โพสของท่าน dignitua ทำให้นึกถึงบทความ "ยุวชนทหารปัตตานีคนสุดท้าย .. ตำนานสามัคคี"
เวลา 03.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2484
ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดปัตตานี
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า นายยุนุ (ไม่ทราบนามสกุล) ชาวบ้านรูสะมิแล เป็นคนแรกที่เห็นทหารญี่ปุ่นก้าวเท้ารุกรานแผ่นดินไทย หลังจากนั้นจึงรีบวิ่งไปแจ้งข่าวต่อนายละมุน เจริญอักษร ปลัดอำเภอเมืองปัตตานี ซึ่งส่งข่าวต่อไปยัง น.อ.หลวงสุนาวิวัฒน์ (กิมเหลียง สุนาวิน) ผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยนั้น ประสานงานกับตำรวจ ทหาร พลเรือน ยุวชนทหาร
ยามอริราชศัตรูรุกราน เลือดไทยยอมพลีใครมีปืนหยิบปืน ใครมีมีดหยิบมีด ประธาน เลขะกุล เจ้าของร้านปืนกุ้นเซียะบราเดอร์ และสมเกียรติ เวียงอุโฆษ สองเจ้าของร้านปืนในปัตตานี เอาปืนและกระสุนที่มีทั้งหมดในร้าน ให้กำลังฝ่ายไทยไปสู้กับทหารญี่ปุ่น
พ.ต.ขุนอิงคยุทธบริหาร ผบ.พัน กองพันทหารราบที่ 42 กรมผสมที่ 5 ซึ่งนำกำลังทหารเข้าสู้ ถูกซุ่มยิงด้วยปืนกลบริเวณสะพานเดชานุชิต จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต ถึงวันนี้ผู้คนยังเล่าขานว่า แม้ถูกยิงแต่ พ.ต.ขุนอิงคยุทธบริหาร ก็ยังตะโกนให้ทหารสู้ต่อไป
วีรบุรุษผู้กล้า 40 ชีวิต พลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดิน

24 กันยายน 2550
ลมหายใจสุดท้ายของ ยุวชนทหาร 'สนั่น อาลีอิสเฮาะ' ออกจากร่าง
ย้อนไปไม่ถึงเดือน สนั่น อาลีอิสเฮาะ กับ เนียน ศรีสุวรรณ ยุวชนทหารชาวไทยพุทธ ซึ่งเป็นเพื่อนกอดคอกันมาในวัยเด็ก และเป็นสหายร่วมรบ กับกองกำลังทหารญี่ปุ่น เมื่อ 66 ปีที่แล้ว พยายามทำภารกิจเพื่อมาตุภูมิอีกครั้ง ด้วยการฟื้นวีรกรรมของยุวชนทหารจังหวัดปัตตานี มาเล่าขานกับผู้คนว่า "อดีต บรรพบุรุษเราร่วมรักษาผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ปัจจุบันเรายังคงร่วมกันสร้างความสามัคคี"
แต่ความมุ่งหวังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว สนั่น ซึ่งเป็นคนสุขภาพแข็งแรง เกิดล้มป่วยด้วยอาการเจ็บกระดูกสันหลัง จนต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดโรคแทรกซ้อน จนยากต่อการเยียวยา

และนี่อาจเป็นบันทึกสุดท้ายของวีรกรรม ความสามัคคี ของคนปัตตานีซึ่งกำลังจะถูกลืม สนั่น อาลีอิสเฮาะ หรืออายีเจะยามาลูดิน อาลีอิสเฮาะ เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2466 เป็นลูกคนโตในบรรดาพี่น้อง 4 คน เจะฮะ อาลีอิสเฮาะ พ่อของสนั่น เป็นกำนันตำบลจะบังติกอ ส่วนแม่ คือ เจะฆอตีเยาะ อาลีอิสเฮาะ เป็นแม่บ้านและช่วยกิจการค้าขายของครอบครัว สนั่น เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนจะบังติกอ พอจบ ป.4 ก็ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ที่นี่ สนั่น ได้คบหา เนียน ศรีสุวรรณ ซึ่งเป็นเพื่อนเรียนร่วมชั้น และเป็นเพื่อนยุวชนทหารร่วมรบ
จะว่าไปแล้วตระกูลของ สนั่น จัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำของพื้นที่จังหวัดปัตตานีมาตั้งแต่รุ่นปู่ ซึ่งเป็น 'ข้าไท้แผ่นดินสยาม' เฉพาะตัวสนั่นเอง ก็เคยเป็นเทศมนตรีถึง 2 สมัย ส่วนชีวิตครอบครัวแต่งงานกับ ราฟาตีมาห์ อาลีอิสเฮาะ มีลูก 6 คน ก่อนเสียชีวิต สนั่นประกอบอาชีพค้าขายวัสดุก่อสร้างและธุรกิจบ้านเช่า
อาจเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ค่อนข้างใกล้ชิด เมื่อไฟใต้ที่ลุกโชนต่อเนื่องกว่า 3 ปี เพิ่มความรุนแรงต่อเนื่อง วิกฤตินี้ได้ปลุกเลือดรักชาติของชายชราวัย 84 ปี ขึ้นมาอีกครั้ง สนั่น คิดเหมือนที่ ภานุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีพูดเอาไว้ว่า "สิ่งที่โจรกลัวมากที่สุด คือ ความสามัคคี"
อะดิลัน อาลีอิสเฮาะ ลูกชายของสนั่น เล่าว่า "คุณพ่อเคยพูดว่า อยู่มาจนอายุ 84 ปี ก็ไม่เคยเห็นว่าเหตุการณ์จะหนักหนาขนาดนี้ พ่อบอกเสียดาย การที่พ่อพยายามหยิบเรื่องยุวชนทหารขึ้นมาพูด เพื่อสะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์ที่คนปัตตานีต่อสู้กันมา ซึ่งก็คือ ความพยายามหาทาง จะทำยังไงให้บ้านเมืองสงบโดยไม่มีการเลือกฝ่าย"
คำสัมภาษณ์สุดท้ายก่อนเสียชีวิต สนั่น เคยให้สัมภาษณ์กับทีมงานศูนย์ข่าวชายแดนใต้ ถึงวีรกรรมยุวชนทหารเมื่อ 66 ปีที่แล้วว่า ทหารญี่ปุ่นนำเรือจอดเทียบชายฝั่งปัตตานีโดยแบ่งกำลังทหารเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก นำเรือเล็กล่องเข้าทางปากน้ำ เข้ามาจนถึงในตัวเมืองปัตตานี ส่วนกลุ่มที่สอง นำกำลังขึ้นฝั่งที่รูสะมิแล ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้ง มอ.ปัตตานี
สนั่น ซึ่งขณะนั้นอายุ 18 ปี เป็นยุวชนทหารได้เพียงปีเดียว รับทราบข่าวญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกจากญาติชื่อ 'เจะอาลี' จึงรีบเดินทางไปรายงานตัว เพื่อรับอาวุธปืน แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่า ปืนมีไม่พอ สนั่นจึงได้รับคำสั่งให้จัดหาเสบียง ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง อาหารแห้ง เพื่อนำไปสนับสนุนกองกำลังต่อต้าน ซึ่งตั้งแนวต้านบริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรปัตตานี และสะพานเดชานุชิต
สนั่นเข้าสู่สมรภูมิรบ โดยมีแค่สองมือเปล่ากับหัวใจ

เนียน ศรีสุวรรณ เกิดวันที่ 1 เมษายน 2468 ที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พ่อชื่อ มาก แม่ชื่อ นัย มีอาชีพทำนา เนียนเป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้อง 7 คน หลังเรียนจบ ป.4 จากโรงเรียนเทศบาล 2 (วัตตานี นรสโมสร) ก็เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ
เนียน เป็นเด็กวัด อาศัยวัดตานี นรสโมสรเป็นที่อยู่หลับนอน มีข้าวก้นบาตรสำหรับประทังชีวิต
"บางวัน ผมไม่มีเงินติดกระเป๋าสักบาท"
เนียน เล่าว่า "ในตัวเมืองปัตตานีเมื่อก่อน มีรถยนต์ไม่ถึง 10 คัน สะพานข้ามแม่น้ำก็มีแต่สะพานเดชานุชิต ไปไหนมาไหนส่วนใหญ่ใช้จักรยาน ผมเองมาเรียนก็เดินเอา เพราะเป็นเด็กวัดตอนนั้น เด็กมุสลิมเข้ามาเรียนน้อยมาก ต้องเป็นคนที่พ่อแม่มีฐานะถึงจะส่งเรียนสายสามัญ ขณะที่เด็กส่วนใหญ่จะเข้าเรียนปอเนาะ ผมจำได้ว่า ที่เรียนรุ่นเดียวกัน มีเพื่อนเป็นมุสลิมน่าจะไม่เกิน 5 คน"
หนึ่งในนั้น คือ สนั่น
"เรียน ม.1 จนจบ ม.6 มาด้วยกัน กอดคอกัน เป็นนักกีฬามาด้วยกัน เป็นนักวิ่งผลัด ในทีมเราจะมีไทยพุทธ 2 คน มุสลิม 3 คน ก็ให้สนั่นเป็นหัวหน้าทีม เพราะเขามีฐานะทางบ้านดี เวลากินข้าวด้วยกันก็จะไปหาร้านอาหารอิสลาม เราไทยพุทธไม่มีปัญหา บางครั้งผมก็ไปนอนค้างบ้านเพื่อนมุสลิม"
เนียน ย้อนอดีตอีกว่า
"งานบุญ คนพุทธทำบุญเดือนสิบ ก็เอาข้าวต้มมัดไปให้เพื่อนมุสลิม งานบุญฮารี-รายอ เพื่อนมุสลิมก็เอา 'ตูปะ' (ข้าวต้มมัด) มาให้กิน ก็เตะบอล แอบสูบบุหรี่มาด้วยกัน เด็กรุ่นผม 14-15 ยังกระโดดน้ำคลองกันอยู่เลย"
เนียนยอมรับว่า ในยุคนั้นจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศนโยบายรัฐนิยม สร้างความอึดอัดให้กับทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิม
"อย่างห้ามชาวบ้านกินหมาก ตำรวจก็ไปฟันต้นหมากต้นพลูของเขาทิ้ง ตอนนั้น ผมเองก็เกลียดตำรวจ ยิ่งเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อน ก็เลยท้าตำรวจต่อย.."
เนียน เล่าว่า ตอนรบกับญี่ปุ่น เขาอายุ 16 ปี
"ก่อนหน้านี้ก็เห็นคนญี่ปุ่นเข้ามาอยู่กันเยอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร บางคนเป็นหมอ ผมก็เคยไปรักษากับแก ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นสายลับ แต่คนพวกนี้เก่ง เราเห็นเขาไปตกปลาทุกวัน บางคนคิดดูสะพานออกจะกว้าง แต่ดันขี่จักรยานตกลงไปในแม่น้ำ พวกนี้ความจริง ตั้งใจวัดระดับน้ำ เพื่อเอาเรือเข้ามาต่างหาก"
เนียน เล่าถึงวันเกิดเหตุว่า
"ประมาณ ตี 3 เด็กวัดรุ่นพี่ วิ่งตะโกนบอก ข้าศึกบุก ตอนนั้น ยังไม่รู้ว่า ข้าศึก คืออะไร ลุกตื่นก็รีบไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจภูธรปัตตานี ไปถึงก็เจอยุวชนทหารรออยู่แล้วประมาณ 10 คน ก็รับมอบอาวุธปืนยาว กับกระสุนประมาณ 20 นัด ได้รับคำสั่งให้ซุ่มที่แถวหน้าศาลากลาง"
"ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ยุวชนทหาร 5 คน มีทั้งพุทธและมุสลิม ลงไปนอนแช่ในคูระบายน้ำหน้าศาลากลาง ถึงตอนนี้ เพิ่งจะรู้ว่าข้าศึกคือ ญี่ปุ่น เฝ้าอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงปืนยิงปะทะกัน เห็นกระสุนปืนวิ่งผ่านเป็นเส้นแสง"
เนียนคือประจักษ์พยานการสูญเสียชีวิตของเพื่อนยุวชนทหารคนหนึ่ง
"เราเห็นทหารวิ่งลงมาจากศาลากลางถือปืนติดดาบปลายปืน ก็นึกว่าฝ่ายเรามาช่วย แต่พอมันวิ่งมาถึงเพื่อนชื่อ เอื้อน มันเอาดาบแทงเพื่อน เราเลยรู้ว่า เป็นทหารญี่ปุ่น ก็เลยยิงกัน"
การปะทะเปิดฉากใช้เวลาประมาณ 20 นาที แนวตั้งรับของยุวชนทหารต้องถอยร่น
"เราค่อยๆ ถอยไปตั้งหลักที่แถวๆ หน้าเทศบาล แต่ก็ต้านกำลังทหารญี่ปุ่นไม่ไหว เลยแยกย้ายกัน ขณะนั้นบนฟ้าก็มีเครื่องบินของญี่ปุ่น บินผ่านหัวไปและได้ยินเสียงปืนเป็นระยะ ผมหนีจะข้ามแม่น้ำ ก็ได้ชาวบ้านเป็นมุสลิมเอาเรือข้ามมารับ ตอนนั้นเริ่มหิว ไปเจอร้านคนมุสลิมทำข้าวมันแกงไก่ขาย แต่ขายไม่ได้เพราะไม่มีใครกล้าออกจากบ้านมาซื้อ เพื่อนๆ ก็เอามาให้กิน"
วีรกรรมปกป้องแผ่นดินของชาวปัตตานี ครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ในที่สุด จอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศยอมให้ญี่ปุ่นใช้เส้นทางผ่านประเทศ เพื่อเคลื่อนทัพไปยังประเทศมาเลเซีย การต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นจึงยุติลง
"หลังจากนั้นก็เอาอาวุธมาคืนที่โรงพัก ทางเจ้าหน้าที่ให้พวกผมตรวจดูความเรียบร้อยและสังเกตการณ์ ก็ได้เห็นศพคนตายหลายศพ นำศพไปประกอบพิธี และช่วยคนบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล หลังปฏิบัติภารกิจเสร็จก็กลับไปบ้านน้า ซึ่งแม่รออยู่ที่นั่น" เนียน เล่า
ความสูญเสียของฝ่ายไทยถูกบันทึกไว้ว่า ทหาร ร.พัน 42 นำโดย พ.ต.ขุนอิงคยุทธบริหาร เสียชีวิต 21 นาย ตำรวจภูธรปัตตานี 5 นาย พลเรือน 9 คน ยุวชนทหาร 5 คน
หลังคำประกาศของรัฐบาล ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นเต็มเมืองปัตตานี สนั่น หนีภัยไปอยู่ที่ตำบลปูยุด เนื่องจากบ้านพักถูกญี่ปุ่นยึดเป็นกองบัญชาการ ทุกวันนี้ที่บ้านของสนั่น ยังมีร่องรอยกระสุนปืนฝากไว้ที่บานประตูภายในบ้าน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
ส่วน เนียน อพยพไปอาศัยกับครอบครัวชาวมุสลิมในอำเภอยะรัง
"คุณพ่อคุณแม่ บอกอยู่ไม่ได้แล้ว ลูกคุณน้าเป็นผู้หญิง มีเชื้อจีน ก็รู้กันอยู่ว่า จีนกับญี่ปุ่นไม่ถูกกันเลยต้องพาหนีไปอยู่แถวยะรัง เป็นหมู่บ้านมุสลิม เขาก็ให้อยู่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ให้ข้าวให้น้ำกิน" เนียนบอก
มิตรภาพ....
เมื่อสถานการณ์ในตัวเมืองคลี่คลาย สนั่น และเนียน และเพื่อนๆ กลับสู่ชีวิตนักเรียนอีกครั้ง เรื่องราวของวีรกรรม ถูกเล่าแลกเปลี่ยนกันระหว่างหมู่เพื่อนในช่วงแรกๆ แต่นานวันเข้าชีวิตก็เข้าสู่วิถีปกติ และแม้เส้นทางชีวิตหลังสำเร็จการศึกษา ต่างเดินต่างแยกสาย มิตรภาพก็ยังคงอยู่
สนั่น มีต้นทุนทางครอบครัวค่อนข้างสูง ทั้งฐานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจ หลังเรียนจบ นอกจากทำธุรกิจส่วนตัว สนั่นก็ยังเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบัน 'อะดิลัน อาลีอิสเฮาะ' ลูกชายของเขา ก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
ขณะที่ เนียน หลังเรียนจบ เขาออกทะเลเป็นลูกเรือประมง ก่อนจะกลับมารับราชการเป็นสรรพสามิตอำเภอ แต่สุดท้ายก็ลาออก และเข้าทำงานที่โรงงานปลาป่นจนกระทั่งเกษียณ
"ตอนเป็นสรรพสามิตอำเภอ ตีหนึ่งตีสองเดินทางไปตรวจพื้นที่ก็ไม่เคยมีปัญหา คนเก่าๆ ไปบ้านไปเยี่ยมเยียนก็ให้การต้อนรับอย่างดี แต่เดี๋ยวนี้ไม่กล้า เพราะไม่รู้ใครเป็นใคร" เนียนเล่า
สำหรับมิตรภาพกับสนั่น เนียนบอกว่า "เจอกันก็คุยกันมึงกู"
"พี่คนโตของผมก็เป็นเพื่อนกับลูกชายลุงเนียน" อะดิลัน อาลีอิสเฮาะห์ บอกถึงมิตรภาพจากรุ่นพ่อที่ยังสืบต่อกันในรุ่นลูก
"วันที่รู้ข่าวว่า สนั่นเสีย ผมอยู่นอกพื้นที่ ก็รู้สึกหดหู่ เพราะคนรุ่นเราเหลือกันไม่กี่คนแล้ว" เนียนบอกว่า เขาสั่งภรรยาให้นำเงินใส่ซองไปช่วยงานศพ เพราะรู้ว่า ตัวเองคงไม่มีโอกาสไปร่วมแสดงความเคารพต่อมิตรภาพระหว่างเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย
และเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานดินในการประกอบพิธีศพของสนั่น ที่ กูโบโต๊ะอาเยาะ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล
วันนี้ ... เนียน คือ ยุวชนทหารปัตตานีคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ โรงงานปลาป่นแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี แม้จะเลยวัยเกษียณ แต่เขาพอใจที่จะได้มานั่งทำงานได้พูดคุยกับพนักงานรุ่นลูกรุ่นหลาน
"ประมงเดี๋ยวนี้ก็แย่ ต้องไปซื้อวัตถุดิบจากที่อื่นมาเข้าโรงงาน…" เนียนบ่นถึงกิจการของบริษัทซบเซาเพราะผลพวงไฟใต้
"ทุกวันนี้ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น เคยวิ่งออกกำลังกายไปไหนต่อไหน แต่เดี๋ยวนี้ต้องเดินอยู่ในบ้าน เมียผมก็ยังห่วงว่า เปิดตัวเป็นข่าวแบบนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นเป้า แต่ช่างมันเถอะ...คนเราถึงที่ตาย มันก็ตาย"
หมายเหตุ: รายงานชิ้นนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างเซ็คชั่น 'จุดประกาย' หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กับ ศูนย์ข่าวชายแดนใต้ เพื่อนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งออกสู่การรับรู้ของสาธารณะ ท่ามกลางปัญหาไฟใต้ที่ยังไม่สงบลงจนถึงวันนี้
เครดิต คุณ.ชรินทร์ แช่มสาคร
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :