สงสัยมาตรการนางยกได้ผลข้าราชการเริ่มต้นที่เงินเดือนไม่ต่ำกว่าหมื่นห้าคนแห่มาสมัครกันเต็ม

เดี๋ยวนี้งานรับราชการน่าทำหลายประการครับ....เพราะหลายหน่วยงาน...ไม่บรรจุเพิ่มข้าราชการมานานหลายปีแล้วครับ
แต่ที่ยังเห็นๆ คนทำงานกันอยู่บนสำนักงานของทางราชการนั้นตามปกตินั้นจริงๆแล้วไม่ใช่
ข้าราชการ ทั้งหมดนะครับ
เป็น
พนักงานราชการ / ลูกจ้างชั่วคราว /ลูกจ้างประจำ ของหน่วยงานราชการนั้นๆ เสียมากกว่าครับ
บางสำนักงานรู้ตัวเลขแล้วจะตกใจว่าจำนวน ข้าราชการจริงๆ นั้นเหลือคิดเป็นสัดส่วนน้อยมากๆต่อ
พนักงานราชการ / ลูกจ้างชั่วคราว /ลูกจ้างประจำน้อยจนน่ากลัวว่า คุณภาพการให้บริการต่อประชาชนของหลายๆหน่วยงานจะด้อยลงไปเพราะพนักงานที่มิใช่
ข้าราชการ นั้นขาดขวัญและกำลังใจ
และมีผลต่อจิตสำนึกในการให้การบริการประชาชนเพราะสวัสดิการผลตอบแทนต่างๆ ด้อยกว่า
ข้าราชการ จริงๆเยอะ เช่น เงินเดือนที่คงที่มาตลอด
บางคนอยู่มา 5ปี 10ปี ได้ค่าจ้างเท่าไหร่ก็เท่านั้นไม่ขึ้นเลย ความมั่นคงหลังเกษียณอายุก็ไม่มี
ถึงแม้
ข้าราชการแท้ๆตัวจริงผลจะตอบแทนไม่มากแต่มั่นคงแน่นอนถ้าไปเทียบกับภาคเอกชนแม้จะน้อยกว่าแต่ น้อยกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ
เสมือนว่าที่ปลายเส้นชัยทั้งสองภาคอาจไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ ภาคเอกชน เอาเงินในอนาคตทั้งหมดมาจ่ายให้คุณในวันนี้อยู่ที่คุณต้องบริหารจัดการเก็บกันเอง
เพราะเขาจ่ายมาก ไม่ระวังก็หมดจบแล้วจบกัน
แต่ภาคราชการนั้นเขาทะยอยๆจ่ายและจ่ายไปตลอดจบการทำงานแล้วก็ยังจ่ายนั่นคือเหมือนกับการบริหารจัดการเรื่องเงินให้คุณเองไปกลายๆ รักษาวินัยทางการเงินให็คุณ
ไม่ให้คุณเอาเงินในอนาคตมาจ่ายเพลินๆในวันนี้
ถ้าคิดว่าทำงานภาคเอกชนให้ผลตอบแทนมากกว่า ก็จริง แต่ไม่เสมอไปทุกคน อยู่ภาคเอกชนคุณต้องเก่งและประสพความสำเร็จให้ได้ผลตอบแทนจึงจะดีถ้าธรรมดาเงินก็พื้นๆ
ถ้าอยู่ภาคเอกชนแล้วรับเงินเดือนแบบ
พื้นๆ เทียบแล้วข้าราชการยังจะดีเสียกว่าครับ ถ้าอยากให้ดีกว่าราชการคุณต้องผันตัวเองไปเริ่มต้นทำธุระกิจเองให้ได้
ผลตอบแทนก็ตั้งแต่ ขาดทุน-เสมอตัว-กำไรนิดๆหน่อยๆ-กำไรมาก-กำไรมากกว่า-กำไรมหาศาล เป้าหมายความสำเร็จก็คงตั้งแต่ พออยู่ได้- ประสพความสำเร็จเติบโต-เติบโตด้วยตัวเองได้
มั่นคงถาวรใหญ่โต-ติดลมบนเป็นองค์กรขับเคลื่อยด้วยตัวเองได้ มีคนมีมืออาชีพมาช่วยบริหาร เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปเลย
...นั่นคือหากคุณต้องอยู่ภาคเอกชนต้องประสพความสำเร็จมากถึงจะเรียกว่าคุ้มกว่าการไปเข้าทำงานภาคราชการ