผื่อดิฉันจะช่วยหาได้"

          "ดินสอของผมหายไปไหน"

          "เหน็บอยู่ที่หูของท่านไงคะ"

          "หูข้างไหนล่ะ บอกมาเร็ว ผมไม่มีเวลามากหรอกนะ"
 


 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:25:32 AM
พูดไม่ครบ

          สองหนุ่มต่างคุยโอ้อวดสรรพคุณของกันและกัน

          สมควรเล่าว่า เมื่อคืนเพิ่งทะเลาะกับเมียมา ต่างคนต่างไม่ยอมกัน จนเมียโมโหถึงขั้นขว้างปาข้าวของ

          "แต่ในที่สุดเมียฉันก็ยอมคุกเข่าต่อหน้าฉัน" สมควรสรุป

          "โอ้โห แกทำยังไงเหรอ เขาถึงยอมขนาดนั้น" โอภาสถาม

          "ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้นเอง"

          "พอเมียแกคุกเข่าต่อหน้าแกแล้ว เขาพูดอะไรบ้างล่ะ"

          "เขาพูดว่า ไอ้ตัวร้าย ออกมาจากใต้เตียงเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันเอาตายแน่"



          ประโยคแรกกับประโยคสุดท้ายของสมควรนั้น เป็นคนละเรื่องและให้ผลต่อผู้ฟังต่างกัน แม้ประโยคทั้งสองจะเป็นความจริงทั้งคู่ แต่ฟังประโยคแรกย่อมไม่เพียงพอจะได้ความจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องฟังประโยคสุดท้ายด้วย

ความจริงนั้นถ้าพูดเพียงครึ่งเดียว ก็หาใช่ความจริงไม่ เพราะการพูดเช่นนั้นมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดภาพที่ตรงกันข้ามกับความจริง ใครที่ฟังประโยคแรกของสมควร ย่อมเห็นเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเห็นว่าสมควรกำลังเป็น 'ผู้ชนะ' ต่อเมื่อได้รับรู้ความจริงอีกครึ่งหนึ่ง ภาพทั้งหมดก็เปลี่ยนไป

          ความจริงนั้นไม่สามารถแยกมาเป็นส่วนๆ แล้วเลือกเอาแต่ละส่วนมาใช้หรือพูดตามใจได้ ถ้าทำ เช่นนั้นก็เท่ากับว่ากำลังบิดเบือนความจริง

          ในยุค 'ข้อมูลข่าวสาร' ทุกวันนี้ ข้อมูลต่าง ๆ ปลิวว่อนไปหมด สาดใส่เราทุกทิศทุกทาง โดยผ่านสื่อนานาชนิดข้อมูลเหล่านี้ต่างก็อ้างว่าเป็น 'ความจริง' แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าความจริงเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือหนึ่งในสี่เท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองพิจารณาโฆษณาต่าง ๆ ตามโทรทัศน์หรือวิทยุ 'ความจริง' ที่เขาบอกเรานั้นล้วนแต่เป็นแง่ดี ให้ภาพที่สวยงามของสินค้า (ไม่ต่างจากภาพภรรยาคุกเข่าต่อหน้าสมควร) แต่โทษหรือข้อเสียของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น กลับไม่พูดถึง (ไม่ต่างจากสมควรที่ "อุบ" เรื่องที่ตัวเองหลบเมียอยู่ใต้เตียง)

          ในชีวิตประจำวันก็ดูไม่ต่างจากนี้ ความจริงที่เราได้รับฟังจากคำบอกเล่าของใครต่อใครนั้น บ่อยครั้งก็ไม่ครบถ้วนถ้าเราไม่ระวัง ก็จะไปนึกว่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ดังนั้นสิ่งที่พึงตระหนักก็คือสอบถามให้แน่ชัดว่า มีความจริงอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้เล่าหรือเปล่า ก่อนที่จะเชื่ออะไร ไม่ว่าจากปากของใคร หรือสื่อชนิดใด ต้องให้แน่ใจว่าเราได้รับฟังความจริงครบถ้วนแล้ว

          ขณะเดียวกันเราเองก็ต้องไม่ลืมที่จะพูดความจริงให้ครบถ้วนด้วย การ 'อุบ' บางส่วนเอาไว้ ก็คือการพูดโกหกในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นความเข้าใจผิดของคนฟังไม่ได้เลย

          ได้กล่าวแล้วว่า ความจริงนั้นเราไม่สามารถแยกเป็นส่วนเพื่อเอามาใช้ตามอำเภอใจได้ หากจะแยกเป็นส่วน ๆ ก็ต้องเอามาเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่แยกเป็นเสี้ยว ๆ ส่วน ๆ แบบไม่ปะติดปะต่อกัน อย่างเรื่องข้างล่าง

 

          โอภาสเป็นนักมังสวิรัติ เขาพยายามชี้ชวนให้สมควรหันมากินมังสวิรัติ อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพของตนเอง เพราะสมควรเป็นโรคเกาต์อย่างแรง กินยากี่ขนานก็ไม่หาย เจอสมควรทีไรก็พูดถึงเรื่องนี้แต่ก็ไม่ค่อยได้ผล จนโอภาสทำท่าจะท้อ

          แล้ววันหนึ่งทั้งสองก็มาพบกันอีก ไม่ทันที่โอภาสจะอ้าปาก สมควรก็บอกว่า

          "ข่าวดี รู้ไหม เดี๋ยวนี้ฉันกินเจแล้วนะ"

          "จริงเหรอ นึกไม่ถึงเลยแฮะ" โอภาสยิ้ม

          "แต่ฉันไม่ได้กินเจ ๑๐๐% นะ แค่ ๕๐% เท่านั้น"

          "ก็ยังดี แกทำยังไงถึงกินเจได้ ๕๐%"

          "ก็กินเนื้อคำเว้นคำไงล่ะ" สมควรเผยทีเด็ด
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:28:58 AM
เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี  
          ใครที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย ทีหน้าทีหลังขอให้นึกถึงโกลด์สไตน์ คุณอาจเห็นโลกสดใสขึ้น

          โกลด์สไตน์เป็นยิวในสมัยนาซี พูดอย่างนี้ก็คงรู้นะครับว่าชีวิตของเขาเห็นจะไม่ราบรื่นเป็นแน่ เพราะนาซีนั้นเกลียดยิวเอามาก ๆ ยิวน้อยคนนักที่จะพ้นจากการรังควานของนาซีได้

          แล้ววันร้ายของโกลด์สไตน์ก็มาถึง ขณะที่เขากำลังเดินอยู่บนถนน ก็มีรถสีดำแล่นมาจอดข้าง ๆ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็อดตกตะลึงไม่ได้ เพราะคนที่ก้าวลงมาจากรถไม่ใช่นาซีธรรมดา หากเป็นตัวฮิตเลอร์เอง

          คุณคงเดาไม่ถูกว่าฮิตเลอร์ทำอะไร ฮิตเลอร์จ่อปืนบังคับให้โกลด์สไตน์คลานกับพื้น เสร็จแล้วก็ชี้ไปที่กองขี้หมาบนทางเท้า บังคับให้เขากินขี้หมากองนั้น

          โกลด์สไตน์ยอมทำตามโดยดี ไม่อิดออดแม้แต่น้อย ก้มหน้าก้มตาเคี้ยวขี้หมากองนั้นอย่างเดียว ฮิตเลอร์เห็นท่าทางว่าง่ายสอนง่ายของโกลด์สไตน์แล้ว นึกขันจนอดหัวเราะไม่ได้ แต่ระหว่างที่เขาหัวร่องอหงายก็ทำปืนตก โกลด์สไตน์ได้ทีตะครุบปืนแล้วจ่อไปที่ฮิตเลอร์ บังคับให้ทำอย่างเดียวกับเขาบ้าง ทันทีที่ฮิตเลอร์คลานลงกับพื้นทำท่าจะคว้าขี้หมาส่วนที่ยังเหลือ โกลด์สไตน์ก็รีบโกยอ้าวออกจากที่นั่น

          เมื่อเขากลับถึงบ้าน ภรรยาถามขึ้นว่า "เป็นไงบ้างคะวันนี้"

          "ก็เรื่อย ๆ" เขาตอบแล้วเสริมขึ้นว่า "เหมือนกับทุกวันนั่นแหละ… เพียงแต่คุณคงเดาไม่ถูกแน่ว่าวันนี้ผมไปกินมื้อเที่ยงกับใครมา"


          ไม่มีใครอยากกินขี้ แต่เมื่อโกลด์สไตน์จำต้องกินขี้ แทนที่จะตีอกชกหัวในความโชคร้ายของตัว เขากลับมองเหตุการณ์นั้นในอีกมุมหนึ่ง จนสามารถจะหยิบยกมาพูด ให้คนอื่นต้องอิจฉาหรือเซอร์ไพรส์ได้

          เมื่อเคราะห์กรรมมาถึง เราสามารถจะเลือกได้ว่าจะทุกข์ร้อนกับมันแค่ไหน หรือเฉย ๆ เสียก็ได้ ถ้าคุณไม่หมกมุ่นกับเรื่องร้าย คุณจะพบว่ามีแง่มุมดี ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่คุณได้ บางทีมันอาจทำให้คุณอดหัวเราะไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ใช่คนซีเรียสจนเกินไปนัก อย่างตัวอย่างข้างล่าง

          ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งรอหมอเรียก มีใครคนหนึ่งเกิดตดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แต่กลิ่นแรงพอที่จะทำให้หลายคนอดรนทนไม่ได้ ต่างด่าว่ากัน มีเพียงคนเดียวที่หัวเราะออกมา

          "มีอะไรน่าหัวเราะเหรอเพ่" ชายคนหนึ่งถาม

          ชายผู้ไร้เดียงสาตอบ

          "ผมหัวเราะคนที่ตด เพราะเขาก็รุมด่าผมด้วย"

          มีเหตุผลที่เราสมควรจะโกรธคนที่มาด่าว่าเรา โดยเฉพาะเมื่อคนนั้นทำผิดแล้วกลับมาโยนความผิดให้เรา แต่ถ้าไม่ยึดติดกับเหตุผลหรือความถูกผิดจนเกินไปแล้ว คนคนนั้นก็น่าสงสารสมเพชอยู่หรอกที่คิดเอาตัวรอดด้วยวิธีโมเมแบบนี้ ลองคิดแบบชายผู้ไร้เดียงสาคนนั้นแล้วน่าหัวเราะอยู่ไม่ใช่หรือ

          ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เลวร้ายหรือย่ำแย่เพียงส่วนเดียว ลองคิดลองมองมุมใหม่ดู เราอาจจะพบสิ่งดี ๆ เข้าก็ได้

          ขอจบท้ายด้วยเรื่องของบุญชัย บอกก่อนนะครับว่าเรื่องนี้ไม่ตลก แต่มีสาระ

          วันหนึ่งบุญชัยไปเที่ยวเกาะสมุย ขณะที่เดินเข้าไปในสวนมะพร้าว ลิงตัวหนึ่งเกิดอารมณ์บ่จอยโยนมะพร้าวลงมาจากยอดเฉียดหัวเขาไปหน่อยเดียว เขาใจหายวูบ แต่พอตั้งสติได้เขาก็รีบคว้ามะพร้าวลูกนั้นขึ้นทันที เขาทำอะไรทราบไหมครับ แทนที่จะขว้างมะพร้าวใส่ลิงตัวนั้นเพื่อแก้แค้น บุญชัยกลับหยิบมะพร้าวกลับไปปอกกินที่บ้านด้วยความสบายใจเฉิบ

          ถ้าเป็นคุณล่ะ จะเอามะพร้าวขว้างตอบโต้ลิง หรือเอามะพร้าวไปกิน
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:31:38 AM
เห็นแก่ได้  
          เช้าวันหนึ่ง เศรษฐินีตื่นมาพบว่าสามีที่นอนอยู่ข้าง ๆ หัวใจวายตายไปแล้ว

          เศรษฐินีตื่นตะลึง รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากชั้นบน เรียกแม่บ้านเสียงดังลั่น

          ฝ่ายแม่บ้านพอได้ยินเสียงเศรษฐินี ก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นจากห้องครัว ถามว่า "คุณนาย เกิดเรื่องอะไรหรือคะ"

          เศรษฐินีหายใจละล่ำละลักพลางพูดว่า

          "นี่เธอ รู้หรือเปล่า เช้านี้นมสด ขนมปัง และไข่ดาวจัดแค่ชุดเดียวก็พอ ไม่ต้องจัดสองชุดแล้ว"



          คนตระหนี่ เห็นแก่เงิน มักกลายเป็นคนไร้น้ำใจไปโดยไม่รู้ตัว เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เขาจะไม่สนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่จะสนใจเพียงว่าตัวเองได้หรือเสียอะไรจากเรื่องดังกล่าว เวลาได้ยินข่าวว่าคนใกล้ชิดมีอันเป็นไป คำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจของเขาคือ จะต้องจ่ายเท่าไร แทนที่จะเป็นห่วงลูกหลานและญาติพี่น้องของผู้ตายว่าเป็นทุกข์เพียงใด สำหรับเศรษฐินีในเรื่องข้างต้น แม้ว่าปฏิกิริยาแรกสุดของเธอคือ ความเสียดายเงิน ที่จะต้องสูญเสียไปกับอาหารเช้าที่ไม่มีคนกิน (หรืออาจดีใจด้วยซ้ำที่ลดค่าอาหารไปได้อีกนิดหน่อย) แต่สักพักเธอคงต้องกุมขมับเมื่อนึกถึงเงินที่ต้องจ่ายค่าจัดงานศพให้สามี

           รากเหง้าของความตระหนี่ คือการคิดแต่จะเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง พูดง่าย ๆ คือเห็นแก่ได้ ทัศนคติเช่นนี้ทำให้กลายเป็นคนหยาบกระด้าง แม้จะมีวาจาไพเราะ แต่ก็ไม่น่ารักหรือชวนคบหา คนเช่นนี้นอกจากจะทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ เพราะความเห็นแก่ได้ของตนเองแล้ว ยังทำให้ตนเองเป็นทุกข์ได้ง่ายด้วย ดังเรื่องนี้.

 

          หนุ่มพิสิฐเศร้าโศกมากเมื่อรู้ว่าภรรยาสาวสวยตายกะทันหัน ในงานศพ เขาสะอึกสะอื้นไม่หยุด ครั้นถึงวันเผาเขาแทบเป็นลม

          "โถ พิสิฐ" เพื่อนพูดปลอบขณะขับรถพาเขากลับบ้าน "ผมรู้ว่าคุณทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่เชื่อเถอะ อีกไม่ถึงหกเดือน คุณก็จะได้พบสาวสวยและแต่งงานใหม่แน่นอน"

           พิสิฐหันมามองหน้าเพื่อนและส่งเสียงดังลั่น "อีกตั้งหกเดือนเชียวเหรอ แล้วจะให้ผมทำอะไรคืนนี้"

          มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านทราบหรือยังว่าพิสิฐร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเพราะอะไร
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:35:07 AM
มองแยกส่วน
          บุญยกตกปลาอีท่าไหนไม่รู้ ไปเหยียบถูกเบ็ดของตัวเองเข้า เงี่ยงฝังลึกกลางฝ่าเท้า จึงวิ่งไปหาหมอ

          หมอเห็นเข้าก็ไม่รอช้า หยิบกรรไกรขึ้นมาตัดก้านเบ็ดออก เสร็จแล้วก็บอกว่า "เอ้า ไปได้แล้ว"

          บุญยกอุทธรณ์ว่า "เงี่ยงเบ็ดยังฝังอยู่เลยหมอ"

          หมอส่ายหัวแล้วพูดว่า "นั่นเป็นเรื่องของหมอรักษาภายใน ผมเป็นหมอรักษาภายนอก หน้าที่ของผมเสร็จแล้ว"



          ยุคนี้เป็นยุคที่นิยมมองแบบแยกส่วน อะไร ๆ ก็ถูกซอยเป็นส่วน ๆ จนแยกขาดจากกัน เห็นได้ชัดในวงการหมอ ร่างกายของคนเราถูกแบ่งซอยเป็นส่วน ๆ ถี่ยิบ แต่ละส่วนก็ให้หมอแต่ละคนรับไปดูแล ราวกับแบ่งสัมปทานกันเลย คนหนึ่งรักษาเฉพาะตา อีกคนก็ต้องรักษาเฉพาะหู อีกไม่นานแม้แต่หูซ้ายกับหูขวาก็ต้องแบ่งให้หมอแต่ละคนรักษากระมัง แต่บ่อยครั้งโรคภัยไข้เจ็บมันไม่ยอมจำกัดเขตตามเส้นแบ่งเขตของหมอ อย่างอาการของนักตกปลาคนนี้ มันไม่ยอมแบ่งเป็นโรคภายนอกหรือภายในตามหมอ หมอเฉพาะทางก็เลยรักษาได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

          อันที่จริงอย่าว่าแต่หมอเลย คนทั่วไปก็มองแยกส่วนกันจนเป็นนิสัย แม้แต่ชาวพุทธ เรามักแยกซอยชีวิตของเราออกเป็นส่วน ๆ เวลาเข้าวัด (หรือเข้าห้องพระ) ก็ใจบุญสุนทาน ยุงริ้นไม่ตบ แต่เวลาทำมาหากินก็คิดแต่จะเอากำไร เอาเปรียบลูกค้า หาไม่ก็คำนึงแต่ประโยชน์อย่างเดียว นี่เรียกว่าแยกโลกออกจากธรรม ทั้ง ๆ ที่โลกกับธรรมนั้นไม่อาจแยกจากกันได้

          นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม หมายความเพียงแค่การนั่งหลับตาบริกรรมเงียบ ๆ อยู่คนเดียว หรือนึกว่าจะปฏิบัติธรรมได้ก็ต่อเมื่อหลีกเร้นไปอยู่วัดเท่านั้น แต่ที่จริงจะอยู่บ้าน อยู่บนท้องถนน หรืออยู่ในที่ทำงาน ก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสติ สมาธิ วิริยะ ขันติ ศรัทธา ศีล ปัญญา เราสามารถจะบำเพ็ญธรรมเหล่านี้ได้ในทุกที่ ชีวิตทางธรรมกับชีวิตทางโลกนั้นต้องประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

          ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านก็ไม่ใช่สิ่งที่จะแยกจากกันได้เด็ดขาด ตัวเรากับคนอื่นนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แยกจากกันได้ยาก ถ้าคนอื่นไม่เอื้อเฟื้อ เราก็อยู่ลำบาก และถ้าเราเห็นแก่ตัว คนอื่นก็เดือดร้อน แต่คนเป็นอันมากพยายามที่จะแยกตัวเองออกจากคนอื่น เรื่องข้างล่างนี้เราเคยได้ยินหรือไม่

          ขณะที่รถโดยสารกำลังแล่นอยู่บนถนนสุขุมวิท พนักงานเก็บสตางค์เห็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่งห้อยโหนอยู่บนบันไดรถ บางครั้งตัวก็ยื่นออกนอกรถ พนักงานเก็บสตางค์เลยขอให้หนุ่มคนนั้นขึ้นมายืนข้างรถเพราะมีที่ว่าง "ขนาดเตะตะกร้อทั้งวงได้" เขาว่าอย่างนั้น แต่หนุ่มใหญ่ก็ไม่ยอม พนักงานเก็บสตางค์เลยพูดว่า

          "พี่ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวก็โดนรถเฉี่ยวหรอก"

          "เรื่องของกู" หนุ่มใหญ่บอก

          "ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้าเกิดพี่โดนรถเฉี่ยว มันจะเดือดร้อนพวกผม"

          เขาตะโกนห้วนทันทีว่า

          "เรื่องของมึง"

          เรื่องของ 'กู' กับเรื่องของ 'มึง' ใครว่าจะแยกออกจากกันได้ ถ้ายังไม่เชื่อก็ดูอีกเรื่องหนึ่ง

          ชายคนหนึ่งเจ็บขาจนทนไม่ไหว เลยบอกภรรยาให้ขุดกำแพงจนเป็นรูทะลุไปถึงห้องของเพื่อนบ้าน เสร็จแล้วเขาก็ยื่นขาข้างที่เจ็บนั้นลอดกำแพงไปยังห้องของเพื่อนบ้าน

          ภรรยาสงสัย ถามว่าทำไมทำเช่นนั้น ก็ได้คำตอบว่า

          "ถ้าขาไปทรมานที่อื่น ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องของฉัน"

          ปัญหาของเรา ถึงแม้เราจะโยนให้เป็นเรื่องของคนอื่น แต่ในที่สุดมันก็วกกลับมาเป็นเรื่องของเราจนได้

          เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:37:06 AM
ช่วยตัวเอง

          กุหลาบกำลังเดือดร้อนเพราะเจ้าหนี้รังควานไม่เลิก ในยามยากเช่นนี้เธอมองไม่เห็นทางอื่น นอกจากมีศาลพระพรหมเป็นที่พึ่ง

          "ท่านขา ลูกช้างศรัทธานับถือท่านมาตลอด ไม่เคยขออะไรเลย แต่คราวนี้ขอได้โปรดช่วยลูกช้างสักครั้งเถิด โปรดดลบันดาลให้ลูกช้างถูกล็อตเตอรี่ด้วยเถิด"

          หลายวันผ่านไป จากอาทิตย์เป็นเดือน แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดกลางดึกคืนวันหนึ่ง กุหลาบก็ดั้นด้นไปยังศาลพระพรหมอีก ตัดพ้อด้วยความสิ้นหวังว่า

          "ทำไมท่านไม่ให้โอกาสลูกช้างเลย"

          ทันใดนั้นกุหลาบก็ได้ยินเสียงดังมาจากศาลพระพรหมว่า

          "เจ้าก็ให้โอกาสข้าบ้างสิ ทำไมเจ้าไม่ซื้อล็อตเตอรี่สักที"

 

          เวลาเราจะขอความช่วยเหลือจากใคร สิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้คือ ถามตัวเองว่าเราช่วยตัวเองเต็มที่แล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็อย่าไปหวังว่าคนอื่นเขาจะช่วยเหลือเราได้อย่างที่ต้องการ เดี๋ยวนี้เรางอมืองอไม้กันง่ายขึ้นทุกที คงเพราะเห็นว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มบ้านเต็มเมือง และคิดว่าเพียงมีเงินซื้อเครื่องเซ่น เทวดาก็จะต้องช่วยเราแน่นอน ถ้าคิดเช่นนี้ก็แสดงว่า เรากำลังดูถูกเทวดาว่าทำตัวเหมือนนักการเมืองและข้าราชการไทยจำนวนมาก ซึ่งสามารถซื้อได้ด้วยเงิน

          ถ้าเราพยายามช่วยเหลือตัวเองเต็มที่แล้ว และเป็นความเพียรที่ถูกต้องชอบธรรม พึงมั่นใจได้ว่าความดีเหล่านั้นจะช่วยเราแน่นอน แม้จะไม่ได้เรียกร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยเหลือก็ตาม ดูอย่างพระมหาชนก ซึ่งเมื่อถึงคราวเรือล่มลอยคออยู่กลางสมุทรอย่างไม่มีอนาคต แทนที่จะขอให้เทวดาช่วยเหลือ กลับตั้งหน้าตั้งตาว่ายน้ำตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นฝั่งเลย ในที่สุดนางมณีเมขลาอยู่เฉยไม่ได้ ต้องลงมาช่วยเหลือ พาเหาะขึ้นฝั่ง

          ปาฏิหาริย์ในเรื่องพระมหาชนกอาจดูเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นคติธรรม สอนใจได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ชี้ว่าชาวพุทธไม่ได้หวังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่ปุถุชนคนธรรมดานั้นต้องมีบ้างต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นบางครั้ง ในกรณีเช่นนั้นก็ควรพากเพียรพยายามอย่างเต็มที่เสียก่อน มิฉะนั้นแล้วการบนบานศาลกล่าวก็ย่อมไร้ผล

          อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือตนเองไม่ได้หมายความเพียงแค่การซื้อล็อตเตอรี่เท่านั้น ที่จริงควรทำมากกว่านั้น ทำอะไรบ้าง ดูตัวอย่างจากเรื่องข้างล่างพอเป็นแนวทางก็แล้วกัน



          สมเจตน์ขึ้นนั่งบนรถแล้วพนมมือท่วมหัว ขอให้เทวดาปกป้องให้แคล้วคลาดจากอุบัติภัยและอันตรายทั้งปวง ตลอดการเดินทาง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างหลังว่า

          "เจ้าลืมบางอย่างไป"

          สมเจตน์จำเสียงเทวดาอารักษ์ได้ "จริงด้วยขอรับ" พูดจบก็สวดอิติปิโสหนึ่งจบ

          "เจ้าลืมบางอย่างไป" เสียงเดิมดังมาอีก

          "จริงด้วยขอรับ" สมเจตน์นึกขึ้นได้ จึงสวดคาถาชินบัญชรหนึ่งจบ

          "เจ้าลืมบางอย่างไป" เสียงเดิมดังมาอีก

          "ลูกช้างลืมอะไรหรือขอรับ" สมเจตน์ทำท่างง ๆ

          "เจ้าลืมคาดเข็มขัดนิรภัย" เทวดาตอบอย่างหนักแน่น
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:39:26 AM
หลงตามความคิด

          นักธุรกิจผู้หนึ่งกำลังนั่งกินอาหารในภัตตาคาร ใกล้จะอิ่มอยู่แล้ว ก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินมาทัก

          "ว่าไง กิตติชัย" ชายแปลกหน้าตะโกนลั่น "เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นหรือ เมื่อก่อนตัวยังเตี้ยอยู่เลย เดี๋ยวนี้สูงปรี๊ด ผิวก็ขาว ไม่เหมือนเมื่อก่อนดำเป็นถ่านเลย แถมยังหูกางกว่าเดิมอีก นั่งเรือไม่ต้องกางใบเลยก็ยังได้"

          นักธุรกิจผู้นั้นตอบอย่างหนักแน่น "ขอโทษครับผมไม่ได้ชื่อกิตติชัย"

          "ฮั่นแน่" ชายแปลกหน้าอุทาน "แม้แต่ชื่อก็เปลี่ยนด้วย"



          คนเราพอปักใจเชื่ออะไรเสียแล้ว ก็จะกอดความเชื่อนั่นเอาไว้ แม้หลักฐานหรือข้อมูลที่ได้รับจะไม่ตรงกับความเชื่อหรือภาพที่วาดไว้ในใจ ก็จะไม่ยอมละทิ้งความคิดความเชื่อนั้นง่าย ๆ แต่จะสรรหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดความเชื่อของตน

          ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเชื่อฝังหัวแล้ว บางทีตา หู ลิ้นและอายตนะอื่น ๆ ก็พลอยคล้อยตามความคิดไปด้วย เศรษฐินีที่เชื่อว่าเด็กรับจ้างในบ้านแอบขโมยแหวนเพชรของตนไป มองทีไร ก็เห็นเด็กคนนั้นมีพิรุธตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะเดิน จะย่าง หรือพูดอะไรก็ส่ออาการของขโมย แต่พอพบว่าแหวนเพชรของตนไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ตกอยู่ในซอกโต๊ะ ทีนี้พอเห็นเด็กคนนั้นอีก กลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีพิรุธหรืออาการผิดปกติแต่อย่างใด ที่จริงเด็กก็เด็กคนเดิม แต่ภาพของเด็กในสายตาของเศรษฐีนีนั้นเปลี่ยนไป ภาพเปลี่ยนไปเพราะความคิดเปลี่ยนไปนั่นเอง

          เป็นเพราะความคิดส่งผลต่อการรับรู้ของเรา และสามารถสรรหาเหตุผลมารองรับได้ร้อยแปด จึงอย่าได้แปลกใจหากคนบางคนจะหลงเชื่อนักต้มตุ๋นอย่างหัวปักหัวปำ ไม่ว่าใครจะมาชี้แจงอย่างไร เขาก็ไม่เปลี่ยนใจ และทั้ง ๆ ที่หลักฐานปรากฏทนโท่ เขาก็ไม่สนใจ ยังศรัทธานักต้มตุ๋นเหมือนเดิม

          ความคิดความเชื่อของคนเรามีกลไกลนานัปการ ที่จะปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกเล่นงานง่าย ๆ แถมใช้กลไกนี้สร้างตัวมันให้เข้มแข็ง ดูน่าเชื่อถือ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรจะระแวดระวังความคิดของเราให้ดี อย่าเชื่อมันง่าย ๆ เพราะมันสามารถหลอกเราจนเสียคนได้หากเราไม่รู้ทันมัน

          ความคิดนั้นเป็น 'คนใช้' ที่ดีของเรา แต่เป็นนาย 'นาย' ที่แย่ ดังนั้นจึงควรมีสติ อย่าปล่อยให้มันเป็นนายเรา หรือครอบงำเรากระทั่งว่า เวลามันฟุ้ง เราก็บ้าจี้ฟุ้งตามมัน มันจะปรุงแต่งอย่างไร ก็ไปเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง

          เรื่องต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า อย่าไปหลงเชื่อความคิดปรุงแต่งของเรามากเกินไป

 

          ภาคภูมิเพิ่งมาถึงภูเก็ตเป็นครั้งแรก ขณะที่คอยเพื่อนอยู่ที่สถานีขนส่ง ก็เห็นชายแต่งกายภูมิฐานยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงถามว่า

          "ลุง ตอนนี้กี่โมงแล้ว"

          ชายสูงอายุผู้นั้นมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ตอบว่า "ไปไกล ๆ เลย"

          ภาคภูมิตะลึง พูดขึ้นว่า "ผมถามลุงดี ๆ ทำไมต้องพูดแบบนี้"

          ตอนแรก ๆ ชายชราก็แสร้งทำเป็นหูทวนลม แต่เมื่อถูกรบเร้าเซ้าซี้ไม่เลิก ก็หลุดออกมาว่า "แกอยากรู้หรือฉันจะบอกให้" แล้วก็พรรณนายืดยาวว่า

          "ฉันรู้นะ ตอนแรกนายก็ถามเวลา ถ้าฉันตอบนายก็จะถามตอบเรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องทะเล เรื่องท่องเที่ยว เรื่องธุรกิจ จิปาถะ พอคุ้นเคยกันเข้า ฉันก็ต้องแสดงความเอื้อเฟื้อตามมรรยาทเจ้าบ้าน เชิญนายไปเที่ยวที่บ้าน"

          "อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น นายก็จะพบกับเมทินี ลูกสาวที่น่ารักของฉัน ทีนี้นายกับลูกสาวของฉันก็อาจจะชอบพอกันขึ้นมา ในที่สุดนายก็จะขอแต่งงานกับลูกสาวของฉัน จะให้ลูกสาวของฉันแต่งงานกับนาย เหรอ ไม่มีทาง ลูกสาวของฉันจะอยู่อย่างไร กับคนที่ไม่มีแม้แต่นาฬิกาสักเรือนเดียว"

          "เพราะฉะนั้นเพื่อตัดเรื่องยุ่งยากทั้งหมด ฉันยอมเสียมารยาทไล่นายไปดีกว่าที่จะบอกว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว"
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:41:27 AM
ฟ้องตัวเอง  
          ไวพจน์เดินเข้าไปในร้านกาแฟ เห็นคนมุงรอบโต๊ะตัวหนึ่ง พอแหวกเข้าไปก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังเล่นหมากรุกอยู่แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือ อีกด้านหนึ่งของตารางหมากรุก เป็นหมาขนเกรียนใช้ตีนเขี่ยเบี้ยอยู่

          "โอ้โฮ หมาตัวนี้เก่งจังเลย เล่นหมากรุกก็เป็น" ไวพจน์

          "เก่งอะไรกัน เล่นมาห้าตา มันแพ้ผมสามตาแล้ว ชมให้ถูกคนหน่อย" นักเล่นหมากรุกตอบ

          ชายหนุ่มแสดงอาการดูถูกหมาที่เล่นแพ้ตนตั้งสามตา เลยรู้สึกว่าตนเองเก่ง แต่กลับไม่เฉลียวใจว่า ถ้าเขาเก่งจริง ทำไมจึงแพ้หมาไปถึงสองตา ขณะที่แสดงอาการอวดตัวว่าเก่งนั้น เขาได้ฟ้องว่าตัวเองว่าโง่เขลา



          ตัวตนหรืออัตตานั้น มักหาโอกาสยกหูชูหางตัวเองเสมอ คนที่ไม่เท่าทันตัวเองจึงมักหาช่องคุยโม้โอ้อวด หรือพูดข่มผู้อื่น แต่ความอยากคุยโม้พูดข่มนั้น บ่อยครั้งก็แรงกล้ามากจนทำให้ลืมตัว จึงเผลอประจานตัวเองโดยสำคัญผิด คิดว่าเป็นการแสดงความเก่งกล้าสามารถ

          เวลาเราคิดจะยกหูชูหางตัวเองหรือพูดตำหนิใคร ก่อนจะพูด ลองตรวจตราตัวเองให้แน่ชัดถี่ถ้วน หาไม่จะหน้าแตกง่าย ๆ

          นอกจากการตำหนิคนอื่นว่า 'โง่' แล้ว การกล่าวหาคนอื่นว่า 'บ้า' ก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อก็ดูตัวอย่างข้างล่าง

          ภารณ หนุ่มใหญ่ ปรึกษาจิตแพทย์ว่า

          "ภรรยาผมเป็นบ้าไปแล้ว เธอคิดว่าตัวเองเป็นรถตุ๊กตุ๊กตลอดเวลา"

          "พรุ่งนี้เช้า ขอให้คุณช่วยพาภรรยามาหาผมหน่อย" จิตแพทย์แนะนำ

          "จะพามาหาหมอได้ยังไง คลินิกหมออยู่ถึงชั้นที่สิบ"

          "ไม่เห็นยากอะไรเลย คุณกับภรรยาก็ขึ้นลิฟต์มา"

          "เอารถตุ๊กตุ๊กขึ้นลิฟต์มันง่ายเสียเมื่อไหร่ครับคุณหมอ" ภารณตอบ

          ใครกันแน่ที่บ้า ใครกันแน่ที่เพี้ยน คุณบอกได้ไหมครับ
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:43:42 AM
คำตอบคือตัวปัญหา  
          ชายคนหนึ่งได้หมวกมาใบใหม่ เขาภูมิใจนักหนากับหมวกใบนี้ ไปไหนมาไหนก็สวมหมวกใบนี้

          วันหนึ่ง เขาตั้งใจเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ที่ขาดไม่ได้คือสวมหมวกใบนี้ไปด้วย แต่เนื่องจากเป็นหมวกสักหลาดปีกใหญ่ เวลาสวมใส่ยามบ่ายจึงร้อนอบอ้าวมาก เดินไปได้ไม่นานเหงื่อโชกไปทั้งหัว จนต้องแวะพักใต้ต้นไม้แล้วเขาก็ถอดหมวกมาพัดให้เย็นลง ระหว่างที่พัดไปก็บอกกับตัวเองว่า "วันนี้หากไม่มีหมวกใบนี้ ฉันคงร้อนตายแน่"



          ชายผู้นี้ปลาบปลื้มกับหมวกใบใหม่ที่สามารถพัดคลายความร้อนได้ แต่ไม่ได้มองว่า ที่ตนร้อนจนเหงื่อโชกนั้น ก็เป็นเพราะหมวกใบเดียวกันนี่แหละ

          มีสิ่งของมากมายหลายอย่าง ที่เราเข้าใจว่า ช่วยลดความยุ่งยากเดือดร้อนในชีวิต แต่หากลองใคร่ครวญดูจะพบว่าความยุ่งยากนั้นแท้จริงมิได้มาจากไหน หากมาจากสิ่งของต่าง ๆ ที่เราชื่นชมนั่นแหละ รถยนต์นั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน แม้มันจะช่วยให้เราไม่ต้องทุกข์ทรมานระหว่างการจราจรแน่นขนัด ควันพิษมลภาวะจะมากมายเพียงใด ก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะอยู่ในรถติดแอร์ แต่มิใช่เป็นเพราะรถยนต์หรอกหรือ การจราจรทุกวันนี้ถึงแน่นขนัดและเต็มไปด้วยมลพิษ

          อุปกรณ์ไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยทุ่นเวลาให้เราท่ามกลางชีวิตที่วุ่นวาย แต่ใช่หรือไม่ว่า สาเหตุที่ชีวิตเราวุ่นวายและมีเวลาว่างน้อยลง ก็เนื่องมาจากเรามัวแต่ทำมาหากิน เพื่อจะได้มีเงินมาซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ ถ้าหากเราลดความต้องการในเทคโนโลยีเหล่านี้ เราจะมีเวลามากขึ้น ชีวิตจะวุ่นวายน้อยลง เพราะไม่จำเป็นต้องหาเงินให้มาก ๆ อย่างที่มักเป็นกัน

          ดูเผิน ๆ เครื่องเอกซเรย์ก็ช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งได้แต่เนิ่น ๆ แต่บ่อยครั้งมันเองนั่นแหละที่มีส่วนทำให้คนเป็นมะเร็งกันมากขึ้น

          มองให้กว้างออกไป เขื่อนต่าง ๆ ที่เราชื่นชมว่าช่วยป้องกันน้ำท่วม หรือช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งนั่น สืบสาวไปจะพบว่า สาเหตุที่น้ำท่วมบ่อยขึ้น ภัยแล้งรุนแรงขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะการทำลายป่าเพื่อมาสร้างเขื่อนนั่นเอง

          สิ่งที่เราคิดว่าเป็นทางออกนั้น บ่อยครั้งมันคือตัวปัญหา ดังนั้นก่อนที่เราจะนิยมยกย่องสิ่งใดก็ตามว่าช่วยให้ชีวิตเรายุ่งยากน้อยลง ควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามันไม่ใช่ต้นตอแห่งความยุ่งยากในชีวิต (และในสังคม)

          ถ้าเราแยกไม่ออกว่าอะไรคือตัวก่อปัญหากันแน่ ต่อไปเราก็คงแยกไม่ออกว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือวิธีบรรเทาทุกข์ ในที่สุดเราอาจเป็นอย่างเศรษฐีในเรื่องข้างล่างก็ได้

 

          ทองหนักเป็นเศรษฐีระดับพันล้านที่ร่ำรวยจากกองมรดก เขาไม่เคยรู้ว่าคนจนเขาอยู่กันอย่างไร เช้าวันหนึ่งกลางฤดูหนาว เขามองออกไปนอกคฤหาสน์ เห็นขอทานคนหนึ่งยืนต้านลมหนาวอยู่ใต้ต้นไม้ ตัวสั่นเทา เขารู้สึกแปลกใจ จึงถามบริวารว่า

          "ทำไมคนคนนี้ถึงตัวสั่นเทาขนาดนั้น"

          "ก็เพราะว่าอากาศหนาวมากครับ" บริวารตอบ

          ทองหนักแปลกใจอย่างยิ่งจึงพูดว่า

          "อ้าว สั่นอย่างนี้ทำให้เขาหายหนาวไม่ใช่หรือ"
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:46:06 AM
เสียศักดิ์ศรี  
          วงศ์ชัยถูกภรรยาทุบตี จึงหนีไปซ่อนใต้เตียง ภรรยาร้องตะโกนว่า

          "ออกมาเร็ว ๆ"

          "ไม่ออก" วงศ์ชัยโต้ทันควัน

          "ออกมานะ ไม่งั้นเจอดีแน่" ภรรยาขู่

          "ลูกผู้ชายพูดว่าไม่ออก แน่นอนต้องไม่ออก"


          วงศ์ชัยถือตัวว่าเป็นลูกผู้ชายที่ต้องรักเกียรติรักศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีอย่างหนึ่งของลูกผู้ชายที่นับถือกันก็คือ พูดคำไหนคำนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมกลับคำพูด เมื่อบอกว่าไม่ออกก็ต้องไม่ออก แต่เขาลืมไปว่า การหนีเมียไปอยู่ใต้เตียงนั้น เป็นการสวนทางกับศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่เขายึดถือ

          แต่จะว่าไป การหนีเมียไปอยู่ใต้เตียงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าใดนัก สำหรับคนเป็นอันมาก ศักดิ์ศรีของเขาไปอยู่ที่อื่นมากกว่า เช่น 'หน้าตา' บ่อยครั้งหน้าตามีความสำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่น กลายเป็นว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าให้เสียหน้าก็แล้วกัน ใครมาทำให้เสียหน้า ถือว่าลบหลู่ศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรง

          ชายคนหนึ่งซื้อของในห้างสรรพสินค้า ถึงคราวจะต้องจ่ายเงิน พอเห็นคนต่อแถวกันยืดยาวที่เคาน์เตอร์รับเงิน ก็ใช้วิธีลัดคิวพรวดไปจ่ออยู่หลังคนที่กำลังจ่ายเงิน ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังก็พูดเตือนอย่างสุภาพให้เขาไปต่อคิว เขากลับบ่ายเบี่ยง หลังจากโต้เถียงสักพัก ก็เกิดโมโห ขู่ว่าจะตบหากว่าผู้หญิงนั้นยังไม่หยุดพูด

          ผู้ชายจำนวนไม่น้อยถูกปลูกฝังมาว่าตนเป็นเพศที่เหนือกว่า ส่วนผู้หญิงเป็นฝ่ายที่ต้องเชื่อฟังสถานเดียว ชายผู้นั้นคงได้รับการเลี้ยงดูมาเช่นนั้น จึงรู้สึกเสียศักดิ์ศรีมากที่ถูกหญิงผู้นั้นตำหนิ แต่เขาหาได้ตระหนักไม่ว่า การที่เขาเอาเปรียบผู้อื่นด้วยการลัดคิวนั้น แท้ที่จริงเป็นการบั่นทอนเกียรติหรือศักดิ์ศรีของตนเอง เขาไม่ตระหนักก็เพราะเอาศักดิ์ศรีของเขาไปผูกติดกับหน้าตา แทนที่จะผูกติดกับคุณงามความดี

          สังคมไทยเวลานี้ เต็มไปด้วยคนที่ไม่รู้สึกเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีแม้แต่น้อยที่คอร์รัปชั่น ค้ายาบ้า หรือเอาเปรียบคนอื่น แต่จะรู้สึกว่าศักดิ์ศรีถูกลบหลู่อย่างแรง หากความชั่วของเขาถูกเปิดเผย หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ นั่นก็เพราะศักดิ์ศรีของเขาอยู่ที่หน้าตายิ่งกว่าคุณธรรม

          การให้ความสำคัญกับหน้าตามาก ทำให้ผู้คนทุกวันนี้สนใจแต่วัตถุ จนลืมเรื่องที่เป็นแก่นสาร กระเป๋า รองเท้า ราคานับหมื่น นาฬิกาเรือนแสน รถยนต์แพง ๆ กลายเป็นปัจจัยชีวิตที่ขาดไม่ได้ แม้กระทั่งสำหรับวัยรุ่นเดี๋ยวนี้จะทำอะไรก็ต้องให้สวยให้ดูดีก่อน ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง ถ้าคุณเจอแบบนี้จะทำอย่างไร ตัวอย่างข้างล่างอาจช่วยคุณได้

 

          มาร์ค ทเวน เป็นนักเขียนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงมาก เขาเป็นคนไม่ค่อยพิถีพิถันกับการแต่งกาย แต่ภรรยาของเขามีรสนิยมวิไล ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ต้องแต่งตัวให้ดูหรูสง่าไว้ก่อน

          คราวหนึ่งเขาไปงานเลี้ยงวันเกิดบ้านเพื่อนโดยไม่ผูกเนกไท ภรรยาเห็นเข้าก็บ่นว่าทำให้เสียหน้า มาร์ค ทเวน เลยกลับไปที่ห้องพัก เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเนกไทเส้นหรูออกมา บรรจุใส่กล่องอย่างประณีต แล้วส่งกล่องนั้นไปที่บ้านเพื่อนคนนั้นด้วยตัวเอง

          บนกล่องใบนั้นมีข้อความว่า

          "เมื่อกี้ผมมานั่งที่บ้านคุณ ๓๐ นาที แต่ไม่ได้ผูกเนกไท ต้องขอโทษอย่างมาก ทั้งยังถูกภรรยาตำหนิ เวลานี้ผมส่งเนกไทมา ขอให้พวกคุณชมสัก ๓๐ วินาที แล้วคืนผมด้วย ขอบคุณมาก"
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:48:13 AM
[.


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:49:57 AM
เท่าทุน

          แก่นกับเพื่อนโชคดีแต่หัววัน อยู่ ๆ ก็เจอลาพลัดหลงมาตัวหนึ่ง ทั้งสองกำลังร้อนเงินอยู่พอดี จึงตกลงให้แก่นจูงลาไปขายที่ตลาด

          ระหว่างทางพบชายคนหนึ่งหิ้วปลามาสองตัว ชายผู้นั้นถามว่า

          "พี่ชาย ลาตัวนี้จะขายไหม"

          "ขายสิ"

          "ถ้างั้นพี่ชายช่วยถือปลาให้ผมด้วย ผมจะลองขี่มันดู ถ้าถูกใจค่อยมาตกลงเรื่องราคากัน"

          ชายคนนั้นขี่ลาวนอยู่หลายรอบ ยิ่งวนก็ยิ่งไกลออกไปทุกที จนหายวับไป แก่นรออยู่นานก็รู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว จึงได้แต่ถือปลากลับไป เพื่อนเห็นเข้าก็ถามว่า

          "ขายลาไปแล้วใช่ไหม"

          "ฮื่อ" แก่นตอบ

          "ขายได้เท่าไร"

          "ขายได้เท่าทุน แต่ปลาสองตัวนี้เป็นกำไร"



          เรื่องนี้มองได้หลายแง่มุม อาจมองว่าเป็นเรื่องของโชคที่หลุดลอยจากมือของคนโง่ก็ได้ แต่จะมองให้ลึกไปกว่านั้นก็ได้

          แก่นคงไม่ใช่คนที่ฉลาดนัก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถูกหลอกจนเสียลาไป แต่ถ้ามองให้ดี ก็จะเห็นสัจธรรมจากคำพูดของเขา ใช่หรือไม่ว่า ทั้งสอง 'เท่าทุน' ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ลามาฟรี ๆ เมื่อเสียลาไปฟรี ๆ จะเรียกว่า 'ขาดทุน' ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องมีอะไรที่ต้องเสียใจ ที่จริงแก่นพูดถูกแล้วที่บอกว่าเขา 'ได้กำไร' เพราะได้ปลาสองตัวมาจากเดิมที่ไม่มีอะไรเลย ดังนั้นจึงน่าที่จะดีใจด้วยซ้ำ

          คนเรามักจะเสียใจทุกครั้งที่สูญเสียอะไรไปโดยไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมา เราเสียใจที่เงินหาย เสียรถ เสียบ้าน ฯลฯ แต่เรามักลืมไปว่าที่จริงเราแค่ 'เท่าทุน' เราไม่ได้ 'ขาดทุน' หรือสูญเสียอะไรไปเลย เพราะแต่เดิมเราก็ไม่ได้มีสิ่งเหล่านั้นมาก่อน ถ้าสาวกันจริง ๆ แล้ว แต่เดิมเราก็มีแต่ตัวเปล่า ๆ เท่านั้น เราคลานออกมาจากท้องแม่โดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่อย่างเดียว

          ถ้ามองจากจุดที่ว่า เราเกิดมาตัวเปล่า ก็จะพบว่าถึงแม้เราจะสูญเสียอะไรไปมากมาย เราก็ยัง 'กำไร' อยู่ เพราะตอนนี้เราก็ยังมีทรัพย์สินติดตัว มีครอบครัว วิชาความรู้ และอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ คุณอาจบอกว่าของที่สูญเสียไปนั้น ไม่ได้เกิดจากโชคเหมือนอย่างสองคนในเรื่องที่ได้ลามาเปล่า ๆ แต่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงและวิชาความรู้ของคุณเอง แต่ลองสืบสาวดูก็จะพบว่า 'ทุน' ที่คุณลงไปนั้นส่วนใหญ่ก็ได้มาฟรี ๆ เหมือนกัน น้ำนมและอาหารทั้งหลายที่เลี้ยงคุณมาแต่เกิด จนทำให้มีกำลังวังชาและกำลังความคิดนั้น ใช่ว่าคุณเป็นคนซื้อมาหรือลงทุนลงแรงหามาเอง ก็เปล่า การศึกษาที่ได้รับจากพ่อแม่และครูอาจารย์ ก็ไม่ได้เกิดจากเงินทองของคุณเลยแม้แต่น้อย ถึงที่สุด ร่างกายของคุณก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ที่ดูแลเอาใจใส่ตั้งแต่เป็นตัวอ่อน ชีวิตทรัพย์สิน และอะไรต่ออะไรที่คุณมีนั้นเป็นของที่คุณได้มา 'ฟรี ๆ' แทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป อย่างแย่ที่สุดคุณก็เพียงแต่ 'เท่าทุน' เท่านั้น

          ในเมื่อสิ่งที่คุณมีอยู่เวลานี้เป็นของฟรีแทบทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น 'ของคุณ' จริง ๆ กรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งหลายจึงเป็นเพียง 'สมมติ' เท่านั้น สมมตินั้นใช้การได้ในบางที่ บางแห่ง บางเวลาเท่านั้น (เช่นกรรมสิทธิ์ในภรรยาใช้ได้ในอินเดียสมัยก่อน แต่ใช้ไม่ได้ในเมืองไทย พ.ศ. นี้) แต่บ่อยครั้งเราคิดว่า สมมติเป็นความจริงสูงสุด และดังนั้นเราจึงติดยึดกับมัน การติดยึดกับมันมาก ๆ นอกจากจะทำให้เราทุกข์เวลาสูญเสียมันไปแล้ว ยังอาจทำให้เรากลายเป็นคนโง่ได้อย่างเรื่องข้างล่าง

 

          ลูกค้าคนหนึ่งไปซื้อของที่ร้านชำ

          "ขอซื้อน้ำตาลทรายขาวหนึ่งกิโล"

          เจ้าของร้านหยิบกล่องสังกะสีใบหนึ่งลงมาจากชั้น กล่องนั้นปิดฉลากพริกป่น ลูกค้าจึงท้วงว่า

          "ผมต้องการน้ำตาลทรายขาวนะครับ ไม่ใช่พริกป่น" เจ้าของร้านหัวเราะ ตอบว่า

          "อย่าห่วง กล่องนี้บรรจุน้ำตาลทรายขาว แต่ผมกลัวว่ามดแดงมันจะขึ้นน้ำตาล ก็เลยเอาฉลากพริกป่นปิดหลอกมันไว้ไง"
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:52:04 AM
ความพอดี  
          วันนี้ขอย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ซ้อง

          เจ้าเมืองต้องการส่งข่าวด่วนให้แม่ทัพที่ชายแดน แต่เกรงว่าจะไม่ทันการ จึงให้ม้าตัวหนึ่งแก่ผู้นำสาร

          ผู้นำสารได้ม้าแล้วก็ตีม้าเต็มเหยียด ส่วนตัวเองวิ่งตามหลังม้า ขุนนางผู้หนึ่งเห็นเข้าก็อดสงสัยไม่ได้ จึงถามว่า "เรื่องนี้เร่งด่วนนัก ทำไมเจ้าไม่ขี่ม้า"

          ผู้นำสารตอบว่า

          "วิ่งหกขาก็ต้องเร็วกว่าสี่ขาสิครับ"



          สี่ขาเร็วกว่าสองขาก็จริงอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหกขาต้องเร็วกว่าสี่ขา ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ แต่บ่อยครั้งคนเราก็เผลอคิดอย่างนั้น เช่นคิดว่า ยิ่งมีเงินมากเท่าไร ก็ยิ่งสุขมากเท่านั้น ถ้าเงินแสนทำให้มีความสุข เงินสิบล้านก็ยิ่งทำให้สุโขสโมสรเพิ่มขึ้น แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ มีเงินมากมายมหาศาลดังกล่าวกลับจะทำให้สุขน้อยลงกว่าตอนที่มีแค่แสน เพราะไหนจะต้องคอยห่วงกังวลว่าใครจะมาขโมยไป ไหนจะต้องครุ่นคิดว่าจะเอาเงินไปลงทุนที่ไหนถึงจะได้ผลตอบแทนสูงสุด ไหนจะต้องปวดหัวที่ใครต่อใครก็มาขอเงิน ครั้นไม่ให้ก็กลัวจะผิดใจกันแถมยังคิดไม่ตกว่าจะเอาเงินไปซื้อรถยี่ห้อไหน หรือเที่ยวประเทศไหนดี เพราะมีทางเลือกมากมายจนงงไปหมด ฯลฯ

          ความสุขนั้นไม่ใช่กราฟเส้นตรงที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนเงินและทรัพย์ที่มี แต่คล้ายกับกราฟรูประฆังหรือครึ่งวงรี คือตอนที่ไม่มีเงินเลยก็ทุกข์ พอมีเงินก็เริ่มมีความสุข ทีแรกความสุขก็เพิ่มตามจำนวนเงิน แต่ถ้าเลยจุดพอดีไปแล้ว มีเงินเพิ่มขึ้นกลับจะทำให้ความสุขลดลง ถึงตอนนี้ยิ่งมีมากเท่าไร เส้นความสุขก็ยิ่งดิ่งลงมากเท่านั้น

          จึงไม่น่าแปลกใจที่คนรวยล้นฟ้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร แค่จะนอนให้หลับก็ต้องกินยาเป็นกำ ถ้าไม่อยากให้ความสุขลดลง ควรกลับไปหาความพอดี ซึ่งเป็นจุดที่ความสุขพุ่งสูงสุด ความพอดีที่ว่าก็คือชีวิตที่พออยู่พอกิน ไม่ยากจนและไม่ฟุ้งเฟ้อ หากมีความสะดวกสบายพอสมควร

          ถ้าสี่ขาคือความเร็วที่เหนือสองขาและหกขา ความพอดีก็คือความสุขที่เหนือความยากไร้และความฟุ้งเฟ้อนั่นเอง

          ก่อนจบขอแถมเรื่องเบา ๆ ที่แฝงข้อคิดจากราชวงศ์ซ้องเช่นกัน

 

          ชายคนหนึ่งถือไม้ยาวจะเข้าประตูเมือง ครั้งแรกถือแบบแนวตั้ง แต่เนื่องจากประตูเมืองสูงไม่พอ จึงเข้าไม่ได้ ครั้นเปลี่ยนมาถือแบบแนวนอน ก็ติดอีกเพราะประตูเมืองกว้างไม่พอ

          ชายชราคนหนึ่งเห็นเข้า จึงออกความคิดว่า

          "ถึงฉันจะไม่ใช่ผู้รู้ แต่ก็พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ทำไมเธอไม่ตัดไม้ลำนี้เป็นสองท่อนเล่า"

          คุณคิดว่า เรื่องนี้แฝงข้อคิด หรือเปรียบเปรยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนเราบ้างหรือไม่ ลองคิดดูเล่น ๆ ก็แล้วกัน ใครนึกออกก็ช่วยเขียนมาบอกบ้าง
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:53:57 AM
หนีไม่พ้น

          เด็กน้อยสวมหมวกสะพายเป้ราวกับจะออกเดินทางไกล แต่กลับเดินวนรอบตึกรามบ้านช่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นชั่วโมง ๆ ตำรวจจราจรอดสงสัยไม่ได้ เลยเข้าไปถามเด็กน้อยว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า

          "ผมกำลังหนีออกจากบ้าน" เด็กน้อยตอบ

          "เหรอ แล้วทำไมหนูถึงเดินวนล่ะ"

          "จ่าก็รู้ว่าคุณแม่ไม่ยอมให้ผมข้ามถนนเด็ดขาด ขืนผมข้ามมีหวังโดนแม่ดุแน่"



          ฟังเหตุผลของเด็กน้อยแล้วก็น่าหัว เด็กน้อยอยากจะทำงานใหญ่ แต่กลับทำได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะกลัวเรื่องขี้ปะติ๋ว

          แต่ก็อย่าขำจนลืมมองตนเอง บ่อยครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างจากเด็กคนนี้ หลายคนอาจจะเคยรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย เบื่อหน่ายเต็มทีแล้วกับการไขว่คว้าหาวัตถุมาปรนเปรอ มีของแพงยี่ห้อดัง ๆ มาใช้ ก็ใช่ว่าจะเป็นสุขที่ไหน เหนื่อยก็เหนื่อย พอกันทีชีวิตแบบนี้

          แต่พอจะโบกมืออำลาชีวิตฟุ้งเฟ้อ ก็กลับเป็นห่วงว่าถ้าใส่นาฬิกาถูก ๆ คนเขาจะมองเราอย่างไร ถ้าไม่ใส่เสื้อยี่ห้อดัง ๆ เขาคงคิดว่าเรากระจอก ถ้าไม่เที่ยวห้าง ก็จะว่าเราผิดมนุษย์มนา ฯลฯ

          คนเป็นอันมากเบื่อหน่ายกับชีวิตบริโภค แต่ไม่สามารถหนีจากไปได้ ก็เพราะกลัวโน่นกลัวนี่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วทั้งนั้น ลัทธิบริโภคนิยมครอบงำคนส่วนใหญ่ได้ ไม่ใช่เพราะมันมีเสน่ห์ชวนหลงไหลเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมันรู้จักขู่ให้คนกลัว เวลาใครอยากจะหนีจากมัน มันก็ขู่ว่า ระวังนะ เดี๋ยวจะไม่เท่ ไม่ทันสมัย

          ความเท่ ความทันสมัย ถึงแม้ว่าจะเสกสรรก็บันดาลได้จากของหรูของแพง ก็ไม่คุ้มเลยกับความวุ่นวาย เหนื่อยอ่อนเพราะต้องไขว่คว้า แทนที่จะเอาเวลาไปใช้กับสิ่งที่มีคุณค่า เช่น เพิ่มพูนความรู้ อยู่กับครอบครัว หรือแสวงหาความสงบสุขในจิตใจ

          ทุกวันนี้ผู้คนสยบยอมกับบริโภคนิยมจนเห็นวัตถุสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด สำคัญกว่าความสงบสุขภายใน สำคัญกว่าครอบครัว แม้กระทั่งคนรักก็ยังไม่สำคัญเท่า

 

          ชายหนุ่มจด ๆ จ้อง ๆ กางเกงยี่ห้อดังในห้างสรรพสินค้า เขารู้สึกพอใจ ทำท่าจะซื้อแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ พนักงานขายสงสัย เขาเลยให้เหตุผลว่า "แฟนผมเค้าคงไม่ชอบ"

          หนึ่งอาทิตย์ต่อมาเขากลับมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มและซื้อกางเกงตัวนั้นกับตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวที่มีรูปทรงเดียวกัน

          "แฟนคุณเปลี่ยนใจแล้วหรือคะ" พนักงานถาม

          "เปล่าหรอก" ชายหนุ่มตอบ "ผมเปลี่ยนแฟนแล้วต่างหาก"

          เปลี่ยนยี่ห้อกางเกงนั้นยาก เปลี่ยนแฟนยังง่ายกว่าเยอะ
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:56:36 AM
บทเรียน  
          ขอพาไปเที่ยวเมืองนอกสักวัน

          สมพงษ์ร่อนฟ้ามาอยู่ที่กรุงเดลี ขณะที่เยื้องย่างถึงหอนาฬิกากลางเมือง ก็มีกระทาชายนายหนึ่งมากระซิบถามว่าอยากซื้อนาฬิกาบนหอนั่นหรือไม่

          เศรษฐีผู้ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้ามาแล้ว ตอบทันทีว่า "แน่นอน"

          "เอามาให้ฉันแสนหนึ่งสิ แล้วผมจะไปเอาบันไดมา"

          พอได้เงินแสนรูปีจากสมพงษ์ ชายผู้นั้นก็หายวับไป หลังจากรออยู่หลายชั่วโมง สมพงษ์ก็รู้ว่าเขาถูกหลอกแล้ว

          วันรุ่งขึ้น สมพงษ์เดินไปบนถนนเส้นเดิม และแล้วชายคนเดิมก็เข้ามาถามว่า อยากซื้อนาฬิกาบนหอนั่นหรือเปล่า หมอนั่นคงความจำไม่ค่อยดี จึงไปหลอกเหยื่อรายเดิมซ้ำอีก แต่สิ่งที่หมอนั่นจำได้แม่นยำถูกต้องก็คือข้อความว่า "เอาเงินมาให้ผมแสนหนึ่งสิ แล้วผมจะไปเอาบันไดมา"

          สมพงษ์ให้เงินเขาแสนหนึ่งเช่นเคย แต่คราวนี้พูดว่า

          "ฉันไม่ใช่ไอ้หน้าโง่นะเฟ้ย คราวนี้แกอยู่นี่ ฉันจะไปเอาบันไดมาเอง"

 

          เจอเหตุการณ์ครั้งเดียว สมพงษ์ก็รู้ว่าตนถูกหลอก เขาดูเหมือนจะสรุปบทเรียนได้เมื่อเจอหมอนั่นเป็นครั้งที่สอง แต่แล้วเขาก็สรุปบทเรียนผิด เพราะไปคิดว่า ความผิดพลาดครั้งแรก เกิดจากการปล่อยให้หมอนั่นไปเอาบันไดมา เขาคิดว่าทางที่ถูกเขาควรไปเอาบันไดเอง

ทำไมเขาถึงสรุปบทเรียนผิดพลาด คำตอบก็คือเขาไปให้ความสนใจกับบันไดมากกว่าตัวหมอนั่น ดังนั้นแทนที่จะจับตัวหมอนั่นเอาไว้ เขากลับนึกถึงวิธีการที่จะให้ได้บันไดอย่างแน่นอนที่สุด นั่นก็คือเขาต้องไปเอาบันไดมาเอง

          การที่สมพงษ์ให้ความสนใจกับบันไดมากกว่าตัวหมอนั่น มองในแง่หนึ่งก็คือ การให้ความสำคัญกับวัตถุหรือเทคโนโลยีมากกว่าตัวคน ด้วยเหตุนี้เรื่องของสมพงษ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนโง่เท่านั้น หากยังเป็นภาพสะท้อนพฤติกรรมของคนทุกวันนี้ด้วย เพราะว่าเวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา แม้เราจะรู้ว่ามีอะไรสักอย่างที่ผิดปกติ แต่ใช่หรือไม่ว่าแทบทุกครั้งเรามักสรุปว่าเป็นเพราะเทคโนโลยี มากกว่าเป็นเพราะทัศนคติหรือพฤติกรรมของผู้คน

          ตัวอย่างเช่นเมื่อมีปัญหาการจราจรติดขัด เราจะนึกถึงสะพานลอยหรือทางด่วนขึ้นมาทันที ครั้นสร้างแล้วการจราจรกลับแน่นขนัดอีก เราก็สรุปว่าเป็นเพราะสร้างสะพานลอยหรือทางด่วนน้อยเกินไป เพราะฉะนั้นต้องสร้างเพิ่มอีก แต่เราแทบจะไม่ได้นึกถึงการปรับแก้พฤติกรรมหรือนิสัยของผู้คน เช่น หาทางทำให้คนใช้รถน้อยลงหรือหันมาใช้ขนส่งมวลชนมากขึ้น

          ในทำนองเดียวกัน เวลาเรามีความทุกข์ เราก็มักนึกถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาปรนเปรอตน ครั้นพบว่าความทุกข์ไม่ได้น้อยลง แทนที่จะดูปัญหาอยู่ที่ตัวเราหรือจิตใจของเราหรือไม่ กลับสรุปว่าเป็นเพราะเรามีของน้อยเกินไป ดังนั้นจึงต้องหาซื้อของมาเพิ่มอยู่เรื่อยไม่รู้จักจบสิ้น

          การสรุปบทเรียนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ใครที่ไม่รู้จักสรุปบทเรียน ก็มีปัญหาไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม การสรุปบทเรียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องสรุปให้ถูกด้วย ถ้าสรุปผิด ปัญหาเก่านอกจากจะไม่ได้แก้แล้ว ยังเกิดปัญหาใหม่ตามขึ้นมาอีก แต่จะสรุปบทเรียนอย่างไรถึงจะถูก อันนี้ขึ้นอยู่กับวิธีคิดด้วย ใครที่คิดแคบ ๆ หรือยึดติดกับความคิดของตนไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง จะสรุปอย่างไรก็สรุปผิดวันยังค่ำ ดังเรื่องข้างล่างซึ่งก็เกิดขึ้นที่เมืองนอกเช่นกัน


          นายพลบ้านนอกซึ่งไม่ค่อยอ่านหนังสือ ชอบกินเหล้า พูดจาขวานผ่าซาก ได้รับเชิญไปงานราตรีสโมสรกลางกรุงลอนดอน เขามีความสุขมาก ที่ได้มีโอกาสเต้นรำบอลรูม กับคุณหญิงผู้เด่นดังในวงการไฮโซ ระหว่างเต้นรำ คุณผู้หญิงอยากสร้างบรรยากาศสนุก ๆ จึงยกปริศนาขึ้นมาถามว่า

          "ท่านคะ อะไรเอ่ย ตรงกลางกลมสีเหลือง รอบ ๆ เป็นแฉกสีขาว"

          นายพลตอบทันทีว่า "ก็รูทวารน่ะซีคุณหญิง"

          คุณหญิงตกใจจนช็อกและเป็นลมล้มลง เพราะไม่คิดว่าจะเจอถ้อยคำหยาบคายเช่นนั้น หลังจากพยุงเธอไปปฐมพยาบาล เพื่อนของนายพลก็ถามว่าเหตุใดเธอจึงเป็นลม นายพลก็เล่าให้ฟัง เพื่อนจึงบอกว่า

          "ไปทายยังงั้นได้ยังไง ที่จริงคำเฉลยก็คือ ดอกเดซี่ หรือจะตอบว่าไข่ดาวก็ได้"

           นายพลทำท่างงแล้วถามว่า "แล้วดอกเดซี่หรือไข่ดาวมันเข้าไปอยู่ในรูทวารได้ยังไง"
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 08:58:47 AM
จุดบอด
          เช้านี้จิตแพทย์เข้าไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยโรคจิตเช่นเคย ขณะที่เดินเข้าไปในตึกผู้ป่วย ก็เห็นผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้น ทำท่าเลื่อยไม้ แต่สักครู่ก็สังเกตว่ามีอะไรสักอย่างขยับเขยื้อนอยู่ข้างบน พอเงยหน้าก็เห็นผู้ป่วยหมายเลขสองห้อยหัวอยู่บนเพดาน

          เมื่อหมอถามผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็ได้คำตอบว่า

          "หมอไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังเลื่อยไม้อยู่"

          แล้วหมอก็ถามผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งว่า ผู้ป่วยหมายเลขสองกำลังทำอะไร

          ผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งตอบว่า "เจ้านี่เป็นเพื่อนผมเอง แต่ไม่ค่อยเต็มเต็งเท่าไหร่ มันคิดว่าตัวเองเป็นหลอดไฟ"

          เมื่อหมอเงยหน้าไปมองอีกที ก็พบว่าผู้ป่วยหมายเลขสองกำลังหน้าแดงก่ำ หมอจึงบอกกับผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งว่า

          "คุณช่วยเอาเขาลงมาได้ไหม ท่าทางเขาจะแย่แล้ว"

          "อะไรกันคุณหมอ ถ้าเอาเขาลงมา แล้วผมจะทำงานในที่มืดได้อย่างไร"

 

          นิทานเรื่องนี้สอนอะไร

          บางคนอาจตอบว่า คนบ้าแม้จะสังเกตได้ว่าใครที่บ้าแต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองบ้า เช่นเดียวกับคนเมาที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเมา

          แต่อันที่จริงนิทานเรื่องนี้สะท้อนความจริงที่กว้างกว่านั้น นั่นคือชี้ให้เห็นว่าคนเรามักจะมองเห็นความบกพร่องของคนอื่น แต่กลับมองไม่เห็นความบกพร่องของตนเอง อาจเป็นธรรมดาของมนุษย์ก็ได้ เพราะการมองเห็นคนอื่นนั้นง่ายกว่ามองเห็นตัวเองมาก

          เมื่อเรารู้จุดอ่อนของมนุษย์ (และตัวเราเอง) เช่นนี้แล้ว ก่อนที่เราจะตำหนิหรือว่ากล่าวใคร ก็ควรจะมองกลับมาที่ตัวเราเองเสียก่อน ว่าเราเป็นเหมือนอย่างคนนั้นหรือไม่ การเหลียวมองตัวเองอยู่บ่อย ๆ ด้วยความซื่อตรง จะช่วยให้เราไม่กล่าวโทษหรือประณามใครง่าย ๆ กลับจะมีความเห็นใจเขาด้วยซ้ำ เพราะแท้จริงแล้วเราเองก็มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับเขา

          การย้อนมองตนอยู่บ่อย ๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้เราเห็นคนอื่นเป็นตัวปัญหาน้อยลงเท่านั้น หากยังช่วยให้เราเกิดความระมัดระวัง ไม่สร้างปัญหาแก่คนอื่นด้วย

          ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่ค่อยมองดูตัวเอง มักกลายเป็นคนที่ชอบสร้างปัญหาแก่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ เขาเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เวลาเกิดอะไรขึ้น ก็คิดแต่เพียงว่าตัวเอง (จะ) เป็นฝ่ายถูกกระทบหรือไม่ แต่ไม่เคยมองว่าตนเอง (จะ) ไปกระทบใครหรือเปล่า ดังตัวอย่างข้างล่าง


          วงซิมโฟนี กำลังซ้อมกันอย่างจริงจัง เพราะเป็นการซ้อมครั้งสุดท้าย แต่ขณะที่ซ้อม ก็มีเสียงอึกทึกดังมาจากข้างล่างเวที วาทยากรเหลียวไปมอง ก็เห็นคนงานหนุ่ม กำลังตอกตะปูเสียงดังสนั่น

          วาทยากรทนไม่ไหวจึงสั่งหยุดซ้อม และหันไปมองคนงานผู้นั้นด้วยสายตาวิงวอน

          "เชิญซ้อมต่อไปเถอะครับ" คนงานตอบอย่างสบายอารมณ์ "เสียงเพลงไม่รบกวนผมหรอก"

 
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:01:17 AM
เจ้าระเบียบ  
          บอกก่อนนะครับว่าสองเรื่องข้างล่างนี้ไม่ใช่เรื่องขัน ถ้าใครเกิดขำขึ้นมา อย่าว่าก็แล้วกัน

          หญิงผู้หนึ่งมาขึ้นเช็คเพื่อแลกเงินกับพนักงานธนาคาร

          "ขอดูบัตรประชาชนครับ" พนักงานทำตามระเบียบของธนาคาร

          "อะไรกัน" หญิงผู้นั้นอุทานด้วยความตกใจ แล้วพูดว่า "สมเกียรติ นี่ฉันเป็นแม่ของเธอนะ"

          จบเรื่องที่หนึ่ง

          วิมลจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ จึงวัดเท้าด้วยตัวเองอย่างพอดิบพอดี แต่พอไปถึงร้าน ก็พบว่าลืมเชือกวัดไว้ จึงรีบกลับบ้านไปเอาเชือกวัด

          ครั้นกลับไปที่ร้านขายรองเท้า ปรากฏว่าร้านปิดแล้ว จึงกลับบ้านด้วยความหงุดหงิด เพื่อนบ้านทราบความ จึงถามว่า "ทำไมไม่ลองรองเท้าเองล่ะ"

          วิมลตอบ "ฉันเชื่อเชือกที่วัดมากกว่าตัวเอง"

          เรื่องที่สองจบแล้วครับ


          ทั้งสองเรื่องบรรยายสถานการณ์ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เรื่องทั้งสองสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมอย่างเดียวกัน นั่นคือการยึดติดกับระเบียบแบบแผน หรือเกณฑ์วัดอย่างเหนียวแน่น จนไม่เพียงแต่จะมองข้ามวิจารณญาณ หรือความรู้สึกนึกคิดของตนเองเท่านั้น หากยังมองข้ามความเป็นจริงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่เห็นทนโท่ว่าแม่มาเบิกเงิน แต่สมเกียรติก็ยังต้องขอดูบัตรประชาชนของแม่ เพียงเพราะธนาคารมีระเบียบเช่นนั้น

          คนอย่างวิมลแม้จะดูเซ่ออย่างไม่น่าเชื่อ แต่ใช่หรือไม่ว่า บ่อยครั้งเราเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นไข้หรือเปล่า จนกว่าเทอร์โมมิเตอร์จะยืนยัน ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกรุม ๆ ก็บอกอยู่แล้ว

          การเชื่อสิ่งนอกตัวมากกว่าตัวเองยังรวมไปถึงการติดยึดกับวัตถุสิ่งของ จนเอาสิ่งนั้นมาเป็นเกณฑ์วัดคุณค่าของตนเอง คนเป็นอันมากไม่มั่นใจในตัวเองจนกว่าจะได้ใส่โรเล็กซ์ ขี่เบนซ์ หรือมีบ้านราคาหลายล้าน คุณค่าของตนเองนั้น อันที่จริงดูได้จากคุณความงามความดีและสติปัญญาของตนเอง ถ้ามีองค์คุณเหล่านั้นอยู่กับตัว ก็มั่นใจในตัวเองได้ โดยไม่ต้องเอาทรัพย์สมบัตินอกตัว หรือสินค้ายี่ห้อดังมาเป็นเครื่องวัด

          ระเบียบแบบแผน เกณฑ์วัด ค่านิยมของสังคม ถ้าไปยึดมันเป็นสรณะ จนละเลยความเป็นจริงหรือมองข้ามเนื้อหาสาระ กลายเป็นการหลงติดรูปแบบเมื่อไร ก็กลายเป็น 'สีลัพพตปรามาส' เมื่อนั้น ผลก็คือเกิดความทุกข์ทั้งเราและเขา

          ระเบียบแบบแผนนั้นควรมีขึ้นเพื่อรับใช้เรา แต่บ่อยครั้งเราก็ยึดมั่นจนกลายเป็นนายเรา พ่อแม่เป็นอันมาก กำหนดกฎระเบียบขึ้นมาในบ้านเพื่อหวังให้ลูกเป็นคนดีมีความสุข แต่แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นกับระเบียบ จู้จี้จุกจิกเอาเป็นเอาตายกับมัน จนลืมมองดูผลที่เกิดกับลูก ปรากฏว่าระเบียบที่ยึดเหนียวแน่นกลับเป็นตัวผลักไสให้ลูก ๆ ปฏิเสธกฎเกณฑ์ กลายเป็นคนไม่มีวินัยตามใจตัว หาไม่ก็ทำให้ลูกไม่มีความสุขเวลาอยู่บ้าน คิดแต่จะหนีบ้านหรือห่างพ่อแม่ให้ไกล เลยไปมั่วสุมกับเพื่อนไม่ดีแทน ถ้าเจอแบบนี้ อย่าไปโทษลูกเลย โทษตัวเองเถิด

          แม้แต่ระเบียบหรือกฎเกณฑ์ที่มุ่งหมายพัฒนาตนให้เป็นคนดี ที่เรียกว่าศีลหรือวินัย ก็ต้องระวังไว้เหมือนกัน ถ้าไปติดยึดมาก ๆ จะเกิดปัญหาได้ อย่างเรื่องข้างล่าง

 

          ชายผู้หนึ่งมาปรึกษาหมอ บอกว่าเป็นโรคปวดหัวอย่างแรงตลอดเวลา ขอให้คุณหมอช่วยหน่อย

          คุณหมอเริ่มวินิจฉัยทันที

          "คุณดื่มเหล้ามากเกินไปหรือเปล่า"

          "เหล้าน่ะเหรอ คนอย่างผมไม่แตะต้องของสกปรกพรรค์นั้นหรอก" ชายหนุ่มตอบ

          "คุณสูบบุหรี่หรือเปล่า"

          "บุหรี่น่ะน่ารังเกียจจะตาย มีแต่คนโง่ที่คาบมัน"

          "แล้วคุณไปเที่ยวซุกซนบ้างไหม"

          "ผมเป็นคนมีธรรมะนะครับคุณหมอ"

          "บอกหมอซิ" หมอพูด "อาการปวดหัวของคุณ มันเจ็บแปลบ ๆ เหมือนมีอะไรกดใช่ไหม"

          "ครับ" ชายหนุ่มตอบ

          "หมอรู้แล้ว ปัญหาของคุณก็คือรัศมีความดีของคุณรัดแน่นเกินไปนั่นเอง สิ่งที่คุณต้องทำคือคลายมันออกซะบ้าง"

          การอยู่ในศีลธรรม ไม่ข้องแวะกับอบายมุขนั้นเป็นของดี แต่พึงทำด้วยความเข้าใจ มิใช่ไปติดยึดมันจนเกิดอหังการ เห็นตนเองดีเลอเลิศ ส่วนใครที่ไม่ได้ทำอย่างตัวก็มองว่าแย่หมด จุดมุ่งหมายของศีลหรือวินัยนั้นคือ เพื่อให้ชีวิตมีสุขและเจริญงอกงาม แต่ถ้าเอามาใช้ยกชูหาง โดยที่ตัวเองไม่รู้สึกมีความสุขจากศีลเลย ศีลนั้นย่อมกลายเป็นของหนักที่ต้องแบกเอาไว้ตลอดเวลา จากเคร่งกลายเป็นเครียด และเป็นทุกในที่สุด
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: wiched ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:02:01 AM
+1 ครับ เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยอ่านครับ....... ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:03:18 AM
ว่าง่าย
          วันนี้ขอพาไปเที่ยวโรงเรียนแพทย์

          อาจารย์เริ่มชั่วโมงแรกของการสอนด้วยการพานักศึกษาใหม่เข้าห้องทดลอง ในมือของอาจารย์เป็นแก้วใสใบหนึ่ง มีน้ำสีเหลืองค่อนแก้ว

          "นี่เป็นปัสสาวะ คนที่จะเป็นหมอ ต้องมีใจกล้าและละเอียดถี่ถ้วน"

          อาจารย์เริ่มบรรยาย

          "ต่อไปนี้ ขอให้ทุกคนทำตามอาจารย์ แหย่นิ้วลงไปในถ้วยแล้วยื่นนิ้วใส่ปาก จากนั้นให้ใช้ลิ้นเลียดู"

          นักศึกษาใหม่ทำหน้าเหยเกหันไปมองกันเลิกลั่ก ชั่วโมงแรกก็เอากันยังงี้เชียวหรือ หลายคนนึกในใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็เห็นอาจารย์แหย่นิ้วมือขวาลงไปในถ้วยปัสสาวะ ไม่ใช่แหย่เฉย ๆ ยังกวนน้ำจนหมุนติ้ว แล้วชักนิ้วออกมายื่นนิ้วเข้าปากดูดเสียงดังจ๊วบ

          "อู๊ย…"

          นักเรียนครางกันเป็นแถว แต่ทำไงได้ ไหน ๆ อาจารย์ก็ลงทุนทำเป็นตัวอย่างแล้ว ลองทำตามอาจารย์ดู ยังไงก็ไม่ตายอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงพากันแหย่นิ้วลงไปในถ้วยปัสสาวะ แล้วใส่ปากเลียอย่างพะอืดพะอม

          เมื่อทำเสร็จสรรพแล้ว อาจารย์ก็พูดพลางแย้มยิ้มว่า

          "พวกเธอโง่จริง ๆ อาจารย์บอกให้ทุกคนใจกล้าและถ้วนถี่ ทำไมไม่มีใครสังเกตว่า อาจารย์แหย่นิ้วชี้ลงไปในถ้วยปัสสาวะ แต่ยื่นนิ้วกลางเข้าปาก ไม่ได้เลียนิ้วชี้สักหน่อย"


          การเชื่อฟังอาจารย์นั้นเป็นของดี แต่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสติและปัญญาประกอบด้วย ปัญหาก็คือ การเชื่อฟังหรือศรัทธานั้น บางครั้งก็เป็นตัวบดบังปัญญา เพราะพอวางใจเสียแล้ว ก็เลยไม่ยอมใช้ความคิด ขณะเดียวกันก็หย่อนความสังเกต จนบางทีกลายเป็นความเผอเรอ สิ่งที่ควรเห็นก็เลยไม่เห็น กลายเป็นว่าทั้ง 'ตาใน' และ 'ตาเนื้อ' ก็พลอยถูกบดบังไปด้วยเพราะศรัทธาตัวเดียว

          สภาวะอย่างนี้แหละ ที่ให้ใครต่อใครถูกหลอกเพราะไปหลงเชื่อคนที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์ เมื่อฝากจิตฝากใจให้เขาหมด เขาจะเล่นกลอย่างไร ก็ไม่เคยเห็นพิรุธสักอย่างทั้ง ๆ ที่สามารถจับผิดได้มากมาย หากรู้จักสังเกต มีสติตื่นตัว และคิดเป็น

          เป็นเพราะการเชื่อฟังอาจารย์มีจุดอ่อนดังว่า ในกาลามสูตรพระพุทธองค์จึงสอนว่า อย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะท่านผู้นั้นเป็นครูของเรา ต่อเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาจนแลเห็นด้วยตนเองว่าถูกต้องมีประโยชน์ จึงค่อยทำตามท่าน

          อาจารย์ที่ดีจะไม่สบายใจเลยหากเห็นศิษย์เชื่อตนเองอย่างเชื่อง ๆ ท่านจะคอยกระตุกศิษย์ให้เห็นโทษของการหลงเชื่อแบบนั้น เพื่อจะได้รู้จักใช้หัวคิดของตนเองและมีสติตื่นตัวใฝ่สังเกต เหมือนกับที่อาจารย์หมอเรื่องข้างต้นสอนเด็กชนิดเห็นกันจัง ๆ สอนแบบนี้แหละถึงจะฝังเข้าไปในหัวแทนที่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

          การเป็นคนว่าง่ายนั้นเป็นเรื่องดี จัดว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่รู้จักคิดหรือมีความเฉลียว อาจทำให้เป็นคนเซ่อไปได้อย่างเรื่องข้างล่าง

          จิระไปพักค้างคืนที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้สถานีรถไฟครั้นตื่นขึ้นมาก็พบว่าสายแล้ว จึงรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าตรงไปที่สถานีรถไฟ

          แต่พอลงมาถึงล็อบบี้โรงแรมเพื่อคืนกุญแจ ก็นึกได้ว่าลืมสายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือทิ้งไว้ในห้องน้ำ จึงบอกพนักงานโรงแรมว่า

          "น้องช่วยขึ้นไปที่ห้อง ๖๐๓ ดูว่าสายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือของพี่อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า เร็วหน่อยนะ อีกห้านาทีรถไฟจะออกแล้ว"

          พนักงานได้ยินดังนั้นก็รีบทำตาม ไม่รอให้ลิฟต์ลงมาด้วยซ้ำ รีบวิ่งขึ้นบันไดไปถึงชั้นหก

          สามนาทีต่อมาก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาในสภาพมือเปล่าแล้วบอกว่า

          "พี่พูดถูกครับ สายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือทิ้งอยู่ในห้องน้ำจริง ๆ ครับ"
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:05:52 AM
เปลี่ยนใจ

          เรือรบลำหนึ่งถูกสั่งให้ออกลาดตระเวนในคืนเดือนมืด คืนนั้นทัศนวิสัยแย่มากเพราะมีหมอกหนา

          ดังนั้นกัปตันจึงอยู่บนสะพานเรือคอยเฝ้าดูความเป็นไป

          "มีแสงไฟอยู่ข้างหน้าครับ" ลูกเรือตะโกนบอก

          "แสงไฟอยู่กับที่หรือเคลื่อนไหว" กัปตันถาม

          "อยู่กับที่ครับกัปตัน" กัปตันนึกขึ้นได้ว่า มีเรือรบอีกลำหนึ่งปฏิบัติภารกิจใกล้ ๆ กัน จึงสั่งเจ้าหน้าที่วิทยุว่า

          "วิทยุบอกเรือลำนั้นว่าเรากำลังจะชนกัน ขอให้คุณหันหัวเรือ ๒๐ องศา"

          สักพักก็มีวิทยุตอบกลับมา "เราขอแนะนำให้คุณหันหัวเรือ ๒๐ องศา"

          กัปตันรู้สึกขุ่นขึ้นมา จึงบอกต่อว่า "วิทยุกลับไปว่าผมเป็นกัปตัน ขอให้คุณหัน ๒๐ องศา"

          "ผมเป็นกะลาสีเรืออันดับ ๒ ครับ" อีกฝ่ายตอบกลับมา "ท่านหัน ๒๐ องศาดีกว่าครับ"

          ถึงตอนนี้ กัปตันเดือดดาลเป็นกำลังตะโกนว่า "วิทยุไปว่า นี่เป็นเรือรบ บอกให้เขาหัน ๒๐ องศาเดี๋ยวนี้"

          "ที่นี่เป็นประภาคารครับ" อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ

          เท่านั้นแหละ กัปตันเรือรีบตะโกนบอกลูกน้องของตนให้หันหัวเรือทันที

 

          พฤติกรรมของคนเรานั้นเปลี่ยนยาก ยิ่งถ้าเป็นเจ้านายหรือมียศศักดิ์อำนาจมากเท่าไรก็ยิ่งเปลี่ยนยากเท่านั้น มีแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้พฤติกรรมของเราเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันก็คือ 'ทัศนคติ' เมื่อทัศนคติเปลี่ยน พฤติกรรมก็เปลี่ยนตามอย่างกัปตันในเรื่องข้างบนทันทีที่รู้ว่าแสงไฟข้างหน้าคือประภาคาร ไม่ใช่เรือรบ เขาไม่รีรอเลยที่จะหันหัวเรือของตนโดยไม่ต้องให้ใครสั่ง

          ทำไมกัปตันรีบหันหัวเรือ ก็เพราะเขารู้ว่าเรือจะล่ม ถ้าไม่ทำเช่นนั้นหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า ทำให้เขาเลิกดึงดันที่จะแล่นเรือไปตามทิศเดิม เขารู้ชัดว่า เส้นทางเดิมนั้นไปไม่รอดแน่ จึงใช้เส้นทางใหม่ทันที

          คนเรานั้นมีนิสัยที่จะทำตามแนวทางเดิม ๆ ที่คุ้นเคย จะบอกให้เปลี่ยนเท่าไรก็ไม่เปลี่ยน ต่อเมื่อเห็นกับตาว่าแนวทางเดิมนั้นพาไปสู่หายนะ จึงจะยอมเปลี่ยน

          จะว่าไปเรือลำนี้ยังเก่งที่ไหวตัวทัน ผิดกับสยามรัฐนาวาซึ่งชนกับความวิบัติเต็มเปาจนเศรษฐกิจพังพินาศ ถึงตอนนี้ค่อยสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทั้ง ๆ ที่มีคนเตือนถึงอันตรายของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบรวยลัดมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จนบัดนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข็ด คิดจะรวยทางลัดอีกเหมือนเดิม นี่เป็นเพราะว่าทัศนคติยังไม่เปลี่ยนอย่างแท้จริง เศรษฐกิจพอเพียงเลยกลายเป็นแค่เทคนิควิธี แทนที่จะเป็นเรื่องของจิตสำนึก

          อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนทัศนคติก็ยังเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นกุญแจไขไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงสอนเรื่องสัมมาทิฏฐิเป็นข้อแรกของอริยมรรค ไม่ว่าเราจะต้องการให้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการศึกษาเศรษฐกิจ การเมือง หรือสิ่งแวดล้อม ต้องไม่ลืมเรื่องการเปลี่ยนทัศนคติให้เป็น สัมมาทิฏฐิ

          แต่อย่าลืมว่าการเปลี่ยนทัศนคติที่แท้จริงต้องให้ลึกลงไปถึงใจ จนกลายเป็นการเปลี่ยนใจ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงในระดับสมองหรือเหตุผลเท่านั้น นั่นเป็นแค่การรู้จำหรือนึกคิดเอาเอง ซึ่งให้ผลไม่ยั่งยืน เชื่อหรือไม่ก็ดูจากเรื่องข้างล่างนี้แล้วกัน



          ชายคนหนึ่งเห็นไก่เป็นไม่ได้ จะตื่นกลัวหัวหด ทั้งนี้เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นฝักข้าวโพดตลอดเวลา เลยกลัวว่าไก่จะมาจิกตน

          ในที่สุดเขาถูกพาไปหาจิตแพทย์ หมอแนะนำให้เขาพักที่โรงพยาบาลหนึ่งเดือนเต็ม ระหว่างนั้นหมอก็แนะให้เขาพูดกับตัวเองว่า "ผมเป็นคน ไม่ใช่ฝักข้าวโพด" วันละ ๑๐๐ ครั้ง และเขียนข้อความดังกล่าวใส่กระดาษวันละ ๑๐๐ เที่ยว

          ชายคนนั้นทำตามคำสั่งหมอด้วยดี พอครบเดือนเขาก็บอกหมอว่า "ผมแน่ใจแล้วครับว่าผมเป็นคน ไม่ใช่ฝักข้าวโพด"

          หมอได้ยินก็ดีใจ สั่งให้พยาบาลพาเขาเดินจากอาคารผู้ป่วยไปรับยาบำรุงสมองอีกตึกหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยให้เขากลับบ้าน แต่ขณะที่เดินข้ามตึกนั่นเอง เขาก็กระโดดหนีด้วยความตกใจเมื่อเห็นไก่ฝูงหนึ่งคุ้ยเขี่ยอยู่ที่ลานหญ้าหน้าตึก

          "อย่ากลัวไก่ คุณเป็นคน ไม่ใช่ฝักข้าวโพด คุณก็รู้นี่" พยาบาลบอก

          "ผมรู้ว่าผมเป็นคน แต่ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไก่มันก็รู้ด้วย"

          คนที่มั่นใจว่าตนเองเป็นคนแน่ จะไม่ห่วงหรอกว่าไก่หรือคนอื่นมองตนอย่างไร เป็นเพราะชายคนนี้ยังไม่เปลี่ยนทัศนคติอย่างแท้จริง เขาจึงแคร์ความเห็นของคนอื่น ความเป็นคนของเขายังอยู่แค่ระดับสมองหรือความจำ แต่ยังไม่ลงลึกไปถึงใจ

          ฉันใดก็ฉันนั้น เศรษฐกิจพอเพียงที่พูดกันทั้งเมืองก็เป็นเพียงการท่องจำ แต่ไม่ใช่การเห็นคล้อยหรือเปลี่ยนใจอย่างแท้จริง
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:07:57 AM
แอ็กชั่นกับรีแอ็กชั่น  
          พรศักดิ์กับสมทรงแต่งงานได้ไม่ถึงสามปีก็มีปากเสียงกันเป็นอาจิณ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร เสนออะไร เป็นต้องถูกแย้งถูกค้านจนกลายเป็นการทะเลาะกันในที่สุด

          คืนนี้เช่นกัน ทั้งสองมีปากเสียงกันตั้งแต่หัวค่ำ ไม่มีใครยอมลงให้กัน ต่างเข้านอนด้วยความมึนตึง แต่ก่อนปิดไฟเข้านอน พรศักดิ์ก็นึกขึ้นได้ว่ามีนัดแต่เช้า อยากจะขอให้สมทรงช่วยปลุก แต่ด้วยมานะทิฐิ ไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน จึงหาทางออกด้วยการเขียนบันทึกใส่กระดาษส่งให้สมทรง มีข้อความว่า

          "พรุ่งนี้หกโมงเช้าอย่าลืมปลุกด้วย"

          เช้าวันรุ่งขึ้นพรศักดิ์ก็สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเคารพธงชาติดังจากโรงเรียนข้างบ้าน ระหว่างที่ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า ก็เกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน เพราะโมโหสมทรงที่ไม่ยอมปลุก ตั้งใจว่าพบหน้าเมื่อไรจะต้องระเบิดใส่ให้สาแก่ใจ

          แต่แล้วขณะที่เขาเอื้อมมือไปหยิบแว่นตาที่หัวเตียง ก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงมา มีข้อความว่า "ตื่น ๆ ๆ หกโมงแล้ว"

 

          เราทำกับคนอื่นอย่างไร ก็ควรเตรียมใจที่จะเจออย่างนั้น จากคนอื่นด้วยเช่นกัน ไม่ควรหวังให้คนอื่นทำกับเรามากไปกว่านั้น ถ้าเราอยากให้เขาพูดกับเรา เราต้องเริ่มต้นเป็นฝ่ายพูดก่อน หากเราปรารถนาน้ำใจไมตรีจากเขา คนที่จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็คือเรา

          ทำอะไรไป ก็ได้อย่างนั้นกลับคืน นี้เป็นธรรมดา คนโบราณจึงว่าหว่านพืชเช่นไร ก็ได้ผลเช่นนั้น กฎแห่งกรรมก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องลงทุนแรง ถ้านิ่งเฉยหรืองอมืองอเท้า เพียงแต่เซ่นสรวงหรืออ้อนวอนขอให้เทวดาหรือพระเจ้าช่วยตนอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าคิดเลยว่าจะได้รับความช่วยเหลือ อยากได้ ๑๐๐ แต่ลงทุนแค่หนึ่ง จะไม่เป็นการค้ากำไรเกินควรหรือ ในทำนองเดียวกัน ถ้าอยากให้ลูกเป็นคนดี มีน้ำใจ เราก็อย่าเลี้ยงลูกแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือปรนเปรอด้วยวัตถุและเงินทอง โดยไม่เคยมีเวลาให้ความรักหรือแบบอย่างที่ดีแก่ลูก อยากให้ลูกมีคุณภาพคับแก้ว เราก็ต้องเป็นฝ่ายเทคุณภาพลงไปให้เต็มแก้วก่อน

          เดี๋ยวนี้มักมีเสียงบ่นว่าเด็กรุ่นใหม่หลงใหลวัตถุ เอาแต่แต่งตัวแข่งขันเลียนแบบญี่ปุ่นกับฝรั่ง วัน ๆ เฝ้ามองหาว่าจะมีเวทีคอนเสิร์ตที่ไหนให้ไปช่วยกันกรีดร้องบ้าง ฯลฯ แต่ก่อนที่เราจะต่อว่า หรือทำอะไรมากไปกว่านั้น ลองถามตัวเองก่อนดีไหมว่า ที่เขามีอาการเช่นนั้นเป็นเพราะเราช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมให้เขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่ สังคมที่มุ่งวัตถุและเดินตามต่างชาติ คือมรดกที่เราซึ่งเป็นคนรุ่นพ่อแม่ของเขากำลังสร้างให้เขามิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นเราจะหวังให้เขาเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร


          ครูที่อยากให้ศิษย์เก่ง ก็ต้องพร้อมจะให้เวลาศิษย์ หาไม่ก็จะลงเอยอย่างเรื่องต่อไปนี้

          ทุกเช้าวันจันทร์ อาจารย์บุญชู มีกำหนดต้องไปบรรยายให้นักศึกษาฟัง ตลอดทั้งเทอม แต่บังเอิญเป็นช่วงที่เขาต้องประชุมบริษัท ซึ่งเป็นงานไซด์ไลน์ของเขา เขาหาทางออกด้วยการพูดใส่เทป แล้วให้ผู้ช่วยนำไปเปิดในห้องเรียน เป็นเช่นนี้หลายครั้ง

          มีคราวหนึ่ง การประชุมเลิกก่อนกำหนด อาจารย์บุญชูจึงเข้าไปที่ห้องเรียน พอเดินเข้าห้องก็พบว่าภายในห้องไม่มีนักศึกษาแม้สักคนเดียว แต่หน้ากระดาน เทปยังดังไม่หยุด ส่วนหน้าเครื่องเทปนั้น มีเครื่องบันทึกเสียงนับสิบเครื่องกำลังทำงานอยู่เช่นกัน

          แอ็กชั่นเท่ากับรีแอ็กชั่น นี้เป็นกฎสากลครับ
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:10:09 AM
ไม่ยอมแพ้  
          พ่อลูกคู่หนึ่งขึ้นชื่อลือเลื่องว่าไม่ยอมแพ้ใคร วันหนึ่งพ่อจัดงานเลี้ยงที่บ้าน จึงให้ลูกชายไปตลาดซื้อเครื่องเคราทำกับข้าว

          ขณะที่ลูกชายเดินกลับบ้าน พอถึงสะพานแคบ ก็มีชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา ทั้งสองต่างไม่ยอมให้ทางกัน ต่างอ้างว่าเดินขึ้นสะพานก่อน จึงสมควรต้องไปก่อน เถียงกันอยู่นานตกลงกันไม่ได้จึงยืนขวางอยู่อย่างนั้นนานนับชั่วโมง

          ส่วนพ่อรอไม่ไหว เพราะแขกมาถึงแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอาหารเลย จึงออกไปตามหาลูก ถึงที่เกิดเหตุ พอรู้เรื่องเข้าก็เดือดดาล พูดกับลูกชายว่า

          "ลูกกลับบ้านไปทำอาหารเลี้ยงแขกก่อน พ่อจะยืนแทนที่ลูกเอง"



          คนบางคนนั้นไม่ยอมแพ้ใคร คิดแต่จะเอาชนะลูกเดียวแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ยอมลงให้ ผลสุดท้ายก็เป็นฝ่ายเดือดร้อนเอง ถ้าลูกเพียงแต่ยอมหลีกทางให้ ก็ทำอาหารเลี้ยงแขกได้ตรงเวลา และถ้าพ่อไม่ดื้อดึงแข็งขืนคิดเอาชนะแทนลูก ป่านนี้ก็ได้สังสรรค์พร้อมหน้ากับแขกแล้ว

          คนที่ดึงดันจะเป็นฝ่ายชนะอย่างเดียว มักลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ สงครามหรือการวิวาทบาดหมางทุกครั้ง แม้จะมีฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็น 'ผู้ชนะ' แต่ที่จริงทุกฝ่ายกลับเป็นผู้แพ้เพราะวิบัติยับเยินกันหมด

          คนที่มีปัญญานั้นรู้ดีว่าบางครั้งการดึงดันเอาชนะมีแต่จะนำความสูญเสียมาให้ อย่างเรื่องเล่าข้างบนนี้มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดแต่จะเอาชนะ ชนะแล้วก็ไม่ได้อะไร มีแต่ความถือตัวเท่านั้นที่เพิ่มพูนขึ้น ส่วนประโยชน์ที่ควรจะได้กลับหลุดลอยไปหมด

          ลองถามตัวเองดูบ้างว่าที่เราคิดจะเอาชนะเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดรอบคอบแล้วหรือ ภรรยาที่ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาชนะสามี (ที่มีหัวใจหลายห้อง) มักลงเอยด้วยการสูญเสียสามีไปนักต่อนักแล้ว พ่อแม่ที่คิดจะเอาชนะลูกจอมดื้อ กี่คนแล้วที่ต้องเจ็บปวดเพราะความดื้อดึงของตน การโอนอ่อนหรือยอมในบางเรื่องที่ไม่สลักสำคัญนั้น บ่อยครั้งสามารถชนะใจคนอื่นได้ ด้วยเหตุนี้โบราณถึงว่า 'แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร'

          ถ้าอยากเป็นผู้ชนะ ลองเอาชนะกิเลสหรือมานะ (ความถือตน) จะมิดีกว่าหรือ

          นอกจากการไม่ยอมแพ้ใครแล้ว การไม่ยอมเสียเปรียบใคร ก็ก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าตัว อย่างเรื่องข้างล่างนี้

          สองพี่น้องออกเงินซื้อรองเท้าหนังคู่หนึ่ง แต่ปรากฏว่า พี่ชายสวมรองเท้าคู่นั้นเกือบตลอดเวลา เพราะต้องออกไปทำงาน น้องชายไม่แฮปปี้เพราะออกเงินเท่ากัน เวลากลางคืนพี่ชายหลับ น้องชายจึงเอารองเท้ามาสวมเดิน

          เมื่อรองเท้าขาด พี่ชายชวนให้น้องออกเงินซื้อรองเท้าคู่ใหม่

          น้องชายสั่นหัวทันที แล้วตอบว่า "ขืนซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ฉันคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนเช่นเคย"

          ถ้าไม่อยากเสียเปรียบ ก็ต้องเตรียมใจที่จะเสียอย่างอื่นแทน ลองตรวจดูก็แล้วกันว่าคุ้มหรือไม่
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: PsanP_IT.31(ไพศาล ๓) ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:10:33 AM
อ่านเพลินเลย...ขอบคุณครับสำหรับแง่คิดดีๆ.. ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:12:23 AM
ไปสวรรค์  
          คุณอยากไปสวรรค์ไหมครับ อยากหรือไม่อยากก็ลองฟังเรื่องของวิชาญดู

          หลังจากหมดลม วิชาญก็พบว่าตนได้มาอยู่ในที่ที่สวยงามตระการตา สักพักบุคคลในเสื้อขาวก็เดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า "ท่านอยากได้อะไรเรียกกระผมได้ ไม่ว่าอาหาร เสื้อผ้าแม้แต่สุรานารีที่นี่มีพร้อม กระผมพร้อมจะสนองท่านทุกอย่าง"

          วิชาญดีใจอย่างยิ่ง นึกขอบคุณฟ้าดินที่ส่งเขามาอยู่ที่นี่ โดยไม่รอช้า เขาตักตวงความสุขทุกอย่างเท่าที่เคยฝันเอาไว้เมื่อยังอยู่ในโลก แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเบื่อขึ้นมา จึงเรียกหาบุคคลในเสื้อขาวแล้วถามว่า "ฉันเบื่อเต็มทีแล้ว อยากจะมีอะไรทำ ช่วยหางานให้ฉันหน่อย"

          "เสียใจครับ กระผมช่วยท่านไม่ได้ ที่นี่ไม่มีงานให้ท่านทำ" บุคคลในเสื้อขาวตอบ

          วิชาญฉุนขึ้นมาทันที โพล่งขึ้นว่า "ถ้าอย่างงั้น ที่นี่ก็เป็นนรกชัด ๆ"

          "แล้วท่านคิดว่าท่านกำลังอยู่ที่ไหนล่ะครับ" บุคคลในเสื้อขาวตอบ


          ใคร ๆ ก็มักอธิษฐานว่า ชาติหน้าขอให้ไปเกิดในที่ที่อุดมด้วยทรัพย์สมบัติ มีสิ่งเสพปรนเปรอ ความสุขพรั่งพร้อม ชนิดที่นั่งกินนอนกินก็ไม่มีวันหมด โดยเข้าใจว่านั่นแหละคือสวรรค์ แต่ใครจะไปรู้ บางทีสถานที่ที่ว่าวาดภาพเอาไว้นั้นความจริงอาจเป็นนรกก็ได้ ถ้าคุณเป็นยมบาลและอยากให้คนแห่กันลงนรกเยอะ ๆ คุณจะชักชวนคนได้อย่างไรหากไม่วาดภาพนรกให้สวยงามปานสวรรค์ แม้แต่ "ซ่องนรก" ก็ยังต้องตกแต่งประดับประดาให้น่าเข้าเลยมิใช่หรือ

          เป็นเพราะเราไม่รู้จักสวรรค์ที่แท้จริง เราจึงไปไม่ถึงสวรรค์สักที ไม่ใช่แต่สวรรค์ในชาติหน้าเท่านั้น แม้แต่สวรรค์ในชาตินี้เราก็อาจไม่เคยได้สัมผัสเลย เพราะไปหลงคิดว่าสวรรค์คือแหล่งเสพสุขทั้งปีทั้งชาติ แทนที่จะเข้าใจว่าสวรรค์นั้นมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ท่ามกลางการทำงานและการเอื้อเฟื้อผู้อื่น ขอเพียงแต่เรารู้จักทำงานให้เป็น คือทำด้วยใจรัก มีฉันทะ และมีสติอยู่กับงานที่ทำ ความปีติปราโมทย์แช่มชื่นใจก็จะเกิดขึ้นเอง การไม่มีงานทำต่างหากที่เป็นนรก หาใช่สวรรค์ไม่ ถ้าไม่เชื่อก็ถามผู้เฒ่าทั้งหลายในบ้านพักคนชราดูก็ได้

          ลองสำรวจดูอีกครั้งว่าสถานที่ที่เราอยากไปเมื่อตายแล้วนั้นเป็นสวรรค์จริง ๆ หรือเปล่า มันอาจเป็นอย่างอื่นก็ได้ต้องเตือนไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างชายในเรื่องข้างล่าง

          สามีภรรยาคู่หนึ่งตกลงกันว่า ถ้าใครตายก่อน จะต้องกลับมาหาคนที่ยังอยู่ แล้วมาบอกว่าไปเจออะไรหลังกลับบ้านเก่าแล้ว นุชนารถนั้นกลัวว่าสวรรค์จะไม่มีจริง โชคดีที่วัฒน์ผู้เป็นสามีเกิดตายก่อน ไม่กี่วันจากนั้น ผู้เป็นภรรยาก็ได้รับการติดต่อ

          "นุชนารถ"

          "นี่คุณหรือเปล่า วัฒน์?"

          "ใช่แล้ว ผมเอง ผมกลับมาตามที่ตกลงกัน"

          "ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง"

          "แบบว่าพอผมตื่นมาตอนเช้า ก็มีเซ็กซ์ กินข้าวเสร็จก็มีเซ็กซ์อีก แล้วก็อาบแดด จากนั้นก็มีเซ็กซ์อีกสองครั้งแล้วกินข้าวเที่ยง มีเซ็กซ์ต่ออีกครั้งตั้งแต่บ่าย เย็น จนค่ำแล้วก็นอน ตื่นขึ้นก็ทำอย่างเดิมอีก"

          "โอ วัฒน์ คุณต้องอยู่ในสวรรค์แน่ ๆ เลย"

          "ใครว่า ตอนนี้ผมเป็นกระต่ายอยู่ที่เขาดินต่างหาก" วัฒน์ตอบอย่างเซ็ง ๆ

          มาถึงตอนนี้แล้ว คุณอยากไปสวรรค์อย่างที่ฝันเอาไว้หรือเปล่า
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:14:24 AM
คืนดี  
          หลังจากไม่ยอมมองหน้ากันอยู่หลายวัน ภรรยาก็อยากคืนดีกับสามี จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า "คุณขา…เรามาคืนดีกันดีกว่า อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้งกันอีกเลย เอาอย่างนี้ดีไหม เรามาตกลงกัน คุณอย่าตบตีฉัน ส่วนฉันก็จะเลิกด่าว่าคุณ"

          "ตกลง เราคืนดีกัน แต่เธอต้องทำอย่างที่พูดนะ ขืนด่าว่าฉันอีก ฉันจะอัดเธอติดข้างฝา" สามีพูด

          "เชอะ! เจ้าคนปากเสีย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังจะมาคิดตบตีฉันอีก" ภรรยาโต้ตอบทันควัน

 

          การคืนดีไม่ใช่เป็นเรื่องการทำสัญญาหรือข้อตกลง สัมพันธภาพจะงดงามหรือสานต่อยั่งยืนได้ มิได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมภายนอกอย่างเดียว หากยังต้องอาศัยปัจจัยที่ลึกไปกว่านั้น นั่นคือจิตใจ ก่อนที่จะคิดปรับพฤติกรรมของตนหรือเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยนนิสัย เราต้องปรับจิตหรือเตรียมใจของตนเป็นเบื้องแรก เช่น อดทนอดกลั้นให้มากขึ้น ทำใจให้หนักแน่น ไม่หุนหันพลันแล่นไปตามนิสัยเดิม หมั่นมองอีกฝ่ายในแง่ดี และพร้อมจะให้อภัยหากเขายังไม่เปลี่ยนอย่างที่พูด หรือไม่เป็นไปอย่างที่หวัง

          แทนที่จะคาดหวังให้เขาทำดีกับเราก่อน เราเองควรเป็นฝ่ายเริ่มต้น แทนที่จะให้เขาระวังมือระวังเท้าของตน เราเองควรเป็นฝ่ายระวังจิตของตัว คอยดูใจ ไม่เผลอตอบโต้ทันทีที่ผิดหูผิดใจ หรือปล่อยตัวไปตาม วัฏจักรเดิม สติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการคืนดี สำคัญกว่าการทำข้อตกลงมากมายนัก

          ปราศจากสติเสียแล้ว สัญญาก็ถูกฉีกก่อนที่น้ำหมึกหรือน้ำคำจะเหือดแห้งเสียอีก เมื่อมีสติแล้ว ปัญญาก็ตามมา ปัญหาต่าง ๆ หากเกิดขึ้น ก็สามารถแก้ไขได้อย่างถูกต้องตรงจุดด้วยวิธีการที่สันติ

          ชีวิตในครอบครัวนั้นมักจะมีเรื่องให้ผิดหวังหรือขัดใจเสมอ แต่ถ้ามีสติและปัญญา รู้จักอดกลั้นทำใจให้เยือกเย็นสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบา ถึงคราวพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง ก็สามารถแสดงออกหรือบอกกล่าวด้วยความนุ่มนวล ไม่ต้องถึงกับต่อว่า เรียกว่ามีอุบายในการแก้ปัญหา ลองดูตัวอย่างเรื่องข้างล่าง



          วิทูรย์เอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยใส่ใจภรรยา ไปไหนมาไหนก็ไม่ซื้ออะไรมาฝากสมศรีภรรยา

          ค่ำวันหนึ่ง…วิทูรย์กลับจากที่ทำงานด้วยความเหนื่อยอ่อน พอเข้าประตูบ้านเห็นขนมเค้กก้อนใหญ่อยู่บนโต๊ะ ซ้ำเทียนเล่มเล็ก ๆ สิบเล่มปักอยู่

          "วันนี้เป็นวันเกิดของใครหรือ ทำไมมีขนมเค้กก้อนโต"

          "สำหรับเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ตัวนี้ค่ะ ฉันใส่มาสิบปีแล้วจึงจัดงานครบรอบสิบปีให้มันค่ะที่รัก"
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:16:48 AM
ศัตรูคู่ปรารถนา  
          ตอนนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เอนกายให้สบายนะครับ ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้วให้ชุ่มใจ แล้วมาฟังเรื่องน่าสนใจสองเรื่อง แต่บอกก่อนนะครับว่าเรื่องแรกไม่ใช่เรื่องขำขันอย่างคุ้นเคยกัน

          ขอเริ่มเลยนะครับ

          ชาวอังกฤษคนหนึ่งรอดตายจากเรือแตก เขาไปติดค้างบนเกาะร้างแห่งหนึ่งอยู่หลายปีโดยไม่เห็นหน้าผู้คนเลย แต่ในที่สุดก็มีเรือลำหนึ่งพลัดหลงมาที่เกาะนี้ พวกลูกเรือประหลาดใจที่พบว่ามีเพียงคนเดียวอยู่บนเกาะ ด้วยความสงสัย จึงถามชายผู้นั้นว่า เหตุใดเขาจึงต้องสร้างโบสถ์ขึ้นมาสองหลัง

          "คืออย่างนี้ครับ" ชายบนเกาะร้างอธิบาย "หลังหนึ่งเป็นโบสถ์ที่ผมนับถือ ส่วนอีกหลังเป็นโบสถ์ที่ผมไม่นับถือไงครับ"

          อย่าเพิ่งงงนะครับ ขอต่อเรื่องที่สองเลย

          เช้าวันจันทร์ แม่ขึ้นไปปลุกลูกถึงที่นอน

          "ตื่น ๆ ได้เวลาไปโรงเรียนแล้ว"

          "ผมไม่อยากไปโรงเรียนเลย" ลูกพูดอย่างงัวเงีย

          "บอกแม่สักสองข้อว่า ลูกมีเหตุผลอะไรถึงไม่อยากไปโรงเรียน"

          "หนึ่ง นักเรียนทุกคนเกลียดผม สอง ครูทุกคนเกลียดผม"

          "นั้นไม่ใช่เหตุผลเลย ถึงอย่างไรก็ต้องไปโรงเรียน" แม่ยืนกราน

          "แม่ช่วยบอกผมสักสองข้อว่า มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปโรงเรียน" ลูกย้อนถาม

          "หนึ่ง ลูกอายุ ๕๒ ปี แล้วสอง ลูกเป็นครูใหญ่โรงเรียนนี้"



          น่าเอ็นดูนะครับครูใหญ่คนนี้ ส่วนท่านที่เป็นครูใหญ่ ก็อย่าเพิ่งโกรธนะครับ นี่เป็นเรื่องขำขัน

          แต่ถึงจะเป็นเรื่องขำขันก็มีสาระและอิงความจริงอยู่ไม่น้อย ถ้าเราเกิดเป็นครูใหญ่คนนั้น เราเองก็คงไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนกัน สนุกเสียเมื่อไรเวลาถูกแวดล้อมด้วย คนที่เกลียดเราถึงแม้ว่าเราจะมีอำนาจเหนือเขา ถึงจะเป็นครูใหญ่หรือผู้จัดการก็ไม่ได้ช่วยเท่าไร

          ไม่ว่า 'ลูก' จะเป็นเด็กชั้นประถม หรือครูใหญ่ ก็ต้องการความรัก ความรักซึ่งรออยู่ที่โรงเรียน ชักนำให้ทั้งนักเรียนและครูใหญ่อยากไปโรงเรียนพอ ๆ กัน นี่เป็นความจริงสากลที่ใช้ได้กับทุกที่ สำนักงาน บ้าน แม้แต่วัด จะมีชีวิตชีวาก็เพราะมีความรักหล่อเลี้ยงและดึงดูดใจ

          ทุกคนต้องการความรักจากผู้อื่น ไม่อยากเป็นที่เกลียดชังของใคร แต่แล้วเหตุใดผู้คนจึงไม่ค่อยอยากจะเผื่อแผ่ความรักให้แก่คนอื่นที่มิใช่พวกตน ตรงกันข้ามเรากลับเกลียดชังหรือโกรธใครต่อใครได้ง่ายเหลือเกินน่าคิดก็คือว่า ทั้ง ๆ ที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากให้ใครมาเกลียดตัวเรา แต่ทำไมเราจึงชอบสร้างศัตรูอยู่เสมอ

          เป็นไปได้ไหมว่า ลึก ๆ แล้ว เราต้องการ 'ศัตรู' เพื่อจะได้มี 'เป้า' สำหรับเป็นที่ระบายโทสะ คนเราเวลาเกิดโทสะหรือความโกรธแล้ว มักจะหาที่ระบาย เราจึงต้องมีเป้าสำหรับเป็นที่ปลดเปลื้องความโกรธของเรา เป้าอะไรจะดีกว่าเป้าที่อยู่นอกตัว เป้านั้นก็คือ 'ศัตรู' นั่นเอง

          คนเราต้องการมีศัตรู มิใช่เพียงเพื่อเป็นที่ระบายโทสะเท่านั้น หากยังเพื่อเป็น 'แพะรับบาป' เวลาเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เราจะได้โทษคนอื่นได้อย่างสะดวกใจ การมีศัตรู (หรือคนที่เราไม่ชอบหน้า) ช่วยให้เราโทษเขาได้ถนัดถนี่ทั้ง ๆ ที่บ่อยครั้งสาเหตุนั้นเกิดจากเรา แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิด ด้วยสาเหตุนี้เราจึงต้องสร้างศัตรูขึ้นมาเพื่อรับผิดแทนเรา

          นี้คือเหตุผลที่ว่าชายอังกฤษในเรื่องแรกต้องสร้างโบสถ์ขึ้นมาสองหลัง โบสถ์หลังแรกเป็นโบสถ์ในศาสนาหรือลัทธินิกายที่เขานับถือ ส่วนโบสถ์หลังที่สองเป็นโบสถ์ในลัทธินิกายที่เขาเกลียดหรือต่อต้าน แม้จะอยู่คนเดียวในเกาะร้าง เขาก็ยังต้องการที่ระบายความเกลียดและความโกรธ โบสถ์หลังที่สองคือ 'ศัตรู' ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่รับรองอารมณ์ดังกล่าว รวมทั้งเป็นที่สำหรับกล่าวโทษเวลาเกิดปัญหา หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมา ถึงตรงนี้ก็คงเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมคนเยอรมันสมัยก่อนจึงจงเกลียดจงชังชาวยิว และทำไมนักการเมืองและข้าราชการบ้านเราจึงชอบ 'ปลุกผีคอมมิวนิสต์' อยู่เรื่อย ๆ

          คงเห็นแล้วนะครับว่า กิเลสหรือ 'ตัวตน' ของเรานั้นมันเจ้าเล่ห์ ถ้าเราขืนยอมตามกิเลสหรือหลงตัวตน เราก็จะมีศัตรูเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน แผ่เมตตาให้ 'ศัตรู' เหล่านั้นไม่ดีกว่าหรือครับ แล้วกลับมามองตัวเองว่า ต้นตอของปัญหาอยู่ที่เราหรือเปล่า แต่ถ้าพบว่าตัวเราเองเป็นสาเหตุก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้ตัวเองด้วย

          โกรธตัวเองมาก ๆ ระวังจะเป็นสารพัดโรคนะครับ
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:18:43 AM
คนช่างรอ
          กำนันบุญไปเยี่ยมลูกสาวซึ่งแต่งงานอยู่กินกับชาวอเมริกัน เมื่อไปถึงอเมริกา ลูกเขยก็ต้อนรับเต็มที่ เรียกได้ว่าเลี้ยงดูปูเสื่อสามวันสามคืน วันที่สาม กำนันบุญจึงถามลูกเขยว่า

          "ถามจริง ๆ เถอะ เลี้ยงดูขนาดนี้ ยูเอาเงินมาจากไหน"

          "อ๋อ ดูโน่นซีครับพ่อตา" ลูกเขยตอบพลางชี้ไปทางแม่น้ำแล้วถามว่า

          "เห็นอะไรไหม"

          "เห็น ก็แม่น้ำไง"

          "แล้วเห็นสะพานไหม"

          "เห็น"

          "นั้นแหละครับ สะพานที่ผมสร้างขึ้น เวลารถผ่านแต่ละคัน ก็ต้องเสียสตางค์ให้ผม เงินก็มาจากนั้นแหละครับ"

          ปีต่อมา ลูกเขยมาเที่ยวเมืองไทยพร้อมภรรยา กำนันบุญเลี้ยงตอบแทนอย่างเอิกเกริกสามวันสามคืนเหมือนกัน ลูกเขยจึงตั้งคำถามเดียวกันว่า พ่อตาเอาเงินมาจากไหน

          "เห็นแม่น้ำนั้นไหม" กำนันบุญถาม

          "เห็น"

          "เห็นสะพานไหม"

          "ไม่เห็นสะพานเลย" ลูกเขยตอบ

          "ก็นั้นแหละ เงินที่เราเลี้ยงกันอยู่นี่ก็เป็นเงินสำหรับสร้างสะพานของตำบลนี้แหละ"


          นิทานข้างต้น เป็นเรื่องของคนสองประเภท ประเภทแรกร่ำรวยเพราะน้ำพักน้ำแรงของตน อีกประเภทมีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เพราะคดโกงมา ถ้ามองมากกว่านั้นก็จะเห็นว่า คนประเภทแรกจัดอยู่ในพวก 'ใฝ่ทำ' ประเภทหลังนั้นเป็นพวก 'ใฝ่เสพ'

          คนใฝ่ทำนั้น เวลาอยากได้อะไรก็พยายามทำด้วยตัวเอง หรือหามาด้วยความเพียรของตน ส่วนใฝ่เสพนั้น สนใจที่จะเสพอย่างเดียว ไม่อยากทำ ถ้าจะทำก็ทำด้วยวิธีลัดสั้นที่สุด เช่น ขโมย คดโกง หรือทุจริต หาไม่ก็ทำอย่างขอไปที รอว่าเมื่อไรจะได้เวลาเลิกงาน

          เนื่องจากคนใฝ่เสพนิยมวิธีลัดสั้นที่สุด เพื่อจะได้สิ่งเสพโดยเสียแรงน้อยที่สุด จึงมักกลายเป็นพวกพึ่งพาอิทธิปาฏิหาริย์ อยากได้อะไรก็บนบานศาลกล่าว วิธีเซ่นสรวงแบบหนึ่งซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นก็คือ ซื้อบุญ ถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยหวังผลตอบแทนร้อยเท่าพันทวีจากเงินที่ลงทุนไป นับว่าเป็นผลรุนแรงยิ่งกว่าหวยใต้ดินเสียอีก

          ผลที่ตามมาก็คือ คนเหล่านี้กลายเป็นคนช่างรอ รอผลดลบันดาล รอโชค หรือรอฟลุก ถ้าหนักเข้าก็อาจกลายเป็นคนน่าหัวอย่างชายข้างล่างนี้

          ขณะที่ชายคนหนึ่งเดินผ่านต้นมะม่วง ลูกมะม่วงก็สุกตกลงมาสองลูก จึงเดินไปเก็บ แต่แทนที่จะปอกเปลือกกินหรือเดินต่อไป กลับยืนแหงนคออยู่ใต้ต้นมะม่วง

          ผู้เฒ่าเห็นชายผู้นั้นยืนอยู่นานสองนาน จึงถามว่า

          "พ่อหนุ่ม กำลังทำอะไรเหรอ"

          "กำลังรอว่าเมื่อไหร่ข้าวเหนียวจะตกลงมาสักที" ชายหนุ่มตอบ
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:20:58 AM
ชีวิตอิสระ  
          ที่ไหน ๆ ก็ไปมาแล้ว วันนี้ขอพาไปชมบรรยากาศหน้าห้องขังดีกว่า

          หนุ่มสามคนถูกศาลตัดสินลงโทษ ๒๐ ปีเหมือนกัน โดนข้อหาอะไร คนเล่าไม่ได้บอก แต่ก่อนแยกเข้าห้องขังเดี่ยว ผู้คุมอนุญาตให้แต่ละคนเอาของติดตัวไปได้อย่างเดียว คนแรกขอหนังสือ คนที่สองขอพระพุทธรูป ส่วนคนที่สามขอบุหรี่ ๒๐ ลัง

          ๒๐ ปีผ่านไป…เมื่อประตูคุกเปิดออก ชายคนแรกออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บอกกับผู้คุมว่า

          "ผมจะไปเป็นทนายความแล้วครับ ขอบคุณที่ให้ตำรากฎหมายผมไปศึกษาจนทะลุปรุโปร่ง"

          ส่วนคนที่สองก็ก้าวออกจากห้องขังอย่างสำรวม

          "ผมตัดสินใจจะไปบวชพระ ส่วนพระพุทธรูปในห้องขัง ผมขอมอบแก่เรือนจำ"

          ไม่นานคนที่สามก็เดินออกมา สีหน้าบูดบึ้งราวกับไม่ได้ถ่ายมานาน

          "ผู้คุม ขอไม้ขีดไฟด้วย เร็ว ๆ หน่อย"


          ที่จริงก็หน้าเห็นใจมาก ๆ อุตส่าห์ขนบุหรี่ไปถึง ๒๐ ลัง แต่ไม่มีไฟแช็กหรือไม้ขีดไฟเลย สิงห์อมควันที่ไหนเจอแบบนี้ก็แย่ทั้งนั้น แต่ตอนนี้วางความสงสารเอาไว้ข้าง ๆ มาดูว่าเรื่องข้างบนนี้บอกอะไรเราบ้าง

          นิทานเรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึง ความแตกต่างของคนสามประเภท ประเภทแรกเป็นคนใฝ่รู้ ประเภทที่สองเป็นคนสนใจศาสนา ส่วนคนประเภทสุดท้ายเป็นคนติดบุหรี่ ทั้งคนใฝ่รู้และสนใจศาสนา ชีวิตไม่ต้องการอะไรมาก ขอเพียงแค่สิ่งของอย่างเดียวชีวิตก็เป็นสุข ส่วนคนสุดท้ายนั้น ชีวิตกลับยุ่งยากมากกว่า จะไปไหนต้องแบกของพะรุงพะรัง ถ้าเกิดเอาของไปไม่ครบก็วุ่นวาย ได้บุหรี่แล้วยังไม่พอ ต้องมีไม้ขีดไฟหรือไฟแช็กอีก ได้ไฟแช็กแล้วแต่ไม่มีแก๊ซก็เกิดเรื่องอีก นี่ดีนะที่อยู่ในคุก หากไปที่อื่นก็อาจต้องการจานรองบุหรี่หรือที่เก็บเถ้าบุหรี่ด้วย

          สองคนแรกนั้น เวลา ๒๐ ปีผ่านไปแบบไม่สูญเปล่า สามารถพัฒนาฝึกฝนตนให้มีอนาคตรุ่งโรจน์ ส่วนคนสุดท้ายจมปลักอยู่กับความหม่นหมองทุกข์ระทม เพียงเพราะขาดไม้ขีดไฟเท่านั้น ชีวิตของคนที่สาม เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่ไร้อิสระทั้งกายและใจ ใจนั้นอยู่ในอำนาจของไม้ขีดไฟแบบเต็มร้อย

          ความจริงนิทานเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนติดบุหรี่เท่านั้น ถ้ามองให้ลึก ๆ ยังเป็นคติสอนใจคนที่ติดวัตถุอีกด้วย ถึงไม่ติดบุหรี่ หากติดวัตถุอื่น เช่น วิดีโอ เครื่องเสียง เครื่องประดับ อาหาร ฯลฯ ก็คงจะทุกข์แบบเดียวกับคนที่สาม เพราะได้รับอนุญาตให้เอาของไปได้ชิ้นเดียว ขณะที่ความสุขจากวัตถุเหล่านั้นต้องการอุปกรณ์หลายอย่าง

          คนที่ติดรสชาติ วัตถุดังกล่าว ไปไหนมาไหนจึงวุ่นวายพอ ๆ กับคนติดบุหรี่ ไปวัดก็ไม่เป็นสุข แม้จะไปเที่ยวเกาะเที่ยวป่า ก็ต้องขนของไปจนพะรุงพะรัง แล้วถ้าเกิดเอาไปไม่ครบ ก็หน้าบูดบึ้งโวยวายตามสูตร ลองสังเกตเวลาไปแคมปิ้ง จะทำราวกับขนบ้านไปทั้งหลังเลย เที่ยวอย่างนี้จะสนุกอย่างไร

          ขนาดไปเที่ยวยังไม่สนุกก็ติดโน่นติดนี่ แล้วชีวิตประจำวันจะอึดอัดแค่ไหน ก็คงนึกออก ชีวิตที่ติดวัตถุจึงเป็นชีวิตที่หนักอึ้งเหมือนแบกหินไว้ตลอดเวลา เพราะวัตถุต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่จะได้มาฟรี ๆ ต้องขวนขวายแบกหา บางทีหาด้วยเล่ห์ไม่ได้ ก็ต้องเอาด้วยกล ชีวิตก็เลยยอกย้อนซ่อนกลเข้าไปใหญ่

          ถ้าอยากมีชีวิตเบาสบาย เคล็ดลับมีนิดเดียว คือ คลายความหลงใหลติดยึดในวัตถุเสีย ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องซิกแซ็กวุ่นวายหรือกังวลใจ

          ครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้มั่งคั่งไปหาเพื่อนผู้หนึ่งที่บ้าน เห็นเขากำลังกินถั่วฝักยาวเป็นอาหารเย็นพอดี จึงพูดขึ้นว่า "ถ้าคุณรู้จักประจบสอพลอกษัตริย์เสียบ้าง ก็คงไม่ต้องประทังชีวิตด้วยถั่วฝักยาวหรอก"

          เพื่อนผู้สมถะจึงย้อนว่า "ถ้ารู้จักประทังชีวิตด้วยถั่วฝักยาวละก็ คงไม่ต้องประจบสอพลอกษัตริย์หรอก"

          ถ้าหลงใหลอาหารฮ่องเต้ ชีวิตก็ยุ่งยาก แต่ถ้าเมินอาหารฮ่องเต้ได้ ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะ จริงไหม
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:23:45 AM
เด็กโกหก  
          คุณแม่โกรธจนเหลืออด สอนแล้วสอนเล่า แต่ลูกสาววัยสี่ขวบก็ยังชอบพูดปดอยู่ จึงพูดขู่ว่า "ถ้าลูกขืนพูดโกหกอีก แม่มดจะมาจับลูกไป"

          "ลูกไม่กลัว" ลูกสาวย้อน

          "ทำไมไม่กลัว" คุณแม่ซัก

          "เพราะถ้ามีแม่มดจริง ก็จับแม่ไปก่อนแล้ว"



          ศีลธรรมหรือคุณงามความดีนั้น ไม่อาจสอนด้วยคำพูดได้ ถ้าจะให้ได้ผลต้องแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่าง ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เด็กหรือนักเรียนจึงจะซึมซับเข้าไปในจิตใจของเขาได้ ในทางตรงข้าม ถึงแม้จะสอนจนปากเปียกปากแฉะเพียงใด แต่พ่อแม่หรือครูไม่ได้ทำเป็นแบบอย่าง เด็กก็ยากที่จะเป็นอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการได้

          เป็นเพราะเรามักเข้าใจว่าความดีนั้น 'สอน' กันได้เราจึงชอบ 'สอน' แต่ไม่ค่อยที่จะ 'ทำ' หรือ 'เป็น' ให้เขาเห็น จริง ๆ แล้วน่าจะคิดว่าความดีนั้นสอนกันได้จริงหรือจะว่าไป เด็กจะเป็นคนดีได้ มิใช่เพราะ 'ถูกสอน' ดอก หากเป็นเพราะเขา 'เรียนรู้' จากชีวิตจริง หรือจากแบบอย่างต่างหาก

          การศึกษาสมัยนี้ โดยเฉพาะในโรงเรียน ในบ้านเน้นเรื่อง 'การสอน' ของผู้ใหญ่มากว่าที่จะให้ความสำคัญกับ 'การเรียนรู้' ของเด็ก เราไปเน้นกันมากว่าพ่อแม่หรือครูควรจะพูดอย่างไรกับเด็ก หรือจะเอา 'ข้อมูล' ใส่หัวเด็กอย่างไรบ้าง แต่กลับไม่ค่อยสนใจว่าเด็กเรียนรู้อะไรบ้างจากผู้ใหญ่

          เคยสงสัยไหมว่า ทั้ง ๆ ที่สังคมสมัยนี้ไม่ค่อยได้ 'สอน' อะไรให้เด็ก แต่ทำไมเด็กกลับ 'เรียนรู้' อะไรต่ออะไรจากสังคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัว ความมักง่าย ใฝ่เสพ ฯลฯ นั้นเป็นเพราะเด็ก ๆ เห็นสิ่งเหล่านั้นจากชีวิตจริงในสังคมรอบตัว ความดี (และความชั่ว) ซึมซับเข้าไปในตัวเด็ก (และผู้ใหญ่) ได้ ส่วนใหญ่มิใช่เพราะมีใครมาสอน แต่เป็นผลแห่งการเรียนรู้ของตัวเองจากสิ่งรอบตัวต่างหาก ดังนั้น ถ้าแม่อยากให้ลูกพูดคำสัตย์ แม่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้ลูกได้เรียนรู้ วิธีนี้ได้ผลกว่าการสั่งสอน เทศนาเป็นไหน ๆ

          ที่จริงหลักการที่ว่านอกจากจะจำเป็นสำหรับพ่อแม่และครูแล้ว ยังใช้ได้กับพระด้วย ถ้าไม่เชื่อก็ดูเรื่องข้างล่างนี้

          ขณะที่บาทหลวงกำลังจะกลับวัด ก็เห็นเด็กสี่ห้าคนกำลังนั่งโต้เถียงกันกลางวงเป็นเหรียญและแบงก์อยู่จำนวนหนึ่ง บาทหลวงจึงเข้าไปถามว่าทำอะไรกัน

          "พวกผมกำลังแข่งขันกันครับว่า ใครจะโกหกเก่งกว่ากัน" เด็กตอบแล้วพูดต่อไปว่า "คนที่โกหกเก่งที่สุดจะได้เงินกองนี้ไป"

          "อะไรกัน พวกเธอริอ่านโกหกกันตั้งแต่เล็กเลยหรือนี่ ตอนพ่อเป็นเด็ก พ่อไม่เคยโกหกเลย"

          "เฮ้ย พวกเรา ยกเงินกองนี้ให้หลวงพ่อก็แล้วกัน" เด็กคนหนึ่งพูดสวนขึ้นมา

          เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ไม่จำเพาะฝรั่งเท่านั้น หลวงพ่อหลวงพี่ก็น่าจะเก็บไปคิดด้วย
 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:25:58 AM
ลูกบังเกิดเกล้า  
          คุณยายโปรดปรานหลานทั้งสองยิ่งนัก จึงเป็นปลื้มทุกครั้ง ที่ได้พาหลานออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะข้างบ้าน

          วันหนึ่ง ขณะเดินเล่นกับหลานเช่นเคย คุณยายพบเพื่อนเก่าจึงเข้าไปทักทาย

          "สบายดีหรือ" คุณยายเริ่มก่อน

          "จ๊ะ สบายดี" เพื่อนเก่าตอบ แล้วถามว่า "นี่คงเป็นหลานเธอสิท่า อายุเท่าไรล่ะ"

          คุณยายตอบด้วยความภาคภูมิใจ "คนที่เป็นหมอนี่" เธอชี้ไปที่หลานคนโต "อายุสี่ขวบ"

          แล้วเธอก็ชี้ไปที่เด็กในรถเข็น "ส่วนคนที่เป็นวิศวกรนี่อายุเพิ่งสองขวบ"


          นึกภาพคงเดาออกว่า ยายคงประคบประหงม และตามใจหลานทั้งสองเต็มที่ ก็เป็นถึงหมอและวิศวกรแล้ว จะให้ยุงไต่ไรตอมได้อย่างไร ยิ่งทั้งพ่อแม่เอาอกเอาใจผสมโรงด้วย ปรนเปรอชนิดถึงไหนถึงกัน เด็กก็เป็นอย่างข้างล่างนี้

          คุณแม่พาลูกสาววัยแปดขวบไปเที่ยวนอกบ้าน ระหว่างทางเจอน้าสาว น้าสาวเห็นหลานน่าเอ็นดูจึงส่งส้มให้ผลหนึ่ง หนูน้อยรับมาแต่ไม่พูด 'ขอบคุณ' สักคำ

          คุณแม่เลยเตือนสติลูกว่า

          "คุณน้าให้ส้มลูก ลูกต้องพูดยังไงจ๊ะ"

          ลูกสาวได้ยินก็ส่งส้มคืนให้น้าแล้วพูดว่า

          "คุณน้าขา ช่วยปอกเปลือกให้หนูหน่อยสิคะ"

          ส่วนลูกชายก็ใช่ย่อย หลังจากผ่านไปสี่ห้าปี วันหนึ่งคุณพ่อก็พูดกับลูกชายซึ่งเรียนชั้นประถมห้าว่า

          "ลูกเอาแต่วิ่งเล่น ไม่สนใจการเรียนเลย รู้หรือเปล่าตอนที่คลินตันอายุเท่าลูก เขาก็เป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนแล้ว"

          "ผมรู้ครับ" ลูกชายตอบ "แต่พอคลินตันอายุเท่าพ่อเขาก็ได้เป็นประธานาธิบดีแล้วนะครับ"

          เมื่อความรักกลายเป็นการตามใจและปรนเปรอ เด็กน้อยก็ค่อย ๆ กลายเป็นลูกบังเกิดเกล้า ขณะยังเล็กก็อาจดูน่ารัก แต่ถ้าทั้งสองโตเป็นวัยรุ่นเมื่อไรคงดูไม่จืดเลย คุณนึกภาพออกไหมครับว่าทั้ง 'คุณหมอ' และ 'คุณวิศวกร' นี้จะเฮี้ยวแค่ไหน
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:27:58 AM
ปรารถนาดี  
          ผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่งเดินอุ้ยอ้ายขึ้นมาบนรถเมล์ พอเดินพ้นบันได เด็กนักเรียนอายุเจ็ดขวบก็รีบลุกขึ้น

          หญิงมีครรภ์เห็นว่านักเรียนอายุยังน้อย แถมถือกระเป๋าใบใหญ่ จึงสั่นหัวให้เด็กและพูดยิ้ม ๆ ว่า

          "ไม่ต้องดอก หนูนั่งเถอะ"

          เด็กน้อยจึงนั่งลงใหม่

          พอผ่านไปสักครู่ เด็กนักเรียนก็ลุกขึ้นอีก หญิงมีครรภ์จึงพูดขึ้นว่า

          "น้าบอกว่าไม่ต้อง น้ายืนได้ อีกไม่นานก็ลงแล้ว"

          พูดพลางเอื้อมมือกดไหล่เด็กเบา ๆ เด็กน้อยจึงนั่งลงอีกครั้งหนึ่ง

          ผ่านไปสักพัก เด็กน้อยลุกขึ้นมาอีก หญิงมีครรภ์ซาบซึ้งน้ำใจเด็กน้อยที่อุตสาห์สละที่นั่งให้

          "หนูน่ารักจริง ๆ หนูนั่งเถอะ" เธอกล่าวซ้ำ แล้วกดหัวไหล่เด็กนักเรียนให้นั่งลงอีก

          คราวนี้เด็กนักเรียนทำตาละห้อย แล้วพูดว่า

          "คุณน้าครับ ขอผมลงรถได้ไหมครับ บ้านผมเลยมาสามป้ายแล้วครับ"

          'คุณน้า' ปรารถนาดีต่อเด็กน้อย ไม่อยากให้เด็กน้อยลำบากเพราะเธอ แต่ความปรารถนาดีต่อเธอกลับสร้างปัญหาให้เด็กน้อย ความเมตตาและกรุณาบางครั้งก็อาจทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นได้ ดังนั้น ในทางพุทธศาสนา กรุณาจึงต้องมีปัญญาควบคู่ด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง

          ปัญญานอกจากจะช่วยให้เรารู้ว่า คนที่เราอยากจะช่วยนั้นเขาเดือดร้อนจริงหรือเปล่า และความทุกข์ร้อนของเขาเกิดจากอะไรแล้ว ปัญญายังอำนวยให้เราช่วยเขาได้อย่างตรงจุดตรงปัญหา รวมทั้งมีกุศโลบายในการช่วยเขาด้วย ลองมาดูตัวอย่างจากนัสรูดินก็แล้วกัน



          ขณะที่นัสรูดินกำลังเดินผ่านสระน้ำ ก็เห็นคนออกันริมฝั่งส่งเสียงดัง จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ

          "ยื่นมือมา ยื่นมือมา" เสียงจากคนริมฝั่งร้องเรียกชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังผลุบ ๆ โผล่ ๆ และสำลักน้ำอยู่ในสระนัสรูดินเห็นหน้าชายผู้นั้น ก็จำได้ว่าเป็นพ่อค้าซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความเหนียวหนึบ

          แต่ไม่ว่าจะเรียกให้ยื่นมือมาเท่าไร พ่อค้าผู้นั้นก็ไม่ยอมทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังแย่

          นัสรูดินเห็นท่าไม่ได้การ จึงยื่นมือไปหาชายผู้นั้นแล้วบอกว่า

          "คว้ามือฉันสิ คว้ามือฉันสิ"

          คราวนี้ได้ผล ชายผู้นั้นคว้ามือนัสรูดินอย่างว่าง่าย นัสรูดินจึงดึงชายผู้นั้นขึ้นฝั่งรอดตายในที่สุด

          ชาวบ้านพากันสงสัยว่านัสรูดินมีอะไรดีหรือ ชายผู้นั้นจึงยอมทำตามนัสรูดิน

          นัสรูดินตอบว่า "ก็ไม่ยากอะไร หมอนี่เป็นพ่อค้าหน้าเลือด คนแบบนี้ไม่ยอมยื่นอะไรให้ใครหรอก มีแต่จะคว้าจากคนอื่น ดังนั้นแทนที่ผมจะเรียกให้เขายื่นมือมาให้ผม ผมก็เรียกให้เขาคว้ามือผมแทน ก็เท่านั้นเอง"

          การช่วยเหลือใครนั้น นอกจากเมตตา หรือความปรารถนาดีแล้ว ยังต้องมีกุศโลบายด้วยจึงจะประสบผลสำเร็จ ความรักของพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์นั้น แม้จะยิ่งใหญ่แต่หากไม่มีปัญญากำกับ ก็อาจจะเป็นโทษต่อลูกหรือศิษย์ได้หรือบางครั้งอาจจะเป็น 'โมฆะ' เพราะไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนที่ตนต้องการช่วยเหลือ หรือไม่เข้าใจปัญหาของเขาเพียงพอ
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:30:48 AM
ตายไม่ว่า

          ยัปปี้หนุ่มขับรถพุ่งชนเสาริมถนนอย่างจัง พอเขาหลุดออกจากซากรถได้ก็ร้องเสียงหลง

          "โอ๊ย รถเบนซ์ของฉัน รถเบนซ์ของฉันพังยับเยินเลย" "ไปห่วงรถทำไมพ่อหนุ่ม" ชายแก่ที่เห็นเหตุการณ์เตือน "ห่วงแขนของคุณดีกว่า โน่น กระเด็นไปโน่นแล้ว"

          พอเหลียวมองไปเห็นท่อนแขน ยัปปี้หนุ่มก็ครางขึ้นมาทันที "โอ๊ย โรเล็กซ์ของฉัน"



          ฉากของเรื่องนี้ออกจะหวาดเสียว ถ้าคุณเป็นคนขวัญอ่อน ลืมภาพโชกเลือดไปก่อน แล้วจะพบว่า อาการของพ่อหนุ่มยัปปี้นี้สวนทางกับพุทธพจน์อย่างจัง พุทธพจน์ที่ว่าก็คือ

          "พึงสละทรัพย์เพื่ออวัยวะ สละอวัยวะเพื่อชีวิต ตลอดจนสละทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต เมื่อระลึกถึงธรรม"

          พ่อหนุ่มคนนี้แทนที่จะดีใจที่รอดชีวิต กลับเสียดายรถ และแทนที่จะเสียใจที่แขนขาด กลับเป็นห่วงนาฬิกา พูดง่าย ๆ ก็คือ เห็นนาฬิกาสำคัญกว่าอวัยวะ และเห็นรถสำคัญกว่าชีวิต

          ลัทธิบริโภคนิยมทำให้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ สับสนไขว้เขวไปหมด วัตถุและทรัพย์สินกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิต และบ่อยครั้งชีวิตก็มีคุณค่าน้อยกว่าอวัยวะด้วยซ้ำ ดังเห็นได้ว่า คนเป็นอันมากยอมเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อต่อเติมเสริมทรงให้น่าดูเท่านั้น

          ลองสำรวจชีวิตเราบ้างว่า เราให้ความสำคัญกับวัตถุ มากกว่าชีวิตและธรรมะหรือไม่ เราอาจไม่สุดโง่อย่างยัปปี้คนนี้ แต่บางครั้งเราอยากฆ่าตัวตายใช่ไหม เมื่อพบว่ากิจการล้มละลายทรัพย์สินสูญหายไปกับกองไฟ หรือกลายเป็นคนหมดเนื้อหมดตัวไป เวลามีขโมยเอามีดมาจ่อคอเรา เราเคยคิดหรือไม่ที่จะต่อสู้ขัดขืนเพื่อรักษาเงินในกระเป๋าเอาไว้ โดยไม่เห็นแก่ชีวิตเลย มีบ้างไหมที่เราตีลูกด้วยความโกรธเพราะทำข้าวของแตกหรือเสียหายไป ถ้าเคย ลองถามตัวเองว่าเรารักลูกหรือรักข้าวของมากกว่ากัน และเราคิดจะโกหกพกลมไหมเพื่อเงินจะได้ไหลมาเทมา

          ก่อนจบ ฟังอีกเรื่องเป็นของแถม เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ เหมือนกัน

          เศรษฐีขี้เหนียวคนหนึ่งถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะกำลังขโมยซาลาเปา เลยถูกตัดสินลงโทษโดยให้เลือกว่าจะยอมเสียค่าปรับ ๑,๐๐๐ บาท หรือยอมถูกเฆี่ยน ๑๐๐ ที หรือไม่ก็กินซาลาเปาให้ครบ ๑๐๐ ลูก

          แน่นอน เศรษฐีเลือกกินซาลาเปา แต่กินได้ ๕๐ ลูกก็จุก เลยขอให้โบยแทน ครั้นถูกโบยไป ๕๐ ทีก็เจ็บจนทนไม่ไหว จึงขอเสียค่าปรับดีกว่า

          พอกลับไปถึงบ้านก็เล่าให้เมียฟังอย่างหน้าชื่นตาบานว่า "พวกมันโง่น่าดูเลย โดนข้าเอาเปรียบแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ข้ายอมกินซาลาเปาไม่กี่ลูก ยอมถูกเฆี่ยนไม่กี่ที แต่ได้ถ่วงเวลาจ่ายค่าปรับนานเป็นชั่วโมงเลยละ"
 



 
 


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 08, 2010, 12:08:55 PM
อ่านเล่นเพลินๆ นะครับ    :D

ผมบริสุทธิ์ใจนำเสนอ สวัสดีครับ  ... pasta  ::014:: :VOV: :VOV: :VOV:


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:07:36 PM
+๑  ขอบคุณครับ   ;)


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: RMAY ที่ ธันวาคม 08, 2010, 09:27:21 PM
+1 ให้ น้าอัต ครับ ได้ ความฮาและ สาระ ครับ ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 09, 2010, 07:57:17 AM
+1 ครับ เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยอ่านครับ....... ::014::
อ่านเพลินเลย...ขอบคุณครับสำหรับแง่คิดดีๆ.. ::014::

ขอบคุณครับผม  ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 09, 2010, 07:58:13 AM
+๑  ขอบคุณครับ   ;)
+1 ให้ น้าอัต ครับ ได้ ความฮาและ สาระ ครับ ::014::


ขอบคุณครับผม  ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ ธันวาคม 09, 2010, 08:14:07 AM
ขันดีครับแต่ยังอ่านไม่หมด+


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 09, 2010, 08:20:38 AM
ขันดีครับแต่ยังอ่านไม่หมด+


ครับ...ขอบคุณครับผม   ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: ลุมพินี08 ที่ ธันวาคม 09, 2010, 12:58:41 PM
ขอบคุณครับ ผมอ่านรวดเดียวทั้งสามหน้า


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 09, 2010, 05:14:06 PM
ขอบคุณครับ ผมอ่านรวดเดียวทั้งสามหน้า



เยี่ยมเลยครับ  ::002::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 09, 2010, 08:31:26 PM
ขำขันที่มีสาระ ตามหัวข้อเลยครับ +1 ครับผม ::002::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 10, 2010, 02:51:56 PM
ขำขันที่มีสาระ ตามหัวข้อเลยครับ +1 ครับผม ::002::



ขอบคุณครับผม  ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ ธันวาคม 10, 2010, 08:08:12 PM
ขอบคุณครับ เยอะมากเลย +1 ครับ


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: Peerapat - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 10, 2010, 11:01:52 PM
ใ้ห้ความคิดดีๆ

+ ::002::

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: Peerapat - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 10, 2010, 11:52:55 PM
ขออนุญาตท่าน pasta ครับ  ::014::

ผมไปเจอมา อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

http://www.fringer.org/wp-content/writings/sarakun.pdf (http://www.fringer.org/wp-content/writings/sarakun.pdf)


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 11, 2010, 10:19:09 AM
ขอบคุณครับ เยอะมากเลย +1 ครับ
ใ้ห้ความคิดดีๆ

+ ::002::

ขอบคุณครับ
ขออนุญาตท่าน pasta ครับ  ::014::

ผมไปเจอมา อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

http://www.fringer.org/wp-content/writings/sarakun.pdf (http://www.fringer.org/wp-content/writings/sarakun.pdf)


ขอบคุณครับผม  ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: peedta - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 13, 2010, 09:59:41 PM
   ::002::  ขอบคุณครับ ให้แง่คิดที่ดีมากๆๆ    ::002::  ::002::
   + ให้เพื่อเป็นกำลังใจครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: สา - ร ะ - ขัน
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 14, 2010, 09:49:02 AM
   ::002::  ขอบคุณครับ ให้แง่คิดที่ดีมากๆๆ    ::002::  ::002::
   + ให้เพื่อเป็นกำลังใจครับ  ::014::


ขอบคุณครับผม  ::014::