เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 07, 2025, 01:34:53 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ซื้อ-ขยบ้นมือสองต้องทำอย่างไรครับ  (อ่าน 3689 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 01:57:02 PM »


ผมประกาศขายบ้านที่อยุธยาตอนนี้มีคนมดูและตกลงราคซื้อขายกันแล้ว แต่

เขาขอสำเนาโฉนด , บ้านเลขที่ ,บัตรประชชนของผมไป ( แต่ผมยังไม่ได้ให้ ) เพื่อไปทำเรื่องกู้

คือผมสงสัยว่า

1.การซื้อ-ขายบ้านมือสองมันมีขั้นตอนอย่างไร

2.ผมต้องให้เอกสารตามข้างต้นไปเลยไหม

3.หรือต้องมีสํญญาซื้อ-ขายก่อน


บกวนขอคำแนะนำครับ ( กลัวโดนโกงเหมือนกัน )
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 02:00:58 PM »

ขอบัตรประชาชนเขาแล้วทำสัญญากันเลยครับ บัตรของผู้ขายไม่จำเป็นต้องให้ไป Grin
บันทึกการเข้า

Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 02:02:13 PM »

ขอบัตรประชาชนเขาแล้วทำสัญญากันเลยครับ บัตรของผู้ขายไม่จำเป็นต้องให้ไป Grin

อย่าไรต่อครับพี่

ผมเป็นผู้ขาย

เขาเป็นผู้ซื้อ ( ไปทำเรื่องกู้ )
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 02:24:16 PM »

ปกติผู้ซื้อจะทำสัญญากับเรา เขาก็เอาแค่สัญญากับสำเนาโฉนด ไปยื่นกู้แบงค์เอกสารผู้ขายไม่จำเป็นต้องใช้ครับ Grin
บันทึกการเข้า

Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 02:33:54 PM »

ปกติผู้ซื้อจะทำสัญญากับเรา เขาก็เอาแค่สัญญากับสำเนาโฉนด ไปยื่นกู้แบงค์เอกสารผู้ขายไม่จำเป็นต้องใช้ครับ Grin

ขอบคุณครับพี่
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 02:35:51 PM »

ปกติผู้ซื้อจะทำสัญญากับเรา เขาก็เอาแค่สัญญากับสำเนาโฉนด ไปยื่นกู้แบงค์เอกสารผู้ขายไม่จำเป็นต้องใช้ครับ Grin

ขอบคุณครับพี่
หากเขาต้องการจริงๆก็ไปธนาคารกับเขาเลครับย Grin
บันทึกการเข้า

ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15855
ออฟไลน์

กระทู้: 13569


No justice No peace


« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 03:23:10 PM »


ผมประกาศขายบ้านที่อยุธยา
ตอนนี้มีคนมดูและตกลงราคซื้อขายกันแล้ว แต่

เขาขอสำเนาโฉนด , บ้านเลขที่ ,บัตรประชชนของผมไป ( แต่ผมยังไม่ได้ให้ ) เพื่อไปทำเรื่องกู้

คือผมสงสัยว่า

1.การซื้อ-ขายบ้านมือสองมันมีขั้นตอนอย่างไร

2.ผมต้องให้เอกสารตามข้างต้นไปเลยไหม

3.หรือต้องมีสํญญาซื้อ-ขายก่อน



Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  พี่  Nattapol  อ่ะ  ฮา
ท่าทางจะได้อพยพ  ไป "เจียงใหม่"  แล้ว อ่ะ ฮา

เรื่องขายบ้าน  "เ่ก่า"   ถ้าเป็น   บ้านไม้  
ต้องไปทำหนังสือ รับรอง การซื้อ-ขาย ที่อำเภอ อ่ะ
เพื่อที่ทางอำเภอ  จะได้ออก  หนังสือรับรอง การเคลื่อนย้ายให้อ่ะ ฮา
ขั้นตอนนี้  อย่าละเลยเป็นอันขาด อ่ะ ฮา
เมื่อรับเงินเสร็จ  รีบบอกให้คนซื้อ  "รื้อถอน" ออกไปโดยด่วน อ่ะ ฮา

ถ้าเป็น  "บ้านตึก"  หรือครึ่งตึก ครึ่งไม้ 
ก็บอกคนซื้อ ให้เตรียม "ฆ้อนปอนด์" เอามาทุบ อ่ะ ฮา

ส่วน  "ที่ดิน"  ยังเป็นของ "คนขาย" เหมือนเดิมอ่ะ ฮา

ถ้าไม่เชื่อ  ก็ลองดูตัวอย่าง  เขา "พระวิเหรีย"  ดู อ่ะจิ ฮา
ประสาทเป็นของ "เอ็ง"  แต่แผ่นดินเป็นของ "กรู"  อ่ะ ฮา  ขำก๊าก

คำถามที่ถามข้อ 1-3  ยายคิดว่า "เขียน" คำถามมาผิด อ่ะ ฮา
ที่ถูกต้อง      น่าจะตั้งคำถามว่า  ........................

ถ้าจะขาย  "ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" ควรทำอย่างไรดีอ่ะ ฮา   ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2012, 03:30:11 PM โดย babara. » บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 03:28:04 PM »



Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  พี่  Nattapol  อ่ะ  ฮา
ท่าทางจะได้อพยพ  ไป "เจียงใหม่"  แล้ว อ่ะ ฮา

เรื่องขายบ้าน  "เ่ก่า"   ถ้าเป็น   บ้านไม้ 
ต้องไปทำหนังสือ รับรอง การซื้อ-ขาย ที่อำเภอ อ่ะ
เพื่อที่ทางอำเภอ  จะได้ออก  หนังสือรับรอง การเคลื่อนย้ายให้อ่ะ ฮา
ขั้นตอนนี้  อย่าละเลยเป็นอันขาด อ่ะ ฮา
เมื่อรับเงินเสร็จ  รีบบอกให้คนซื้อ  "รื้อถอน" ออกไปโดยด่วน อ่ะ ฮา
ส่วน  "ที่ดิน"  ยังเป็นของ "คนขาย" เหมือนเดิมอ่ะ ฮา

ถ้าไม่เชื่อ  ก็ลองดูตัวอย่าง  เขา "พระวิเหรีย"  ดู อ่ะจิ ฮา
ประสาทเป็นของ "เอ็ง"  แต่แผ่นดินเป็นของ "กรู"  อ่ะ ฮา  ขำก๊าก

คำถามที่ถามข้อ 1-3  ยายคิดว่า "เขียน" คำถามมาผิด อ่ะ ฮา
ที่ถูกต้อง      น่าจะตั้งคำถามว่า  ........................

ถ้าจะขาย  "ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" ควรทำอย่างไรดีอ่ะ ฮา   
ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก

ผมรีบพิมพ์นะครับยาย ( เมียรออยู่ ^_^" )
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 04:13:20 PM »

คุยกันเรื่องค่าโอนด้วยนะครับพี่ว่าใครจะออก ไหว้ ไหว้ ไหว้
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 04:16:50 PM »

สวัสดีครับ
 
มหาอุทกภัยเมื่อปี 54 ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยหลักปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เราหลายๆ คนคิดจะขายบ้านเก่าแล้วไปซื้อใหม่ บ้างก็ด้วยเหตุผลที่ว่าบ้านเดิมของตนนั้นตั้งอยู่บนทางน้ำผ่าน กลัวจะท่วมอีก บ้างก็มีเหตุผลว่าน้ำท่วมครั้งที่ผ่านมามันหนักหนาจนการซ่อมบ้านนั้นเป็นตัวเลือกที่ได้ไม่คุ้มเสีย ว่าแล้วก็ตั้งใจจะขายบ้านแล้วไปหาบ้านใหม่ให้ไกลน้ำท่วมเพื่อความสบายใจ หลายคนคาดหวังกับการขายบ้านว่าจะได้เงินมาเป็นทุนในการซื้อบ้านใหม่ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อต้องเจอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการขายบ้านเดิม เรียกว่า “ภาษีจากการขายบ้าน” ซึ่งจะทำให้เงินที่ได้จากการขายบ้านลดน้อยลงกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้มีทุนในการซื้อบ้านใหม่น้อยลง ต้องควักเนื้อตัวเองมากขึ้น ดังนั้น วันนี้เรามาดูกันสักนิดว่า “ภาษีจากการขายบ้าน” มีอะไรบ้าง
 
1. ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย
การขายบ้าน ทำให้เกิด “รายได้” ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย โดยใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษี ทั้งนี้ ผู้ขายสามารถนำจำนวนปีที่ถือครองบ้านมาคำนวณหักค่าใช่จ่ายได้ดังนี้% ส่วน เงินได้ตั้งแต่ 500,001 ถึง 1 ล้านบาท ต้องเสียภาษีในอัตรา 20% ในส่วนนี้ ขอให้จำไว้นะครับว่า หากเราเสียภาษี ณ ที่จ่ายที่สำนักงานที่ดินแล้ว ไม่จำเป็นต้องนำรายได้จากการขายบ้านไปรวมคำนวณภาษีตอนสิ้นปีอีกครับ


วิธีนับจำนวนปีถือครองนั้น ยึดหลักตามปี พ.ศ. ยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านวันที่ 1 ธันวาคม 2553 และขายวันที่ 10 มกราคม 2555 เท่ากับจำนวนปีถือครอง 3 ปี สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 77% สมมติว่าราคาขายบ้านตั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท โดยกรมที่ดินประเมินให้ 9 ล้าน เจ้าของบ้านต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่ายดังนี้


จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าการคำนวณภาษีจากการขายบ้านจะแตกต่างจากการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประเภทอื่น นั่นคือ จะไม่มีการยกเว้นภาษีเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรก เนื่องจากไม่ใช่การคำนวณเงินได้จากเงินได้สุทธิ ส่งผลให้เงินได้ 100,000 บาทแรกต้องเสียภาษี 5,000 บาท ส่วนเงินได้ตั้งแต่ 200,000 ถึง 500,000 บาท ต้องเสียภาษีที่อัตรา 10
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีประเภทนี้เป็นภาษีที่จะคิดในกรณีที่บ้านที่เราขายนั้น เราถือครองมาไม่ถึง 5 ปีครับ โดยนับตั้งแต่วันที่รับโอนบ้านมา ซึ่งภาษีธุรกิจเฉพาะนี้จะคิดอยู่ที่อัตรา 3.3% ของราคาขายจริงหรือราคาประเมิน แล้วแต่ว่าราคาไหนสูงกว่ากันก็ให้ใช้ราคานั้นคำนวณ
ตัวอย่างเช่นกรณีที่กล่าวไปในข้อแรก หากเราขายบ้านในราคา 10 ล้านบาท โดยมีราคาประเมินอยู่ที่ 9 ล้านบาท และเราถือครองบ้านหลังนั้นมา 3 ปี (น้อยกว่า 5 ปี) เราจึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 3.3% โดยคำนวณจากราคาขายจริง (เพราะราคาสูงกว่าราคาประเมิน) ดังนั้น เราจึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 330,000 บาทครับ
ทั้งนี้ นอกจากเงื่อนไขถือครองบ้านไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้ว ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติม ดังนี้ครับ
มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกินกว่า 1 ปี ที่ได้รับโดนบ้านหลังนั้นมา
ถูกเวนคืนบ้านหรือที่ดิน
ขายบ้านหรือที่ดินที่ได้มาโดยมรดก
3. อากรแสตมป์
รายรับจากการขายบ้านหรือที่ดินนั้น จะต้องเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาประเมิน ซึ่งในกรณีตัวอย่างข้างต้น ต้องเสียค่าอากรแสตมป์ 45,000 บาท (0.5 x 9,000,000) อย่างไรก็ตาม หากมีการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอยู่แล้ว จะได้รับการยกเว้นการเสียค่าอากรแสตมป์ หรือสรุปได้ว่า เมื่อเราขายบ้าน ก็จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าอากรแสตมป์อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นเองครับ
4. ค่าธรรมเนียมการโอน
อัตราค่าธรรมเนียมกาโอนของกรมที่ดิน คิดอยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน ซึ่งในกรณีตัวอย่างข้างต้น เราจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการโอน 180,000 บาท (0.2 x 9,000,000)
จะเห็นได้ว่า
จาก 4 ข้อที่กล่าวมานั้น รวมแล้วหากเราขายบ้านในราคา 10 ล้านบาท และมีราคาประเมินอยู่ที่ 9 ล้านบาท เราจะต้องจ่าย “ภาษีจากการขายบ้าน” ถึง 759,000 บาท หรือคิดเป็น 7.59% ของราคาขาย (ในกรณีต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ) หรือเสียขั้นต่ำอยู่ที่ 474,000 บาท คิดเป็น 4.74% ของราคาขาย (ในกรณีไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จึงต้องเสียค่าอากรแสตมป์) ซึ่งก็นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ
และนี่แหละครับ “ภาษีที่ควรรู้ ก่อนคิดขายบ้าน” ที่นำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นตัวช่วยให้ทุกคนตัดสินใจได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้นนะครับ ทั้งนี้ ใครมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเงิน สามารถส่งอีเมล์มาปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินของเราได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ k-weplan@kasikornbank.com ครับ หรือใครอยากอ่านสาระดีๆ ทุกเรื่องการเงิน ก็สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ www.k-weplan.com ครับ


http://www.oknation.net/blog/k-weplan/2012/05/28/entry-1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2012, 04:23:20 PM โดย ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ » บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 04:18:49 PM »

กฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน-ที่ดิน (เพียง)วางเงินจอง สัญญายังไม่เกิด : Info construction


(เพียง)วางเงินจอง สัญญายังไม่เกิด

วันนี้ผมจะแนะนำเรื่องการทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินในโครงการหมู่บ้านจัดสรร มีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นข้อมูลก่อนการเข้าทำสัญญากับโครงการ

ปกติการซื้อบ้านพร้อมที่ดินในโครงการหมู่บ้านจัดสรร มักจะมีการวางเงินมัดจำ หรือวางเงินจองไว้ก่อน แล้วนัดมาทำสัญญาจะซื้อจะขายภายหลัง

ข้อตกลงในวันทำสัญญาจองนี้ มีผลเท่ากับว่าจะต้องมีการทำสัญญาต่อกันอีกครั้งหนึ่ง ตรงนี้หละครับที่เข้าข้อกฎหมายเรื่อง สัญญายังไม่เกิดจนกว่าจะมีการทำสัญญากันอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะมีการวางเงินกันแล้วก็ตาม ฝ่ายใดไม่ตกลง ก็ไม่ถือว่าผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ทำให้ต้องระมัดระวังว่าเราจะเสียโอกาสในการซื้อนั้นหรือไม่

ป.พ.พ.มาตรา 366 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ”

คำว่า “ถ้าได้ตกลงกันว่า” ตรงนี้หมายถึงข้อตกลงที่ติดต่อกัน ไม่ว่าจะได้ทำสัญญากันแล้วหรือไม่ก็ตาม เช่นท่านผู้อ่านเดินเข้าไปในโครงการแล้วตกลงจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินสักหลังหนึ่ง แต่นำเงินมาไม่พอทำสัญญา หรือกรณีต้องมีเรื่องตรวจสอบ การขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินก่อน จะนัดมาทำสัญญากันในภายหลัง จึงต้องวางเงินจองไว้ก่อน ก็เป็นกรณีตกลงกันว่าจะต้องมาทำสัญญาเป็นหนังสือ

เมื่อยังไม่ได้ทำสัญญากัน แม้วางเงินจองไปแล้ว สัญญาจะซื้อจะขายก็ยังไม่เกิดขึ้น หากต่อมามีการผิดข้อตกลง ก็ยังไม่เรียกว่าผิดสัญญา

ถ้าตั้งใจจะซื้อบ้านไว้แล้ว คุณไปต่อราคาเขามากๆ ตอนแรกผู้ขายก็อาจตกลง แล้ววางเงินจองไว้ก่อนภายหลังมีคนอื่นให้ราคาสูงกว่า เขาก็มีสิทธิเอาไปขายคนอื่นได้นะครับ เรื่องลักษณะนี้มีคดีเกิดขึ้นแล้วหลายคดี

“คำพิพากษาฎีกาที่ 3126/2525 โจทก์(ผู้ซื้อ)จองที่ดินพร้อมตึกแถวได้ชำระเงินค่าจองและจำเลย(ผู้ขาย)ออกหลักฐานการจองให้ เงื่อนไขหลังใบจองระบุว่า จำเลยสงวนสิทธิในการพิจารณาทำสัญญาตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของจำเลย แสดงว่าโจทก์จำเลยจะต้องทำสัญญาจะซื้อขายเป็นหนังสือกันอีกเมื่อยังไม่ได้ทำสัญญากัน สัญญาจะซื้อขายทรัพย์พิพาทจึงยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยขายทรัพย์พิพาทให้โจทก์ “

เรื่องนี้มีการวางเงินจองไว้แล้ว และมีเงื่อนไขชัดเจนเลยครับว่า “สงวนสิทธิในการพิจารณาทำสัญญาตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของผู้ขาย” ก็หมายความว่ายังจะต้องทำสัญญากันอีกครั้งหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา 366 วรรคสอง เมื่อยังไม่ได้ทำสัญญาแล้ว ผู้ซื้อก็จะมาบังคับให้ผู้ขายต้องขายที่ดินพร้อมตึกแถวให้กับตนไม่ได้

ตอนวางมัดจำ หากเราไม่ต้องการให้ผู้ขายเอาไปขายให้คนอื่น ก็ควรให้ตัดข้อความนี้ออกไปเสียดีกว่า ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ควรใช้วิธีทำสัญญาจะซื้อจะขายให้เสร็จในวันนั้นเสียเลย เพื่อตัดขั้นตอนการจองนี้ออกไป

มีคดีอีกเรื่องหนึ่ง คู่สัญญาทำสัญญาวางมัดจำกันแล้วแต่มีข้อความระบุว่า จะทำสัญญากำหนดข้อตกลงทุกข้ออีกครั้งหนึ่ง ทั้งได้มีการร่างสัญญาใหม่กันแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำสัญญาใหม่ ผู้ขายเอาที่ดินไปขายต่อให้คนอื่น อย่างนี้ถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายยังไม่เกิด ผู้ซื้อจะบังคับให้ผู้ขายโอนที่ดินให้ไม่ได้

สัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์อาจทำได้ถึง 3 วิธี คือ 1) ทำเป็นสัญญาจะซื้อจะขายแบบที่เห็นโดยทั่วไป
หรือ 2) มีการวางเงินประจำไว้แล้ว (เงินมัดจำหรือเงินจอง) หรือ 3) มีการชำระหนี้บางส่วน ในสองกรณีหลัง แม้ไม่ได้ทำสัญญากันก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ และนำพยานบุคคลเข้าสืบได้ด้วย แต่ต้องไม่มีข้อความว่าจะต้องทำสัญญากันอีกครั้งตามข้อ 1 นะครับ

แต่คดีนี้ แม้วางเงินกันไว้แล้วก็ตาม แทนที่จะเกิดสัญญากันแล้วตามสองอย่างหลัง คือวางมัดจำ หรือชำระหนี้บางส่วน แต่กลับมีข้อตกลงว่ายังจะต้องทำสัญญากันอีก สัญญาจะซื้อจะขายถึงยังไม่เกิด

ผู้ขายนำที่ดินไปขายให้คนอื่น ก็แสดงว่าไม่ประสงค์จะขายให้กับผู้ซื้อตามที่ตกลงกันไว้ ผู้ซื้อก็ได้แต่จะรับเงินมัดจำคืนไปเท่านั้น แต่จะไปบังคับให้ผู้ขายต้องโอนที่ดินให้แก่ตนไม่ได้

คดีนี้ผู้ขายมีทนายความฝีมือดี รู้เงื่อนไขของ มาตรา 366 ดังกล่าว และนำมาใช้ได้ประโยชน์ เพราะในช่วงที่มีคนสนใจจะซื้อที่ดินหลายราย ทั้งเข้ามาติดต่อช่วงเดียวกันด้วยแล้ว ผู้ขายที่โลภคงหาผู้ซื้อที่ให้ราคาดีที่สุดนั่นเอง จะซื้อจะขายที่ดิน ต้องปรึกษานักกฎหมายนะครับ สวัสดี

...
สาระสำคัญ

สัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ทำได้ถึง 3 วิธี คือ
1.ทำสัญญาจะซื้อจะขาย
2.มีการวางเงินเงินมัดจำหรือเงินจอง
3. มีการชำระหนี้บางส่วน
ซึ่งสองกรณีหลัง แม้ไม่ได้ทำสัญญากันก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ และนำพยานบุคคลเข้าสืบได้ด้วย แต่ต้องไม่มีข้อความว่า “จะต้องทำสัญญากันอีกครั้ง” เหมือนแบบแรก
...
ที่มา : นิตยสารโฮมบายเออร์ไกด์
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 04:23:39 PM »

กฎหมายเอกเทศสัญญา1   
               กฎหมายเอกเทศสัญญา1  มีด้วยกัน 3 ลักษณะ  คือลักษณะสัญญาซื้อขาย  ลักษณะแลกเปลี่ยน  และลักษณะการให้
 

ลักษณะสัญญาซื้อขาย เริ่มต้นที่มาตรา453  เป็นมาตราแรกซึ่งถือว่าเป็นประตูที่จะเปิดเข้าไปแล้วเข้าไปสู่ประตูของสัญญา ว่าเป็นอย่างไร?    มีอะไรบ้าง? ในสัญญานั้น หน้าที่และความรับผิดแต่ละฝ่ายกฎหมายบัญญัติไว้เช่นไร?และผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันไว้เช่นไร?ขัดต่อกฎหมายหรือไม่อย่างไร? ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่าสัญญาซื้อขายมีหลายประเภทมาก
 

ถัดจากมาตรา 453 ก็จะมีมาตราต่างๆ เช่น  มาตรา 456, มาตรา 458 มาตรา 459,  มาตรา 460  สัญญาซื้อขายถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งกฎหมายได้จัดแบ่งเป็นประเภท
 

                ลักษณะสัญญาซื้อขาย คือสัญญาที่ผู้ขายจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย
       
      วิเคราะห์สัญญาซื้อขายจะเห็นว่ากฎหมายบัญญัติเรื่องผู้ขาย และหน้าที่ของผู้ขาย ที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่บุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อ
          การโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยสิทธิ  การถ่ายเท โอนความเป็นเจ้าของ
       ดังนั้นผู้ที่จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ต้องเป็นเจ้าของในทรัพย์นั้นก่อน หรือมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นก่อน
 

        ในกรณีนี้มาตรา 453 จึงบัญญัติหลักเฉพาะเลยว่าผู้ขาย มีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ซื้อ
          และผู้ซื้อจะต้องใช้ราคาให้แก่ผู้ขาย

          วิเคราะห์ตรงคำว่า  ”ใช้ราคา” ราคาของทรัพย์สินนั้นมีค่าในตัวเอง  และเป็นข้อตกลงระหว่างคู่สัญญากันเอง
            ราคา ในตัวบท ถึงแม้ไม่ได้ระบุว่าเป็นสิ่งใด  ผู้ซื้อต้องการกรรมสิทธิ์ และผู้ขายต้องการได้ค่าตอบแทนดังนั้นความหมายของราคา จึงตีความว่าเป็น   ”เงิน”  เท่านั้น จะเป็นทรัพย์สินอื่นไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นลักษณะ ของการแลกเปลี่ยนไป
“ เงิน ” จะเป็นเงินสด หรือเครดิตก็ได้
ลักษณะของสัญญาซื้อขาย  วัตถุประสงค์หลัก คือ การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ถ้าเปรียบเทียบกับสัญญาอื่น  เข่นสัญญาเช่า ในมาตรา 537 จะไม่มีคำว่า     ” การโอนกรรมสิทธิ์ ”
ถ้าเราสังเกต กฎหมายเอกเทศสัญญา 1 ทั้งสามลักษณะ  จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งนั้นเลยครับ
ใครเป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์  ก็คือผู้ขาย
ผู้รับโอนก็คือผู้ซื้อ
สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาที่มีค่าตอบแทน และเป็นสัญญาที่เราเรียกกันว่าสัญญาต่างตอบแทน
คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต่างมีประโยชน์ซึ่งกันและกัน     (ต่างมีหน้าที่ชำระหนี้ซึ่งกันและกัน)
การตอบแทนซึ่งกันและกัน หน้าที่ของผู้ซื้อและผู้ขาย
กรณีของผู้ขาย  ผู้ขายมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์แก่ผู้ซื้อ
               ผู้ซื้อ  ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องใช้ราคาแก่ผู้ขาย
               ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน (หรือมีหน้าที่ชำระหนี้ซึ่งกันและกัน)
                ถ้าผู้ขายเป็นลูกหนี้ ต้องส่งมอบทรัพย์สิน
                ถ้าผู้ขายเป็นเจ้าหนี้ต้องได้รับการชำระราคาแห่งทรัพย์ที่ขายไป
                ถ้าผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้ ต้องได้รับการส่งมอบทรัพย์สิน
ถ้าผู้ซื้อเป็นลูกหนี้ ก็ต้องชำระราคาให้แก่ผู้ขาย
              นอกจากนี้แล้วผู้ซื้อและผู้ขายจะบอกเลิกสัญญา หรือไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้  (การร่างสัญญาที่ตกลงกันไว้ ถ้าผู้ซื้อ หรือผู้ขายผิดสัญญา  การเลิกสัญญา เป็นเรื่องของการตกลงกันระหว่าผู้ซื้อ กับผู้ขายที่เป็นคู่สัญญา  ถ้าคู่สัญญาไม่ทำข้อตกลงกันไว้ ก็จะมีกฎหมายบัญญัติ เรื่องการเลิกสัญญาไว้)
 

            ลักษณะของสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมหลายฝ่าย ( ทบทวนกันหน่อยครับ: นิติกรรมมีหลายประเภท เช่น  นิติกรรม ฝ่ายเดียว  นิติหรรมสองฝ่าย หลายฝ่าย นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน  หรือไม่มีค่าตอบแทน หรือ ต่างตอบแทน ฯลฯ)
 
จากตัวบท ในมาตรา453 จะบัญญัติไว้เลยว่า ผู้ซื้อฝ่ายหนึ่ง ผู้ขายอีกฝ่ายหนึ่ง  และมีการแสดงเจตนาซึ่งกันและกัน
 

            ดังนั้นจะเห็นว่าสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมหลายฝ่าย หรือสองฝ่าย
 

            กรณีที่จะดูว่าสัญญาซื้อขาย เกิดขึ้นหรือยัง  ต้องดูว่าคู่สัญญาได้แสดงเจตนาที่จะผูกพันกันหรือไม่อย่างไร?
            ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดเจตนา  หรือทั้งสองฝ่ายขาดเจตนาสัญญาก็ไม่เกิด  หรือไม่มีความผูกพันนั่นเอง
            ก็มีหลายสาเหตุนะครับ  นักศึกษาที่ได้ศึกษาไปแล้วว่า สาเหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ  หรือโมฆียะ  ถ้าเป็นสัญญาซื้อขายที่ผู้ซื้อตกลงซื้อแล้ว แต่ผู้ซื้อถูกกลฉ้อฉล  หรือสำคัญผิดในคุณสมบัติทรัพย์สินนั้นก็ดี  สัญญาซื้อขายก็เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้  เช่นตกเป็น  “โมฆียะ “   ก็ต้องบอกล้างให้แล้วสัญญานั้นกลายเป็น  “โมฆะ”
 

**** สัญญาซื้อขาย คู่สัญญาต้องแสดงเจตนาอย่างสมบูรณ์
 
นอกจากนี้  เรื่อง  ”แบบของนิติกรรม” มาตราที่บัญญัติเรื่องแบบของนิติกรรม คือ มาตรา 456 วรรค แรก นั่นเอง
ซึ่งได้บัญญัติเรื่องแบบ ของการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ นั่นเอง
 
สัญญาซื้อขายถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งกฎหมายได้จัดแบ่งเป็นประเภท
        ประเภทแรก คือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เป็นอย่างไร มาตรา 458 เป็นสัญญาซึ่งกรรมสิทธิ์ได้โอนไปยังผู้ซื้อ ตั้งแต่ขณะได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน  (คู่สัญญาตกลงเสร็จสิ้นแล้ว )ไม่ต้องทำตามแบบ ( แบบที่กฎหมายบัญญัติไว้ ในรูปสัญญาซื้อขาย ก็คือทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ที่บัญญัติไว้ในมาตรา  456)
             สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด   แบ่งย่อยออกเป็น 2  กรณี    คือ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์  หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ    (บัญญัติไว้ตาม 456 ผู้ขายได้โอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ เช่นนาย  ก เป็นเจ้าของที่ดินแปลหนึ่ง ตกลงจะขายที่ดินแปลงนี้ให้กับนาย  ข.  ทั้งนาย  ก และนาย ข  ได้ตกลงกันว่าจะได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ สิ้นปีนี้    ดังนั้นในระหว่างที่ยังไม่ถึงสิ้นปีที่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์กัน เรายังไม่ถือว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด   จะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดก็ต่อเมื่อสิ้นปี  และผู้ขายคือ นาย  ก  มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ให้แก่นาย  ข แล้ว  นั่นคือความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย แล้วกลายเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้นเอง
 

                  กรณีที่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดมีการ หลีกเลี่ยงกฎหมาย   คือไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้    อาจจะเป็นผู้ซื้อ หรือผู้ขายไม่มีเจตนาทำตามกฎหมาย ในเรื่องของ ‘  แบบ’   แม้จะเห็นว่าการซื้อขายนั้นจะเป็นโมฆะก็จริง   เราพูดถึงตัวสัญญา หรือสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว   เป็นโมฆะ  คือ ไม่ผูกพัน ผู้ที่ไม่รู้กฎหมายก็จะไม่รู้ไม่เข้าใจ    ซึ่งตามความเห็นของอาจารย์คิดว่า   ไม่น่าตีความว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
 

             มาดูแต่ละกรณีนะครับ   มีการซื้อขาย  แต่ไม่มีการจดทะเบียนโอนกัน   (สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด)
                แต่กรณีที่กฎหมายกำหนด การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องทำตามแบบ  ก็ต้องทำตามที่กฎหมายกำหนด ในมาตรา456   ถ้าไม่ทำตามกฎหมายกำหนด ก็มีผลเป็นโมฆะไปเลย
          ความเป็นโมฆะ  คือ ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายคู่สัญญา แต่ละฝ่ายจะถือว่าไม่ได้ทำสัญญาตั้งแต่แรกเลย
( ดังนั้นเมื่อผลตามกฎหมายดังกล่าว  จะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดได้อย่างไร?)
อีกตัวอย่าง หนึ่งนะครับ
นักศึกษาจะซื้อนาฬิกาของอาจารย์ อาจารย์ก็ยินดีขายให้ในราคา 1,000บาท เมื่ออาจารย์ตกลงจะขายให้กับนักศึกษาแล้ว และนักศึกษาตกลงจะซื้อแล้ว  (นี่คือความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแล้ว กรรมสิทธิ์ตกไปยังนักศึกษาแล้ว  คือการโอนกรรมสิทธิ์)
****** นักศึกษาอย่าไปวิเคราะห์ตรง การส่งมอบ , ใช้ราคา เพราะมาตรา 458 บัญญัติว่า กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่คู่สัญญาได้ทำการตกลงซื้อขายกัน (เพียงแต่อาจารย์ต้องถอดนาฬิกาให้นักศึกษาไปเท่านั้น)
                อีกประเภทหนึ่งก็คือสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไข  ‘ในการโอนกรรมสิทธิ์ เท่านั้น’ ไม่ใช่เงื่อนไขอย่างอื่นนะครับ
 

             ในมาตรา 459 ซึ่งได้บัญญัติไว้ จริงๆแล้วก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอีกประการหนึ่ง แต่กรรมสิทธิ์ ยังไม่โอนไปจนกว่าให้เป็นไปตามเงื่อนไขนั้น
             เงื่อนไขตามมาตรา 183 เป็นอย่างไร   ลองทบทวนนะครับ:  เงื่อนไขก็มีเงื่อนไขบังคับก่อน กับเงื่อนไขบังคับหลัง
 

หลักเกณฑ์ของเงื่อนไขคืออะไร?
 
               หลักเกณฑ์ของเงื่อนไขก็คือ เหตุการณ์ที่คู่สัญญาตกลงกัน  เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตแล้วนิติกรรมจะมี ผล จะสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขยังคับก่อนหรือบังคับหลัง
แต่เงื่อนไขนี้ เป็นเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่เงื่อนอื่นๆนะครับ ดังนั้นเราจะเอาเงื่อนไขบังคับก่อนบังคับหลังมาใช้ ไม่ได้ ต้องนึกถึงเรื่องเงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์นะครับ  เช่น อาจารย์ต้องการขายรถยนต์ให้นักศึกษา  และอาจารย์จะโอนกรรมสิทธิ์ให้ก็ต่อเมื่อนักศึกษาชำระราคาครบแล้ว  (เงื่อนไขในที่นี้ ก็คือการโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่อาจารย์จะโอนให้นักศึกษา   แต่นักศึกษาต้องชำระราคารถยนต์ให้อาจารย์ครบแล้ว)
 
ถ้านักศึกษาชำระราคารถยนต์ที่ซื้อจากอาจารย์ครบแล้ว อาจารย์จะส่งมอบ  อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีเงื่อนไขนะครับ (อย่าไปตีความหมายของสัญญา จะซื้อจะขายนะครับ มันเป็นคนละกรณีนะครับ)
 

ข้อสังเกตของมาตรา 459  เงื่อนไข ก็ดี เงื่อนเวลาก็ดีที่จะเป็นสัญญาซื้อขายก็ดี ต้องเป็นเงื่อนไขของการโอนกรรมสิทธิ์ หรือเงื่อนเวลาต้องโอนกรรมสิทธิ์  เนื่องจากมีการประวิงเวลาหรือประวิงการโอนกรรมสิทธิ์ให้มันช้า
 

ดังนั้นการมีเงื่อนไข จะมีในสังหาริมทรัพย์ธรรมดา  เพราะถ้าเป็น อสังหาริมทรัพย์ หรือ สังหาริมทรัพย์พิเศษต้องทำตาม มาตรา 456 วรรคแรกอยู่แล้ว กรรมสิทธิ์จะโอนก็ต่อเมื่อ ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
 

ประเภทของทรัพย์สินที่ซื้อขาย    สัญญาจะซื้อจะขายมีเฉพาะการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์พิเศษ  เท่านั้นและต้องทำตามแบบมาตรา 456 วรรคแรก  (แบบของสัญญาซื้อขาย) เป็นบ่อเกิดแห่งสัญญาจะซื้อจะขายอย่างหนึ่ง เพราะสัญญาจะซื้อจะขาย ก็คือ คู่สัญญาตกลงกันในชั้นแรกว่าจะทำสัญญากัน  แต่กรรมสิทธิ์จะโอนไป นั้น คู่สัญญาต้องไปทำตามแบบในภายหลัง
 

 ทำตามแบบ ก็คือ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 456 วรรคแรก ซึ่งถ้าทำแล้ว กรรมสิทธิ์ก็จะโอนไปยังผู้ซื้อแล้ว นี่คือสัญญาจะซื้อจะขาย(เรียกอีกอย่างว่า สัญญาจะซื้อขาย)ผู้ซื้อ ผู้ขายตกลงทำสัญญาซื้อขายกันก่อน เพราะเป็นหลักฐานหนึ่งซึ่งนำไปสู่สัญญาซื้อขายสมบูรณ์ ในกรณีมีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ ไปยังผู้ซื้อนั่นเอง
ดังนั้นสัญญาจะซื้อจะขาย กรรมสิทธิ์ไมโอนไปทันทีเหมือนสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
 

สรุปสาระสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขาย
มีการตกลงกันระหว่าผู้ซื้อและผู้ขาย
กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อในขณะนั้นเพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดตามมาตรา456 วรรคแรก
ผู้ขายมีสัญญากับผู้ซื้อว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ในภายหลัง ไม่ใช่ขณะทำสัญญา
ผู้จะขายไม่จำเป็นต้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายก็ได้ แต่การโอนกรรมสิทธิ์ผู้ขายต้องมีกรรมสิทธิ์(ช่วงจดทะเบียนโอนผู้ขายต้องเป็นเจ้าของหรือมีกรรมสิทธิ์  มิฉะนั้นแล้วจะโอนให้กับผู้ซื้อไม่ได้  แล้วก็จะเข้าบทบัญญัติที่ว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  ตราบใดที่ผู้โอนไม่มีกรรมสิทธิ์  ผู้รับโอนก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เช่นกัน)
5 สัญญาจะซื้อจะขายมีได้เฉพาะอสังหาริมทรัพย์ หรือ สังหาริมทรัพย์พิเศษเท่านั้นและต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดนะครับ
 
วันนี้ขอให้นักศึกษา และผู้สนใจ   คงต้องทบทวนและทำความเข้าใจนะครับ คราวหน้าเรามาพูดเรื่องสัญญาอย่างอื่นต่อไปครับ

http://www.gotoknow.org/blogs/posts/431898
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 04:26:24 PM »

ขอทราบขั้นตอนการขายบ้านเก่า
http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2010/04/R9092551/R9092551.html
http://www.pantip.com/cafe/home/topic/R12391263/R12391263.html

กู้เงินซื้อบ้าน มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
 
         การขอกู้เงินกับสถาบันการเงินเริ่มจากติดต่อกับฝ่ายสินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อเคหะของธนาคาร เพื่อแสดงความจำนงขอกู้ พร้อมทั้งนำหลักฐานยื่นประกอบการขอกู้โดยครบถ้วน ซึ่งหากในวันยื่นกู้เอกสารหลักฐานยื่นประกอบการขอกู้โดยครบถ้วน ซึ่งหากในวันยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ไม่ครบจะทำให้ผู้กู้ต้องนำเอกสารมาให้หรือมายื่นกู้ใหม่ในภายหลังและอาจทำให้การวิเคราะห์อนุมัติล่าช้าออกไป หลังจากยื่นกู้แล้วจะต้องชำระค่าธรรมเนียมในการประเมินราคาหลักประกัน
 
            เมื่อยื่นกู้แล้ว ธนาคารหรือสถาบันการเงินจส่งเจ้าหน้าที่สำรวจและประเมินราคาบ้านและที่ดินที่จะนำมาจำนองเป็นหลักประกันโดยทั้วไปใช้แวลาประมาณ 2-7 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงิน
            ธนาคารและสถาบันการเงินจะพิจารณาคำขอกู้โดยจะทำการวิเคราะห์รายได้ ฐานะทางการเงิน ความสามารถในการผ่อนชำระ และหลักประกันของผู้กู้รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ และจะแจ้งผลการขอกู้ให้ผู้กู้ทราบ โดยปกติทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงิน
            เมื่อได้รับอนุมัติกู้แล้ว ผู้กู้จะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อมาลงนามในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง พร้อมทั้งนัดวันไปทำนิติกรรมจำนองที่สำนักงานที่ดิน
            ในวันโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองที่สำนักงานที่ดิน ผู้กู้ ผู้ขาย และเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินจะไปพร้อมกันที่สำนักงานที่ดินที่หลักทรัพย์ดั้งอยู่ ทั้งนี้ผู้กู้จะต้องเตรียมเงินเป็นค่าจดทะเบียนจำนองตามปกติร้อยละ 1 ของวงเงินกู้และจะต้องชำระค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิมธิ์ตามปกติร้อยละ 2 ของราคาประเมินของกรมที่ดิน ซึ้งโดยทั่วไปผู้ขายมักจะเป็นผู้จ่ายเว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น
            เมื่อทุกขั้นตอนเรียบร้อยเจ้าหน้าที่จะจ่ายเงินกู้ให้ผู้กู้เป็นแคชเชียร์เช็ค เพื่อให้ผู้กู้จ่ายเงินคงเหลือให้กับเจ้าของโครงการ หรือผู้ขาย   ต่อไปเมื่อผู้กู้ได้รับเงินกู้แล้ว ผู้กู้ก็จะต้องมีภาระในการผ่อนชำระงวดทุกเดือนภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญา
 
      ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับการขอสินเขื่อ
 
1.ค่าธรรมเนียมในการยื่นขอสินเชื่อ
2.ค่าประเมินมูลค่าหลักประกัน
3.ค่าธรรมเนียมจำนองของสำนักงานที่ดิน
4.ค่าประกันอัคคีภัย
5.ค่าอากรแสตมป
6.ค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนจำนองก่อนกำหนด
 
ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอน
มาตราการอสังหามีออกมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ รายละเอียดดังนี้

ค่าธรรมเนียมโอน 2% เหลือ 0.01%
ค่าจดจำนอง 1%  เหลือ 0.01%
ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% เหลือ 0.1% คิดจากการถือครอง เกณฑ์ราคาประเมินของสินทรัพย์
มีผลตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.51 และสิ้นสุด 28 มี.ค.52 มาตรการนี้รวมบ้านมือสองด้วย และไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการ/บ้านที่ได้รับการอนุญาตจัดสรรถูกต้องเท่าน้น หากขายบ้านมือสองในโครงการที่ไม่ได้รับอนุญาตจัดสรร ก็ยังถือว่าเข้าข่าย ส่วนภาษีรายได้หัก ณที่จ่ายจากการขาย ก็คิดอัตราก้าวหน้า หากถือครอง 1 ปี ให้หักออก 97% มูลค่าในส่วนที่เหลือ คิดอัตรา 3% ค่ะ

เช่นบ้านราคา 1 ล้านบาท ถือครองมา 1 ปี แม้โอนไปเมื่อกลางปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันไม่ถึง 1 ปีก็ถือว่า 1 ปี บ้าน 1 ล้านบาท ถือครอง 1 ปี ได้ลด 97% เหลือ 30,000 คิดภาษีรายได้ 3% จาก 30,000บาท เท่ากับภาษีหัก ณ ที่จ่าย 900 บาท

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2012, 04:33:56 PM โดย ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ » บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 04:26:53 PM »

ระวังกลโกงที่ดิน
กลโกงที่ดินและวิธีป้องกัน
            การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ประเภท ที่ดิน และ บ้าน เป็นธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงมาก จึงมักมีปัญหาทุจริตหลอกลวงเกิดขึ้นเสมอ จนเป็นเหตุให้ผู้ซื้อและผู้ขายที่เป็นสุจริตชนจำเป็นต้องสูญเสียเงินทองไปอย่างไม่น่าเกิดขึ้น
            ในแง่การลงทุนแล้วถือว่าเป็นความเสี่ยงลักษณะหนึ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะในทางปฏิบัติแล้วเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนที่เราพบปะ ติดต่อพูดคุย หรือทำธุรกรรมที่ดินด้วย จะเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่ แต่แม้กระนั้นก็ตาม เรายังคงมีหนทางในการสร้างเกราะชั้นดีในการป้องกันตัวเองจากเหล่าทุจริตชนเหล่านี้ได้ง่าย
กลโกงที่ดิน
            สำหรับกลโกงที่ดินที่เกิดขึ้นในบ้านเรา เป็นประจำถ้าสรุปกันออกมา คงหนีไม่พ้นกลโกงยอดนิยม 12 รูปแบบด้วยกันดังต่อไปนี้
            1. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินนำโฉนดของตนไปประกันเงินกู้กับผู้อื่นโดยไม่ได้จดทะเบียน แล้วแอบมาขอรับใบโฉนดที่ดินสูญหายไป เมื่อได้รับใบแทนใบแทนโฉนดแล้วก็นำไปจดทะเบียนขาย ขายฝาก หรือจำนองผู้อื่นต่อไป ทำให้เกิดปัญหาเจ้าของเงินต้องฟ้องศาลให้เพิกถอนใบแทนเพื่อให้โฉนดเดิมมีผลต่อไป ส่วนผู้ซื้อที่ดินหรือผู้รับจำนองใบแทนโฉนดซึ่งผู้เพิกถอนก็ฟ้องร้องไล่เบี้ยเอาจากเจ้าของที่ดินอีกที
            2. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทำสัญญาซื้อขายที่ดินรับเงินไปแล้วบางส่วนหรือทั้งหมด ให้ผู้อื่นครอบครองที่ดินก่อนแล้วแล้วจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ภายหลัง ต่อมาผู้ถือกรรมสิทธิ์นำโฉนดไปจดทะเบียนให้แก่ผู้อื่นอีก
            3. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินหลอกลวงผู้ซื้อโดยการชี้ที่ดินขายให้ผิดกับความจริง เช่น สภาพที่ดินอยู่ไกลถนน ไกลแม่น้ำ หรือสภาพที่ดินเป็นถนน หรือถูกน้ำเซาะพังหายไป หรือจำนวนที่ดินไม่ครบ เวลาพาผู้ซื้อไปดูที่ดินจะชี้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ใกล้ถนนหรือไกลน้ำบางครั้งถึงกับลงทุนขุดย้ายหลักเขตที่ดินโดยนำหลักเขตที่มีเลขหมายตรงกับโฉนดมาปักไว้แทนก็มี
            4. ผู้ถือกรรมสิทธิ์แบ่งขายที่ดินเป็นแปลง ๆ  ด้วยวิธีผ่อนชำระ จะมีการนัดจดทะเบียนโอนกันเมื่อชำระเงินหมดแล้ว
            5. ผู้ทุจริตอ้างตัวเป็นเจ้าของโครงการ โดยแอบอ้างเอาที่ดินของคนอื่นมาปักป้ายประกาศสร้างโครงการบ้านจัดสรร เปิดสำนักงานชั่วคราว ลงทุนพิมพ์โฆษณาเปิดให้จองบ้าน โดยให้ผู้จองวางมัดจำหรือจ่ายเงินดาวน์จากนั้นก็เชิดเงินหนีหายไป โดยไม่มีการทำโครงการแต่อย่างใด
 
            6. ผู้ทุจริตเป็นเจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรรแต่ไม่ทำตามที่ประกาศและโฆษณาไว้ เช่น โฆษณาว่าจะตัดถนนให้ สร้างสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น ฯลฯ แต่ต่อมาพอสร้างเรียบร้อยแล้ว ก็นำสิ่งต่าง ๆ นั้นไปแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว เช่น ให้บุคคลอื่นเช่าเป็นตลาดหรือบางครั้งนำที่ดินดังกล่าวไปจำนอง
            7. ผู้ทุจริตหลอกลวงหรือลักเอาโฉนดที่ดินของผู้อื่นมาแก้ไขชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ให้เป็นชื่อของตน แล้วนำไปประกันเงินกู้หรือทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้อื่น การทุจริตหลอกลวงรูปแบบนี้ ผู้ทุจริตจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่จะติดต่อหาเงินจากบุคคลภายนอกโดยทำสัญญากู้กันเอง หรือทำสัญญาจะซื้อจะขายรับเงินมัดจำไว้ล่วงหน้า เมื่อได้เงินแล้วก็หายตัวไปเลย
            8. ผู้ทุจริตหลอกลวงหรือลักเอาโฉนดที่ดินของผู้อื่นมาแล้วทำใบมอบอำนาจปลอมชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ขายให้ผู้อื่นไป หรือทำทีขอยืมโฉนดจากเจ้าของที่ดินเพื่อไปดูเพื่อช่วยหาผู้ซื้อ หรือขอไปตรวจที่สำนักงานที่ดิน เสร็จแล้วทำโฉนดปลอมคืนให้เจ้าของที่ดินไป
            9. ผู้ทุจริตหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินและใบมอบอำนาจของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ลงชื่อไว้โดยมิได้กรอกข้อความใด ๆ โดยผู้ถือกรรมสิทธิ์ตั้งใจมอบอำนาจให้จำนองหรือขอสอบเขตที่ดิน แต่ผู้รับมอบอำนาจทุจริตนำมากรอกข้อความให้เป็นเรื่องจดทะเบียนขายหรือขายฝาก
            10. ผู้ทุจริตหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินของผู้อื่นมาแล้วปลอมตัวว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินมาขอจดทะเบียนขาย โดยปลอมลายเซ็นและปลอมบัตรประชาชน เมื่อมาติดต่อขอจดทะเบียนขายที่ดินพนักงานเจ้าหน้าที่เรียกดูบัตรประชาชนก็ปรากฎว่าชื่อเป็นเจ้าของที่ดินจริง ลายเซ็นในสารบบเรื่องเหมือนเดิม จึงยอมจดทะเบียนให้ไป ปัญหารูปแบบนี้มักเกิดขึ้นในหมู่คนใกล้ชิดกันเป็นสำคัญ โดยเจ้าของโฉนดให้ไปพร้อมกับบัตรประชาชน
            11. ผู้ทุจริตกระทำตนเป็นนายหน้าวิ่งเต้นขายที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดิน โดยขอค่านายหน้าแล้วหลอกให้เจ้าของที่ดินเซ็นสัญญามัดจำผูกมัดให้โอนที่ดินให้ก่อน โดยชำระเงินแต่บางส่วน ที่เหลือจะชำระภายหลังจากนั้นจะสมคบกับผู้ซื้อ ผู้รับจำนอง หรือผู้รับซื้อฝากจดทะเบียนที่ดินนั้นต่อไปโดยไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือให้
            12. ผู้ซื้อไม่ยอมชำระเงินให้ครบถ้วนเมื่อได้รับการโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว หรือนำที่ดินดังกล่าวที่มีการตกลงจะซื้อจะขายกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปขายให้บุคคลอื่น โดยที่ตนได้รับส่วนกำไรจากการขาย
 
วิธีป้องกันการถูกหลอกลวงเกี่ยวกับที่ดิน
            สำหรับแนวทางและวิธีการป้องกันทุจริตหลอกลวงเกี่ยวกับที่ดิน เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่อไป ประกอบด้วยแนวทางต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
            1. ต้องเก็บรักษาโฉนดไว้ในที่ปลอดภัยอย่าให้สูญหาย ทั้งนี้โฉนดที่ดินหรือ น.ส. 3 เกิดสูญหายขึ้นมาต้องรีบแจ้งความโดยด่วน และไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนให้ใหม่ทันที
            2. อย่าทำสัญญากู้เงินเองโดยรับมอบโฉนดไว้เป็นประกันเป็นอันขาด เพราะอาจเป็นโฉนดปลอมหรือโฉนดที่ถูกหลอกลวงมา หลักปฏิบัติที่ถูกต้องควรนำโฉนดไปขอตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินก่อนเมื่อแน่ใจแล้วให้ขอจดทะเบียนรับจำนอง หรือรับซื้อฝากต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
            3. อย่าหลงเชื่อมอบโฉนดของท่านให้ผู้อื่นถ้าจำเป็นจริง ๆ ควรมอบให้เฉพาะกับบุคคลที่เชื่อถือได้เท่านั้น และขอให้หลีกเลี่ยง
การมอบโฉนดให้คนอื่นไปพร้อม ๆ กับบัตรประชาชน
            4. อย่าเซ็นชื่อลงในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่กรอกข้อความเป็นอันขาด ทั้งนี้บุคคลผูรับมอบอำนาจจะต้องเป็นบุคคลที่ไว้ใจได้ และการมอบอำนาจทุกครั้งต้องระบุให้ขัดเจน เช่น จะขายก็ว่าขาย จะจำนองก็ว่าจำนอง และต้องลงรายละเอียดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน จึงจะเซ็นมอบอำนาจให้ผู้ใดไป
            5. ก่อนซื้อ รับจำนอง หรือรับซื้อฝากที่ดิน ควรไปตรวจสอบที่ดินด้วยตนเองให้แน่นอนก่อนว่าที่ดินอยู่ที่ใหน สภาพเป็นอย่างไร ราคาพอสมควรหรือไม่ นอกจากนั้นควรไปขอตรวจสอบหลัดฐานที่สำนักงานที่ดินด้วย ทั้งนี้ถ้าเป็นไปได้ก่อนจะซื้อขายที่ดินควรจะทำการรังวัดเสียก่อน
            6. การซื้อที่ดินทุกครั้ง เมื่อได้ชำระเงินแล้วต้องโอนลงชื่อผู้ซื้อทันที อย่าไปหลงเชื่อผู้ขาย
            7. กรณีท่านเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตามเมื่อไม่ได้รับเงินค่าที่ดินทั้งหมด ห้ามโอนที่ดินให้ใครเป็นอันอันขาด เว้นแต่กรณีมีหลักประกันที่สมบูรณ์ก่อนการโอน เช่น ผู้ซื้อได้มอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยมีธนาคารเป็นผู้อาวัล จึงจะโอนให้ผู้ซื้อไปได้
           
8. หมั่นตรวจสอบที่ดินของตัวเองทั้งทางทะเบียนและสภาพของดินอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งแม้จะไม่มีการทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินก็ตามเพื่อเช็คว่าที่ดินของท่านยังอยู่ปกติหรือไม่ มีใครมาบุกรุกหรือเปล่า และหลักฐานถูกต้องตามต้นฉบับสำนักงานที่ดินหรือไม่
            9. อย่าหลงเชื่อนายหน้าให้มากนัก เนื่องจากนายหน้าบางรายหวังผลประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ความเสียหายจึงเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทางที่ดีควรติดต่อกับเจ้าของที่ดินหรือผู้จะซื้อบ้าง ไม่ใช่ให้ผ่านนายหน้าทุกอย่าง
            10. การซื้อที่ดินให้ซื้อจากผู้ที่ไว้วามใจได้เท่านั้นถ้าเป็นผู้ประกอบการให้ซื้อกับผู้ที่ได้รับอนุญาตจัดสรรแล้ว
            11. ทำนิติกรรมเกี่ยงกับที่ดินทุกครั้งจะต้องมาจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดิน จึงจะชอบด้วยกฎหมายทั้งนี้การรับโฉนดไว้เป็นประกันเงินกู้โดยไม่ได้จดทะเบียนมีค่าไม่ต่างอะไรกับการเก็บเศษกระดาษไว้เท่านั้น
            12. อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาหรือนายหน้าที่มาชักจูง ควรตรวจที่ตั้งที่ดินด้วยตนเอง เช่น อยู่ไกล้ไกลถนน และสภาพที่ดินเป็นอย่างไรก่อนซื้อ
 
อนุชา กุลวิสุทธิ์ : ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แบบมืออาชีพ
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2012, 04:29:13 PM »

ภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์

บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรได้บัญญัติเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ไว้เป็นพิเศษในหลายมาตรา การพิจารณาถึงภาระภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบการ ที่เป็นบุคคลธรรมดาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจในความหมายต่างๆ ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ถี่ถ้วนก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาบทนิยามต่างๆ ที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ อันจะทำให้เกิดความเข้าใจในบทกฎหมายได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาพบว่าประมวลรัษฎากรได้กำหนดนิยามของคำว่าขายไว้เป็นพิเศษแตกต่างไปจากความหมายที่คุ้นเคยกันทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ให้คำนิยามคำว่าขายไว้ว่าให้หมายความรวมถึง ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้ โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าด้วยวิธีใด และไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ แต่ไม่รวมถึง (1) ขาย แลกเปลี่ยน ให้ หรือโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และราคาหรือมูลค่าตามที่กำหนดโดยพระราช-กฤษฎีกา และ (2) การโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท ซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ในมาตราเดียวกันก็ มีการกำหนดนิยามคำว่าราคาขายไว้เป็นพิเศษ ว่าให้หมายความรวมถึงราคาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดตามมาตรา 49 ทวิ

เงินได้พึงประเมินที่เกิดจากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(Cool แห่งประมวลรัษฎากร1 ซึ่งในการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นผู้ขายจะต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50(5) แห่งประมวลรัษฎากร2 ในการคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ผู้มีเงินได้จะถูกหักภาษีโดยใช้ราคาขายตามที่บัญญัติในมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรเป็นฐานภาษี กล่าวคือใช้ราคาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดโดยถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอน โดยไม่คำนึงถึงราคาที่มีการซื้อขายกันจริงหรือราคาตลาดว่าจะมีจำนวนที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาประเมิน แล้วคำนวณหักค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนดในพระ-ราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจาก เงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ 165) พ.ศ. 2529 ซึ่งอัตราค่าใช้จ่ายนั้นจะมีจำนวนน้อยลงตามสัดส่วนจำนวนปีที่ ถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่ขายนั้น ดังนี้

ภายหลังจากการหักค่าใช้จ่ายเหลือเป็น เงินได้สุทธิแล้ว จะต้องนำเงินได้สุทธินั้นมาหารด้วยจำนวนปีที่ถือครองได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องหักไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50(5) แห่งประมวลรัษฎากร

มีข้อพึงระวังเกี่ยวกับการนับจำนวนปีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ว่าในการนับจำนวนปีที่ถือครองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการขายอสังหาริมทรัพย์นั้น มาตรา 48 วรรคท้าย แห่งประมวลรัษฎากร ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึงจำนวนปีนับตั้งแต่ ปีที่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ถึงปีที่โอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าเกินสิบปี ให้นับเพียงสิบปี และเศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี ซึ่งอาจกล่าวง่ายๆ ได้ว่าให้นับตามปีปฏิทิน เช่น ซื้อที่ดินมาวันที่ 29 ธันวาคม 2551 ขายไปวันที่ 3 มกราคม 2552 เช่นนี้ การนับจำนวนปีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ให้ถือว่าได้ถือครองมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี เป็นต้น

หากจะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาเขียนเป็นแผนภาพง่ายๆ จะสามารถแสดงแผนภาพ ได้ดังนี้

ตัวอย่าง การคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีบุคคลธรรมดาขายอสังหาริมทรัพย์

นายแดง ประกอบธุรกิจซื้อขายบ้านจัดสรร ได้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินหลังหนึ่งมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2550 ในราคา 1,500,000 บาท ต่อมาในวันที่ 12 ธันวาคม 2551 นายแดงได้ขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวไปในราคา 2,000,000 บาท โดยเจ้าพนักงานได้ประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวจำนวน 1,200,000 บาท กรณีนี้ สามารถคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ดังนี้

ในกรณีที่ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหา- ริมทรัพย์ได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไปแล้ว ผู้มีเงินได้จะต้องนำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวนั้นไปรวมกับเงินได้อื่นเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี หรือภาษีเงินได้สิ้นปีด้วย ไม่สามารถเลือกเสียภาษีต่างหากจากเงินได้อื่นได้ เพราะสิทธิในการเลือกเสียภาษีสำหรับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์โดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นๆ นั้น มาตรา 48(4) แห่งประมวลรัษฎากร3 ได้จำกัดไว้แต่เฉพาะเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรือเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรเท่านั้น


การยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรือเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรนั้น ผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีต่างหากจากเงินได้อื่นได้ ดังนั้น กรณีที่เป็นเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ผู้มีเงินได้จะถูกบังคับว่าจะต้องนำเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นไปรวมกับเงินได้อื่นๆ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้ประจำปีเสมอ โดยจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป โดยในการคำนวณ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ผู้มีเงินได้จะต้องใช้ราคาขายตามที่บัญญัติในมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรเป็นฐานภาษีเช่นเดียวกันกับกรณีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กล่าวคือจะต้องใช้ราคาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดโดย ถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ใน วันที่มีการโอน แม้ว่าจะมีราคาซื้อขายกันจริงเป็นจำนวนเท่าใดก็ตามก็ไม่อาจนำมาถือเป็นฐานภาษีในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้

สำหรับการคำนวณหักค่าใช้จ่ายนั้น เนื่องจากเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(Cool แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น จึงสามารถหักค่าใช้จ่ายตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ได้ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากรายการที่กำหนดในพระ-ราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) แล้วไม่พบว่ามีการกำหนดให้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรสามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ และไม่สามารถคำนวณหักค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ 165) พ.ศ.2529 ดังเช่นที่เคยใช้คำนวณในการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายได้ เพราะมาตรา 48(4) แห่งประมวลรัษฎากรมิได้ให้สิทธิดังกล่าวไว้ ดังนั้น จึงต้องคำนวณหักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควรได้เพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาให้รอบคอบแล้วจะพบว่า กรณีการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายไว้เพื่อประโยชน์ในการเสียภาษีด้วยแล้ว ดังนั้น เมื่อต้องคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ย่อมสามารถนำต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมดมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็น ต้นทุนเกี่ยวกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์มา ซึ่งโดยปกติจะมีการซื้อขายกันในราคาตลาดซึ่งสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงาน จะเป็นผลทำให้รายจ่ายในการคำนวณเงินได้สุทธิมีจำนวนที่ มากกว่าเงินได้พึงประเมิน อันเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยังจะได้รับคืนภาษีเงินได้ที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายด้วย จะแสดงให้เห็นว่า จากกรณีตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น นายแดงจะต้องคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีดังนี้

จากกรณีตัวอย่างจะเห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการค้าอสังหา- ริมทรัพย์ในรูปของบุคคลธรรมดาจะได้รับคืนภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายเสมอในกรณีที่มีต้นทุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์มาในราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน ซึ่งผู้มีเงินได้นั้น มีสิทธิร้องขอคืนเงินภาษีส่วนที่ถูกหักเกินไปนั้นได้แต่ต้องยื่นคำร้อง ต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีที่ถูกหักภาษีเกินไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.142 วินาที กับ 20 คำสั่ง