จำคุก 1,765 ปี ตร.โรงพักดังข้อหาโกงเงินจ่าย'ค่าปรับ'วันพุธ ที่ 07 กันยายน 2554 เวลา 8:41 น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก 1,765 ปี ส.ต.อ.โรงพักดังยักยอกเงินค่าปรับครึ่งกระเป๋า แต่ตามกฎหมายให้จำคุกไว้ 50 ปี
ชี้พฤติการณ์ร้ายแรงมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัว แถมทำรัฐขาดเงินรายได้พัฒนาประเทศ และท้องถิ่น เจ้าตัวอ้างขาดประสบการณ์
วอนขอให้รอลงอาญา
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ห้องพิจารณา 715 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดี
ทุจริตยักยอกทรัพย์ที่
พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง ส.ต.อ.โกศล จอมพงศ์ อายุ 40 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายธุรการ
สน.บึงกุ่ม (ขณะนั้น) เป็นจำเลย ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ เบียดบังทรัพย์
เป็นของตนเองโดยทุจริต และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 10 ก.พ. 46-30 เม.ย. 47 ต่อเนื่องกัน จำเลยซึ่งมีหน้าที่ทำบัญชีรายรับรายจ่ายเงิน
ค่าเปรียบเทียบปรับต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก, พ.ร.บ.รถยนต์, เงินรางวัล, เงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนัน
อันเป็นรายได้ของแผ่นดินส่งเข้ารัฐ แต่จำเลยกลับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเบียดบังเงินทรัพย์รวม 353 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 504,932 บาท
ทำให้ สน.บึงกุ่ม, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงการคลัง ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 147 และ 157 สอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ
โดยคดีนี้ศาลอาญา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลย กระทำผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 รวม 353 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี
รวมจำคุก 1,765 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 882 ปี 6 เดือน แต่ตามกฎหมายให้จำคุก
จำเลยไว้ 50 ปี และให้คืนเงินจำนวน 504,932 บาทแก่รัฐด้วยทั้งนี้จำเลยอุทธรณ์ อ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดทักษะ ความรู้เรื่องการเงิน
การคลัง เพราะไม่เคยได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านธุรการการเงินมาก่อน จึงขอให้ศาลรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำนวนเงินของกลางสูงถึง 5 แสนบาทเศษ ส่งผลให้แผ่นดิน และหน่วยงาน
ท้องถิ่นขาดรายได้ที่จะนำเงินไปพัฒนาประเทศและท้องถิ่น การกระทำของจำเลยมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักไม่คำนึงถึงส่วนรวม
และผู้ร่วมปฏิบัติงาน พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น เหมาะสมกับ
พฤติการณ์ของจำเลยแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย ดังนั้นอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน.
ที่มา :
