
ขอเรียนประสบการณ์ของตนเองนะครับ แต่เหตุการณ์นี้ก็เกิดมานานมากแล้วตอนนี้อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างแล้วก็ได้ คงจะเอาเรื่องของผมมาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันครับ
ผมไปประจำการที่กรุงออกตาวา ประเทศแคนาดา อยู่ ๔ ปี ครับ ตอนที่อยู่แคนาดานั้นผมสามารถซื้อปืนได้ถูกต้องตามกฏหมายแคนาดาโดยการที่ต้องกรอกแบบฟอร์ม โดยมีผู้บังคับบัญชาลงนามรับรองในเอกสารและส่งเอกสารคำร้องนั้นให้ทางการแคนาดาดำเนินการต่างๆ ซึ่งผมเองไม่ทราบว่าทางการแคนาดาทำอะไรบ้าง อาจจะมีการสอบประวัติ ฯลฯ ในที่สุดผมก็ได้ใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนได้ซึ่งเป็นบัตรพลาสติกคล้ายกับบัตรเครดิตและก็สามารถนำไปซื้อปืนได้ ในสมัยนั้นหากเป็นปืนยาวก็ไปซื้อที่ร้านขายปืนหรืออุปกรณ์ประเภทเดินป่าซึ่งจะมีปืนขายด้วย จะซื้อเท่าไรก็ได้กี่กระบอกก็ได้ลูกกระสุนกี่นัดก็ได้เท่าที่มีปัญญาจะซื้อ สามารถซื้อแล้วนำกลับบ้านได้เลยและสามารถที่จะนำพาไปยิงที่สนามยิงปืนหรือไปล่าสัตว์ก็ได้ (ต้องมีใบอนุญาตให้ล่าสัตว์ได้ ตามฤดูกาล) ส่วนปืนสั้นนั้นยังซื้อไม่ได้จนกว่าจะเป็นสมาชิกสนามยิงปืนและต้องผ่านการอบรมความรู้เบื้องต้นเรื่องอาวุธปืนสั้น กฏความปลอดภัยและยิงปืนสั้น (ยิงเพื่อดูเรื่องการใช้ ความปลอดภัย ระเบียบปฏิบัติในสนามยิงปืน เป็นต้น) จากสนามยิงปืนซึ่งจะมีการเปิดหลักสูตรสั้นๆ สำหรับการอบรม เมื่อผ่านหลักสูตรนี้แล้วก็จะได้รับเอกสารจากทางผู้ให้การอบรม ซึ่งจะต้องใช้เอกสารนี้รวมกับบัตรอนุญาตให้มีอาวุธปืนที่ทางการแคนาดาออกให้ใช้ประกอบกันในการไปซื้อปืนสั้นกระบอกแรก หลังจากนั้นเมื่อชื่ออยู่ในสารบบแล้ว ก็สามารถไปซื้อปืนสั้นได้อีกไม่จำกัดกี่กระบอกก็ได้ กระสุนกี่นัดก็ได้ (แต่ต่อมาประมาณปี ๒๕๓๘ ทางการแคนาดาห้ามไม่ให้มีการซื้อขายหรืออนูญาติให้ซื้อขายปืนขนาด ๖.๓๕ ม.ม. (หรือคือขนาด .๒๕ ออโต) นอกจากผู้ที่เคยมีปืนขนาดนั้นมาก่อนสามารถมีอยู่หรือซื้อขายในพวกที่มีอยู่ก่อนการห้ามนั้นได้ และได้ห้ามการซื้อขายอาวุธปืนสั้นที่มีขนาดลำกล้องสั้นกว่า ๔ นิ้วกับอาวุธปืนพกออโตเมติกจะมีซองกระสุนจุเกิน ๑๐ นัดไม่ได้
ผมได้เดินทางกลับมาประจำการในประเทศไทยเมื่อกลางปี ๒๕๔๐ ก่อนเดินทางกลับก็ได้ประสานกับทางฝ่ายแคนาดาทั้งทางตำรวจที่ออกใบอนุญาตและกระทรวงการต่างประเทศแคนาดาเพื่อแจ้งเรื่องการนำเอาอาวุธปืนส่งออกนอกประเทศแคนาดา ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรทางการแคนาดาก็ออกใบรับทราบการนำอาวุธปืนออกนอกประเทศ (ไม่ใช่ใบอนุญาตส่งออกนะครับ) รวมทั้งเตรียมการประสานขอทราบรายละเอียดจากสายการบินแคนาเดียนแอร์ไลน์ในการนำเอาอาวุธปืนกลับมาพร้อมกับผมโดยเป็นสัมภาระติดตัวใส่ใต้ท้องเครื่องบินมาเพราะว่าเอามาหลายกระบอกโดยได้ติดต่อเป็นลายลักษณ์อักษรทางโทรสาร (แฟ๊กซ์) กับ ผจก.ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสายการบินและได้เก็บเอกสารโต้ตอบทั้งหมดเอาไว้และถ่ายสำเนาทั้งหมดอีก ๑ ชุด เพื่อเตรียมเอาไว้หากมีปัญหาเวลาทำการเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบินในวันเดินทาง ซึ่งก็ได้ใช้จริงๆ ได้มอบสำเนาเอกสารโต้ตอบให้ จนท. สายการบินไว้ ก็เป็นอันว่าสามารถนำมาได้จนถึงท่าอากาศยานกรุงเทพฯ
เมื่อถึงท่าอากาศยานกรุงเทพฯ แล้วผมได้นำปืนทั้งหมดไปแสดงและมอบให้กับเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรดอนเมือง เพื่อฝากไว้ในตู้นิรภัย (ซึ่งการฝากนี้จะมีการเสียค่าใช้จ่ายคิดเป็นจำนวนวัน) และทางศุลกากรก็จะออกใบรับโดยมีรายละเอียดปืนทั้งหมดให้เราถือไปเพื่อดำเนินการขออนุญาตต่อไป
หลังจากนั้นผมก็ไปติดต่อที่ แผนกอาวุธปืน กองทะเบียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ที่ลาดพร้าวครับ ดำเนินการเขียนใบ ป.๑ แยกเป็นปืนสั้น ๑ ใบ ปืนยาว ๑ ใบ เพราะว่าปืนสั้นต้องได้รับอนุมัติจาก มท. ๑ ส่วนปืนยาวแค่นายทะเบียนอาวุธปืน กรุงเทพฯ เท่านั้น (แต่ผมก็ดันโชคร้ายเรื่องขอปืนยาวดันติดไปกับเรื่องขอปืนสั้นเลยเสียเวลาไปฟรีๆ ครับจนเรื่องไปถึง บช.ก. แล้วได้กลับมากองทะเบียนโดยยังดีที่ไม่ได้ไปมหาดไทยด้วย แต่นายทะเบียนท่านก็บอกว่าปืนยาวไรเฟิลมันหลายกระบอกขอให้เอาเท่าที่จำเป็นจริงๆ ผมก็เลยตัดใจยอมไม่ขอ ๒ กระบอก (ผมเองเป็น ขรก.ที่ได้ทำงานเหนื่อยเพื่อประเทศชาติมาอาจจะสู้หลายๆ ท่านไม่ได้ แต่ก็ทำมาด้วยความซื่อสัตย์และก็มากพอสมควร ก็เลยยอมเสียปืน ๒ กระบอกดีกว่า ฯ) หลังจากที่ท่านต่างๆ ในแผนกอาวุธปืนได้ทำการประมวลเรื่องต่างๆ พร้อมทั้งเอกสารต่างๆ ที่ต้องการจากผมแล้วก็ได้ส่งเรื่องไปยัง กองบัญชาการสอบสวนกลาง เพื่อจะได้ส่งต่อไปยังกระทรวงมหาดไทย (ขั้นตอนจากกองทะเบียนไปยัง บช.ก. ไม่นานเท่าไรครับถ้าจำไม่ผิดประมาณปีกว่าๆ ที่เร็วขนาดนั้นเพราะว่าผมไปรอพบท่าน สว.แผนก อวป. ตั้งแต่เช้าในเช้าวันหนึ่ง กว่าท่านจะมาทำงานก็สายมากๆ พอมาถึงท่านก็บอกว่าท่านมีงานด่วนต้องรีบไปประชุมสั่งให้ผมรอ ผมก็บอกว่ารอไม่ได้เพราะว่าผมก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการเหมือนกันท่าน สว. ก็บอกว่าแล้วจะติดต่อเรียกไป ผมก็เลยกลับและก็รอท่านเรียกไปพบ ในระหว่างที่รอก็ติดต่อไปท่านก็ไม่เคยว่างให้ไปพบและผมเองก็มีงานทำไม่ได้ว่าง ก็ลืมบ้าง พอนึกขึ้นได้ติดต่อไปก็ไม่เคยว่างให้ไปพบ จนผมต้องติดต่อไปทาง
สนง. รอง.ผบ.ตร. ให้เรียกเรื่องผมมาดู ถึงได้มีการติดต่อจากท่าน สว. เรียกผมไปโดยก็รีบทำเรื่องเสนอให้แต่ในบันทึกเสนอได้บอกไปด้วยว่าได้ติดต่อผมให้มาพบแล้วแต่ผมติดราชการไม่สามารถมาได้ เพื่อท่าน สว. จะได้ไม่โดนเล่นงาน ผมก็ยอมครับ)
หลังจากนั้นเรื่องก็ผ่านจาก ตร. โดยมีความเห็นว่า ไม่มีข้อขัดข้องใดๆ และเห็นควรออกใบอนุญาตให้ได้ ไปยังกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงมหาดไทยก็ไม่มีระเบียบใดๆ ที่จะมาใช้ในการพิจารณาเกี่ยวกับการอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน จากการที่มีการนำเข้าแบบที่ผมนำเข้ามาเพราะทั้งหมดเป็นของส่วนตัวและได้มาจากการที่ซื้อเพื่อใช้ตั้งแต่ในตอนที่ยังอยู่ต่างประเทศ ซึ่งเอกสารที่ผมใช้ประกอบก็มีทั้งเอกสารทั้งของไทยเช่น ใบรับรองจากหน่วยงาน หนังสือรับรองจากผู้บังคับบัญชา หลักฐานการเป็นสมาชิกสนามยิงปืนในประเทศไทย ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ เอกสารของแคนาดา เช่น หลักฐานการเป็นสมาชิกสนามยิงปืน ใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนจากทางการแคนาดา สำเนาใบเสร็จรับเงิน ซึ่งระบุวันที่ที่ผมเริ่มครอบครองอาวุธปืน ใบรับทราบการนำอาวุธปืนนำออกจากประเทศแคนาดา
เป็นต้น ก็เสียเวลาไปนานมากครับจนในที่สุด มท. ก็ใช้การกล่าวอ้างจากหนังสือเวียนของ มท. ที่มีไปถึงนายอำเภอทุกท้องที่ เรื่อง หลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ซึ่งในหลักเกณฑ์นั้นมีข้อความอยู่ตอนหนึ่งพอสรุปได้ว่า ควรให้มี สั้น ๑ ยาว ๑ (ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมไม่สามารถอ้างถ้อยคำที่ถูกต้องได้ เพราะว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ก็เลยไม่มีเอกสารในมือที่จะค้นหามาอ้างอิงได้ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นในกระทู้ต่างๆ เพราะว่าผมไม่
สามารถจะหาเอกสารหรือจะหันไปหยิบปืนที่มีอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อเอามาดูอ้างอิงในการประกอบการเขียนกระทู้ต่างๆ ได้ ช่วงนี้ผมก็เลยได้แต่เข้ามาอ่านกระทู้อย่างเดียวครับ)
ในที่สุดหลังจากที่เวลาผ่านไปถ้าจำไม่ผิดก็เกือบๆ สองปี (ขอเรียนตรงนี้อีกนิดนะครับว่า หากท่านมีเวลาและก็ไปติดตามแบบที่เรียกว่าคอยจี้ตลอดเวลาก็คงไม่ต้องใช้เวลานานอย่างผม อีกทั้งถ้านะครับมีน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ยี่ห้อแพงๆ ใช้ รถก็คงไม่ติดนานก็คงได้ไปถึงที่หมายนานแล้ว) ผมก็ได้รับความกรุณา อนุมัติออกใบอนุญาต
ให้ผมมีและใช้อาวุธปืน สั้นได้ ๒ กระบอก จากที่ผมขอ ๖ กระบอก เรื่องก็กลับมาที่ แผนกอาวุธปืน กองทะเบียน ที่ลาดพร้าว จนท. ก็ออกใบ ป.๓ ให้ผมๆ ก็ถือไปที่ด่านศุลกากร ดอนเมือง ขอรับอาวุธปืน โดยต้องชำระค่าฝากของไว้ในตู้นิรภัยซึ่งคิดเป็นรายวันบวกกับภาษีนำเข้า ซึ่งผมมีใบเสร็จรับเงินจากร้านค้าที่ซื้ออาวุธปืนมาแสดงว่าซื้อมาราคาเท่าไรและซื้อเมื่อใด ทำให้ได้รับการประเมินภาษีอย่างถูกต้องและศุลกากรท่านก็คงสงสารที่กว่าจะมารับของได้ก็เป็นปีก็เลยไม่จู้จี้ ทำตามระเบียบให้อย่างเร็วมาก ผมก็หิ้วปืนกลับไปกองทะเบียนเพื่อทำเครื่องหมายและก็ออกใบ ป. ๔ ต่อไป ส่วนปืนสั้นที่เหลือ ๔ กระบอกและปืนยาวไรเฟิลอีก ๒ กระบอกผมก็ต้องทำเรื่องยกให้ตกเป็นของแผ่นดินไป เพราะจะส่งออกไปไหนก็ไม่ได้จะส่งกลับไปแคนาดาก็ไม่รู้จะส่งไปให้ใครเพราะเป็นปืนที่ผมซื้อขาดมาเป็นปืนส่วนตัวและหากไม่ยกให้เป็นของแผ่นดินแล้วผมก็ต้องจ่ายค่าฝากของไว้ในตู้นิรภัยของกรมศุลกากรอีกเป็นจำนวนไม่น้อยด้วยครับ
เรื่องทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ ถามว่าปืน ๒ กระบอกที่ได้มาคุ้มหรือไม่กับภาษีและค่าฝากของในตู้นิรภัย ก็บอกได้ว่ารวมทั้งราคาปืนที่ผมซื้อตอนนั้นด้วยแล้ว ก็ยังถูกกว่าซื้อปืนที่กรุงเทพฯ ในปี ๒๕๔๐ - ๒๕๔๒ อ้อ และก็ยังมีปืนยาวที่ได้รับอนุญาตอีกด้วยก็ต้องตอบว่าคุ้มครับ
แต่ถ้าถามถึงเรื่องการเสียเวลาและอารมณ์แล้ว ก็ขอให้ท่านคิดกันเอาเองนะครับว่าคุ้มหรือไม่
ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ อ้อ อีกอย่างหนึ่งที่ผมได้รับก็คือ ได้รู้ว่า ถ้าอยู่เมืองไทยต้องมีเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ต้องมีเพื่อนครับ
