เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤษภาคม 04, 2025, 12:12:17 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น  (อ่าน 20181 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
bancha - รักในหลวง
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 2
ออฟไลน์

กระทู้: 139


« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 06:16:30 AM »

สำหรับผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่นและเทคนิคการตี
เนื่องจากมีผู้สนใจในดาบญี่ปุ่นพอสมควร ทั้งมือเก่า และมือใหม่จำนวนหนึ่งสนใจ
จึงเชิญ อ.เด็กอยากเล่นมีด ใน www.thaiblades.com
ซึ่งเป็นผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่น เป็นนักสะสม มีความรู้ด้านโลหะวิทยา
และศึกษากระบวนการตีดาบญี่ปุ่นมาอย่างดี
ให้ช่วยเผยแพร่ให้แก่ผู้สนใจ

ผู้ร่วมเสวนา     อ.เด็กอยากเล่นมีด นั่งคุยร่วมกับผมเอง และแขกรับเชิญ (ถ้ามี)

วัน เวลา         วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2549

สถานที่            อาคาร 25 ปี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล เทคนิคกรุงเทพ ทุงมหาเมฆ (ซอยสวนพลู ถนนสาทร )

ค่าใช้จ่าย            ค่าเตรียมอุปกรณ์และค่าอำนวยความสะดวกของสถานที่ 100 บาท/คน  เด็กและเยาชน ฟรี ครับ

ลงชื่อจองในที่นี้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 10, 2006, 04:42:28 PM โดย bancha » บันทึกการเข้า
USP40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 06:17:39 AM »

สำหรับผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่นและเทคนิคการตี
เนื่องจากมีผู้สนใจในดาบญี่ปุ่นพอสมควร ทั้งมือเก่า และมือใหม่จำนวนหนึ่งสนใจ
จึงเชิญ อ.เด็กอยากเล่นมีด ใน www.thaiblades.com
ซึ่งเป็นผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่น เป็นนักสะสม มีความรู้ด้านโลหะวิทยา
และศึกษากระบวนการตีดาบญี่ปุ่นมาอย่างดี
ให้ช่วยเผยแพร่ให้แก่ผู้สนใจ

ผู้ร่วมเสวนา อ.เด็กอยากเล่นมีด นั่งคุยร่วมกับผมเอง และแขกรับเชิญ (ถ้ามี)

วัน เวลา วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2549

สถานที่ ระหว่างตรวจสอบ จำนวนผู้สนใจ

ค่าใช้จ่าย ค่าเตรียมอุปกรณ์และค่าอำนวยความสะดวกของสถานที่ 100 บาท/คน เด็กและเยาชน ฟรี ครับ

ลงชื่อจองในที่นี้ครับ

น่าสนใจมากครับ 
บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 07:01:47 AM »

ชอบครับ....ซามูไร....สมัยเป็นวัยรุ่น  (ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง)   เคยยกพวกตีกันใช้ซามูไรที่ขายตลาดแม่สายฟันกัน  ทีเดียว  เหล็กใบมีดเกือบขาดออกจากกัน.....ครับ...นึกได้สมัยนี้ แหม ... เรานี่ก็โง่ มาก ๆ เลย...ทำไปทำแบบนั้น.... เยาะเย้ย

ดาบซามูไร ตำนานของอาวุธสังหาร และงานศิลปะ

โดย :: กมลศักดิ์ สรลักษณ์ลิขิต

ภายใต้ความประณีตผสมผสานเนื้อเหล็กชั้นดี และวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณราวหนึ่งพันปีเศษ ทำให้ดาบญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดเหนือกว่าดาบของชนชาติอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง

ราวพันปีก่อนช่างตีดาบเขาผลิตดาบเนื้อดีแข็งแกร่งและคมอย่างมีดโกนได้อย่างไร

ภายใต้อาวุธสังหารอันคมกริบ ดาบซามูไรก็เป็นงานศิลปะชั้นยอด เป็นของที่มีค่าและวิธีการตีดาบซามูไรยังเป็นศาสตร์ที่สูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ

คนไทยเริ่มรู้จักดาบซามูไรเมื่อติดต่อค้าขายกับญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยอยุธยา สงครามโลกครั้งที่สอง...ดาบซามูไรเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทหารญี่ปุ่นใช้ตัดหัวเชลยศึกขาด...ได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวและทำให้ดาบซามูไรเริ่มรู้จักกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา และแทบไม่น่าเชื่อว่า...ยุคทองของดาบซามูไรนั้นมีมานานกว่า ๗๐๐ ปี ถือเป็นยุคที่ดาบมีคุณภาพดีที่สุดเหนือกว่ายุคใดๆ ของดาบญี่ปุ่น





Samurai
...
ซามูไร (Samurai) คือนักรบหรือมีความหมายว่าผู้รับใช้ ดาบคู่กายซามูไรเปรียบเหมือนจิตวิญญาณของซามูไรทุกคน หากซามูไรลืมดาบ...เท่ากับว่านำตนเองไปสู่ความตายได้ทุกเมื่อ ลัทธิ "บูชิโด" สอนให้เหล่าซามูไรยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน ซามูไรถือว่าความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ปรัชญาแห่งบูชิโดกล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งเบาบางยิ่งกว่าขนนก"

ชาวญี่ปุ่นโบราณยกย่องชาวนาและช่างฝีมือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ "ช่างตีดาบ" เดิมนักรบชาวญี่ปุ่นใช้ดาบจากจีนและเกาหลีในการสู้รบ ในสมัย "นาร่า" (Nara Period) ประมาณปี พ.ศ. ๑๑๙๓-๑๓๓๖ หรือประมาณ ๑,๓๐๐ ปีเศษล่วงมาแล้ว ปัญหาที่ตามมาคือเวลาสู้รบดาบมักหักออกเป็นสองท่อน จักรพรรดิจึงสั่งให้ช่างตีดาบปรับปรุงดาบให้ดีขึ้นกว่าเดิม


Nara Period

ช่างตีดาบยุคแรกมีชื่อว่า "อามากุนิ" เขาพัฒนาการตีดาบไม่ให้หักง่ายด้วยการใช้เหล็กที่ดี และมีการศึกษาวิธีทำให้เหล็กแข็งแกร่งกว่าเดิม เหล็กที่ดีของญี่ปุ่นได้จากการถลุง มีชื่อว่า "ทามาฮากาเน่" (Tamahagane)




Tamahagane

อามากุนิพบว่า...การที่จะให้ได้ดาบคุณภาพดีต้องควบคุมของสามสิ่ง คือ การควบคุมความเย็น, การควบคุมปริมาณคาร์บอน และการนำสิ่งปะปนที่อยู่ในเหล็กออก

ปริมาณคาร์บอนคือหัวใจสำคัญในการตีดาบ หากใส่คาร์บอนในเหล็กมากไปเหล็กจะเปราะ, ใส่น้อยไปเหล็กจะอ่อน จึงต้องใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ

เหล็กถูกนำมาหักแบ่งเป็นชิ้นเล็กวางซ้อนกันก่อนหลอม และนำไปตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นจึงพับเหล็กเป็นสองชั้นขณะยังร้อนๆ แล้วตีซ้ำอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เหล็กจะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหมื่นๆ ชั้น ทำให้คาร์บอนกระจายไปจนทั่วเนื้อเหล็ก แล้วจึงนำไปตีแผ่ออกให้เป็นใบดาบ จะได้ใบดาบที่ดีเนื้อเหล็กแกร่งและคมไม่หักอีกต่อไป

แต่...นี่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นดาบที่สุดยอด

สี่ร้อยปีผ่านมาเข้าสู่สมัยคามาคูระ (Kamakura Period) ราวปี พ.ศ. ๑๗๓๕-๑๘๗๙ จักรพรรดิบอกให้ช่างตีดาบศึกษาวิธีการตีเหล็กจากยุคโบราณ

Kamakura Period

ยุคนี้ถือเป็นจุดเริ่มยุคทองของดาบซามูไร มีการพัฒนาดาบให้ดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อกว่า ๔๐๐ ปีก่อน ถือเป็นเทคนิคที่สุดยอดของดาบ มีการเพิ่มวิธีการผสมเหล็กสองชนิดเข้าด้วยกัน เหล็กที่มีความแข็งจะมีปริมาณคาร์บอนสูงใช้ทำเป็นตัวดาบ และเหล็กอ่อนที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำใช้ทำเป็นไส้ดาบเพื่อให้ยืดหยุ่น

จากเหล็กสองชนิดที่ถูกนำมาพับและตีมากกว่าสิบชั้น ทำให้เกิดชั้นเล็กๆ เป็นทวีคูณเป็นหมื่นชั้น ช่างตีดาบจะพับเหล็กแข็งให้เป็นรูปตัว ย และนำเหล็กอ่อนมาวางไว้ตรงกลางเพื่อทำเป็นไส้ใน แล้วนำไปหลอมและตีรวมกันใหแผ่ออกเป็นใบดาบ จากนั้นนำไปหลอมในอุณหภูมิที่เหมาะสมซึ่งมากกว่า ๗๐๐ องศาเซลเซียส แล้วจึงนำมาแช่น้ำเย็น

การแช่น้ำต้องระมัดระวังมาก หากแช่ไม่ดีดาบจะโค้งเสียรูป เหล็กที่มีความแข็งต่างกันเมื่อทำให้เย็นทันทีจะหดตัวต่างกัน ถือเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ใบดาบโค้งได้รูปตามธรรมชาติ

ดาบสามารถฟันคอขาดได้เพียงครั้งเดียว บาดแผลที่ได้รับจากดาบจะเจ็บปวดมาก ซามูไรยังต้องเรียนรู้การใช้ดาบอย่างช่ำชองว่องไวและคล่องแคล่ว ให้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จากความสามารถนี้เองทำให้ซามูไรเพียงคนเดียวสามารถสังหารศัตรูที่รายล้อมตนกว่าสิบคนได้ภายในชั่วพริบตาด้วยดาบเพียงเล่มเดียว

แต่ประเพณีการต่อสู้ของชนชั้นซามูไรคือการต่อสู้ "ตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทด้วยดาบ" ผู้แพ้ที่ยังมีชีวิตอยู่คือผู้ที่ไร้เกียรติ ซามูไรจึงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ การฆ่าตัวตายอย่างสมเกียรติด้วยการทำ "เซปปุกุ" คือเกียรติยศของซามูไร

เดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. ๑๘๑๗ ชาวมองโกลของกุบไลข่านบุกญี่ปุ่นที่อ่าวฮากาตะ ด้วยกองทัพเรือ ๘๐๐ ลำ และกองพลสามหมื่นนาย เหล่าซามูไรต้องการจะสู้กันตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทเยี่ยงสุภาพบุรุษกับนักรบระดับผู้นำ แต่ไม่ได้ผล พวกซามูไรต้องปะทะสู้ที่ชายหาดกับฝูงธนูอาบยาพิษและระเบิด เป็นสงครามที่ไม่มีระเบียบและตกเป็นรอง พายุไต้ฝุ่นช่วยทำลายกองเรือของชาวมองโกลจนหมดสิ้น การรบครั้งแรกเหมือนการหยั่งเชิงของชาวมองโกลเพื่อดูกำลังของศัตรู

อีกเจ็ดปีต่อมาพวกมองโกลกลับมาอีกครั้งด้วยกองเรือ ๔,๐๐๐ ลำ กองทหารอีกสองแสน พวกซามูไรรบพุ่งกับลูกธนูอย่างกล้าหาญ พวกเขาตัดเรื่องมารยาททิ้งไป ตกกลางคืนเหล่าซามูไรพายเรือลอบเข้าโจมตีพวกมองโกลประชิดตัวด้วยการใช้ดาบที่ช่ำชอง ดาบทหารมองโกลไม่มีทางสู้ดาบซามูไรได้เลย ระหว่างสงครามพายุไต้ฝุ่นก็ทำลายกองเรือของมองโกลอีกครั้ง กองเรือสองในสามจมไปกับทะเลพายุ, ทหารมองโกลจมน้ำตายนับหมื่น พวกที่ว่ายน้ำเข้าฝั่งก็ตายด้วยคมดาบอย่างหมดทางสู้ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเมืองนี้ถูกปกป้องจากพระเจ้า และตั้งชื่อลมพายุนี้ว่า "กามิกาเซ่" (Kami-Kaze) หมายถึงลมศักดิ์สิทธิ์ หรือลมผู้หยั่งรู้

หลังจากนั้นพวกมองโกลก็ไม่ได้กลับมาตีญี่ปุ่นอีกเลย

หลังจากสงครามสิ้นสุด บ้านเมืองอยู่ในความสงบ พบว่าหลังจากการรบที่ผ่านมาดาบมักจะบิ่น จักรพรรดิจึงบอกให้ช่างตีดาบหาวิธีแก้ไข ช่างตีดาบที่สร้างสมดุลของความแข็งและความอ่อนของเหล็กและพัฒนาโครงสร้างของดาบออกเป็นเหล็กสามชิ้น คือ "มาซามูเน่" (Masamune)




Masamune


ราวปี พ.ศ. ๑๘๔๐ ดาบของมาซามูเน่ถือเป็นดาบที่พัฒนาถึงขั้นสูงสุด ในญี่ปุ่นไม่มีช่างตีดาบคนใดจะเทียบได้ เขาสร้างความสมดุลของความแข็งของคมดาบ

เคล็ดลับการทำดาบคือการผสมเหล็กสามชนิดเข้าด้วยกัน เหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนสูงจะใช้เป็นใบดาบด้านข้างที่เรียกว่า Gawa-gane และด้านคมดาบ (Ha-gane) ใช้เหล็กที่แข็งมากโดยผ่านการพับและตีถึง ๑๕ ครั้ง ซึ่งสามารถสร้างชั้นของเหล็กที่ซ้อนกันถึง ๓๒,๗๖๘ ชั้น ทำให้เหล็กเหนียวและแกร่งมากกว่าส่วนอื่นๆ ส่วนเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำจะใช้เป็นส่วนไส้ใน (Core Steel) ทำให้มีความยืดหยุ่นเรียกว่า Shi-gane แล้วนำไปหลอมที่อุณหภูมิประมาณ ๘๐๐ องศาเซลเซียสให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงนำมาตีแผ่ออกเป็นใบดาบ

ช่างตีดาบคนอื่นๆ เริ่มเลียนแบบในเวลาต่อๆ มา

ช่างตีดาบในยุคเดียวกันที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงมาซามูเน่ คือ "มารามาซะ" กล่าวกันว่าใครที่มีดาบของ "มารามาซะ" ไว้ครอบครอง เลือดจะสูบฉีดให้อยากที่จะชักดาบออกมาสังหารคู่ต่อสู้เพราะความคมของมัน ในขณะเดียวกันซามูไรที่ครอบครองดาบของ "มาซามูเน่" กลับสงบนิ่งเยือกเย็น

ดาบญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาช่วงสมัยเอโดะ (พ.ศ. ๒๑๔๖-๒๔๑๐) จากการติดต่อค้าขาย ญี่ปุ่นนำพัดและดาบเข้ามาในอยุธยา

โดยเฉพาะดาบมีความสำคัญต่อพระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางในราชสำนักสยามแต่งตัวในชุดเต็มยศ ห้อยดาบเข้าพิธีสำคัญๆ ต่างๆ ในพระราชสำนัก อีกทั้งหนึ่งในห้าของ "เบญจราชกกุธภัณฑ์" คือ "พระแสงขรรค์ชัยศรี" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดแห่งอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่ดาบหรือกระบี่ของตำรวจและทหารในชุดเต็มยศของไทยในปัจจุบัน เรียกว่าดาบทหารม้า (Parade Saber) ซึ่งได้รับอิทธิพลพื้นฐานมาจากดาบญี่ปุ่นทั้งสิ้น



Ronin

ซามูไรเหล่านี้ได้กลายเป็นทหารอาสาญี่ปุ่นในเวลาต่อมา

ดาบทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีชื่อเรียกว่า "Gunto" เป็นดาบที่ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๑ และสิ้นสุดการผลิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งถือว่าเป็นยุค Modern เป็นดาบที่ทำเพื่อการสงคราม ผลิตจำนวนมาก ยังคงความคมกริบ แต่ไม่ประณีต และไม่มีขั้นตอนการทำอย่างประเพณีโบราณ ดาบรุ่นนี้ตกค้างอยู่ในแถบอินโดจีนจำนวนมากหลังจากสงครามสิ้นสุด ซึ่งอาจจะพบได้ในประเทศพม่าและประเทศไทย ถูกฝังดินอยู่กลางป่าหรือในถ้ำตามเส้นทางเดินทัพของทหารญี่ปุ่น ดาบยุคสงครามจะเป็นดาบที่ใช้ฝักทำด้วยเหล็ก มีห่วงทองเหลืองหรือทองแดงเรียกว่า "โอบิ-โทริ" ใช้สำหรับห้อยกับเข็มขัด ตัวดาบและฝักเหล็กมีน้ำหนักมาก จึงไม่เหมาะที่จะใช้เหน็บเอวอย่างดาบฝักไม้แบบโบราณ ซึ่งมีห่วงผูกเงื่อนที่ทำจากผ้าไหมใช้เหน็บเอวของซามูไร ดาบทหารที่ไม่มีขั้นตอนการผลิตในแบบพิธีกรรมโบราณ จึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างดาบของพวกซามูไร


Gunto

ส่วนพิธีกรรมโบราณนั้นมีขั้นตอนมากมายและถือเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ช่างตีดาบต้องถือศีลกินเจในขณะที่หลอมเหล็ก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เพื่อผลิตดาบให้เป็นมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้นๆ ดาบคล้ายกับเครื่องลางของขลัง หรืออย่างพระเครื่องของคนไทยที่ปลุกเสกจากเกจิอาจารย์ดัง

ช่างตีดาบและลูกมือจะร่วมมือกันทำดาบเพียงหนึ่งเล่มในระยะเวลามากกว่าเดือน ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าช่างตีดาบที่ดีจะทำดาบที่ดีออกมา หากช่างตีดาบมีจิตใจไม่ดีดาบที่ตีออกมาก็จะไม่ดีไปด้วย ดาบแต่ละเล่มจึงมีราคาไม่เท่ากัน กล่าวกันว่า...บางเล่มราคามากกว่าที่ดินหนึ่งผืน หรือดาบที่ดีเพียงเล่มเดียวอาจจะมีราคาสูงกว่าหอกสามร้อยเล่ม

ในสมัยโบราณดาบจึงไม่ใช่อาวุธที่สามารถจะซื้อมาใช้ในกองทัพได้ นอกจากเป็นสมบัติส่วนตัวของเหล่าซามูไรเท่านั้น



ช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน

"ซาดาอิจิ กัสสัน" Sadaeji Gassan ช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เราอาจจะเคยเห็นท่านถือดาบไว้ในมือกับโฆษณานาฬิกาโรเล็กซ์เมื่อหลายปีก่อน

กัสสันเป็นตระกูลช่างตีดาบที่ตกทอดมากว่า ๗๐๐ ปี ปัจจุบันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมการตีดาบอย่างประณีตตามขั้นตอนและวิธีการแต่โบราณจากยุคทอง สมัยคามาคูระ โดยเป็นมรดกตกทอดมาถึง "ซาดาโตชิ กัสสัน" (Sadatoshi Gassan) ดาบซามูไรยังคงความประณีตงดงามถือเป็นงานศิลปะขั้นสูงสุดตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ปัจจุบันยังมีช่างตีดาบอีกจำนวนมากที่ตีดาบตามแนวทางดั้งเดิม


Sadatoshi Gassan
..........


ยุคสมัยของดาบซามูไร แบ่งออกได้ ๔ ยุค


๑. ยุคดาบโบราณ (Ancient Sword) ก่อนคริสต์ศักราช ๙๐๐ (ก่อน พ.ศ. ๑๔๔๓) ยุคที่ดาบของ "อามากุนิ" ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการถลุงเหล็กเนื้อดีในสมัยนาร่า


๒. ยุคดาบเก่า (Old Sword) ราวปี พ.ศ. ๑๔๔๓-๒๐๗๓ ถือเป็นยุคทองของดาบซามูไร แทบไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ศิลปะไทย จะอยู่ในช่วงเดียวกับศิลปะสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๘) จนถึงสมัยศิลปะสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐) ในขณะที่ปี พ.ศ. ๑๘๔๐ เป็นปีที่ดาบของ "มาซามูเน่" ถือกำเนิดขึ้นและภูมิปัญญาขั้นสูงสุดที่ตกทอดเป็นมรดกของดาบชั้นยอด

๓. ยุคดาบใหม่ (New Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๑๓๙-๒๔๑๐ ซึ่งอยู่ช่วงเดียวกับศิลปะสมัยอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ คือช่วงสมัยเอโดะ และยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศห้ามคนเข้าออกอย่างเด็ดขาด (พ.ศ. ๒๑๘๒)

๔. ยุคดาบสมัยโมเดิร์น (Modern Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึงปัจจุบัน ยุคที่ดาบทหารถือกำเนิดขึ้น (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๘๘) การผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการสงครามไม่มีพิธีกรรมแบบโบราณ ดาบญี่ปุ่นมัวหมองเพราะถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ การตัดคอเชลยศึกไม่ใช่ประเพณีของชนชั้นซามูไร พอมาถึงสมัยปัจจุบันดาบกลายเป็นงานศิลปะชั้นสูงที่มีราคาแพง



ชนิดของดาบซามูไร

ดาบมีหลายแบบและหลายประเภท แต่สามารถแบ่งชนิดหลักๆ ออกได้ ๓ ชนิดดังนี้

ดาบยาว (Long Sword)

๑. "ตาชิ" (Tachi) ดาบยาวของทหารม้า มีความโค้งของใบดาบมาก ใช้ฟันจากหลังม้า มีความยาวของใบดาบมากกว่า ๗๐ เซนติเมตร



Tachi

๒. "คาตานะ" (Katana) ดาบที่มาแทนที่ดาบตาชิของทหารม้า ตั้งแต่กลางสมัยมุโรมาชิ (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) สามารถใช้ต่อสู้บนพื้นดินได้คล่องตัวกว่า เพราะมีความโค้งน้อยควบคุมได้ง่าย ความยาวใบดาบโดยประมาณ ๖๐.๖ เซนติเมตรขึ้นไปถึง ๗๐ เซนติเมตร


บันทึกการเข้า
USP40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 07:04:52 AM »

อืม..นาย Spooner ใช้ได้ทีเดียวนี่   แบบนี้คุยกับคุณบัญชาได้นาน 
บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 07:06:20 AM »

Katana

..............

ดาบขนาดกลาง (Medium Sword)

"วากิซาชิ" (Wakizashi) ดาบที่ใช้พกพาคู่กับดาบคาตานะของซามูไร ใบดาบมีความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วถึง ๒๔ นิ้ว ดาบที่ซามูไรใช้สำหรับทำ "เซปปุกุ" เมื่อยามจำเป็น และเป็นดาบที่ซามูไรสามารถนำติดตัวเข้าเคหสถานของผู้อื่นกรณีเป็นผู้มาเยือนได้โดยไม่ต้องฝากไว้กับคนรับใช้



wakizashi

ตามปกติซามูไรจะพกดาบสองเล่ม และโดยธรรมเนียมห้ามพกดาบยาวเข้ามาในบ้านของผู้อื่น ต้องฝากไว้หน้าบ้านเท่านั้น

......

ดาบขนาดสั้น (Short Sword)

๑. "ตันโตะ" (Tanto) มีลักษณะคล้ายมีดสั้น ความยาวน้อยกว่าดาบวากิซาชิ



Tanto

๒. "ไอกุชิ" (Aikuchi) คล้ายมีดไม่มีที่กั้นมือ ใช้สำหรับพกในเสื้อ เหมาะกับสตรี



Aikuchi

ความงามของดาบซามูไร

ตลอดทั้งตัวดาบหากสังเกตจะเห็นว่าดาบนั้นมีความงดงามมาก งามตามธรรมชาติทั้งๆ ที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ จุดเด่นคงอยู่ที่ลักษณะใบดาบที่โค้งได้รูป ถือเป็นการออกแบบที่สุดยอด

ลวดลายน้ำบนใบดาบเรียกว่า "ฮามอน" ถูกประดิษฐ์ขึ้นมากว่าพันปีโดย "อามากุนิ" ไม่เป็นเพียงลวดลายที่งดงามอย่างเดียว แต่เป็นความลับของคมดาบด้วย

ในส่วนของที่กั้นมือเรียกว่า "Tsuba" (Handguard) มักทำจากเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง หรือเงิน เป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยม มีการทำลวดลายต่อเนื่องทั้งสองด้านมาตั้งแต่โบราณ มีมากมายหลายแบบจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (ยกเว้นของดาบทหารที่มีลวดลายเดียวเฉพาะเท่านั้น)

ส่วนด้ามจับที่ทำด้วยไม้ หุ้มทับด้วยหนังปลากระเบนและผ้าไหม พับเว้นช่องเป็นรูปข้าวหลามตัด คือเอกลักษณ์ของดาบที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

เรื่องราวของดาบยังมีอีกมากมาย ล้วนแต่เป็นรายละเอียดที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นลายของเนื้อเหล็กที่เกิดจากการตีเหล็กและหลอม, ชนิดของลวดลายฮามอนบนใบดาบ หรือดาบกับการทำ "เซปปุกุ" หรือการคว้านท้อง เป็นต้น

จากประสบการณ์ของผู้เขียน...ที่ได้สัมผัสกับดาบซามูไรเก่า พบว่าตัวดาบมีคุณลักษณะพิเศษ คือสามารถทรงตัวให้วางตั้งอยู่บนฝ่ามือได้โดยตัวดาบไม่ล้มแม้จะขยับมือไปมา จากการทดลองดูด้วยดาบซามูไรจำนวน ๓ เล่ม ซึ่งสามารถตั้งได้ทั้งหมด คงไม่ใช่เพราะความบังเอิญ เพราะว่ายังทดลองเอาดาบของไทยมาวางดู แต่ไม่สามารถตั้งได้อย่างดาบญี่ปุ่น

ปัจจุบันดาบญี่ปุ่นกลายเป็นงานศิลปะที่มีราคาสูงมาก ดาบที่ขายเป็นของที่ระลึกนั้นจะไม่คม และทำด้วยสเตนเลส เป็นของประดับบ้าน

ดาบยังมีการผลิตในต่างประเทศด้วย เช่น ประเทศสเปนและไต้หวัน ส่วนดาบที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นตามขั้นตอนแบบพิธีโบราณนั้น ก็ยังมีอยู่มากมาย ยังคงเป็นดาบแท้ตีใบดาบด้วยเหล็ก หลายๆ ตระกูลอย่าง "ตระกูลกัสสัน" ยังใช้เหล็กเนื้อดีมีความคมกริบเหมือนเกือบพันปีที่ผ่านมา

ดาบถูกตกแต่งหลายๆ แบบมากมายด้วยเงิน, ทอง การประดับประดาและการแกะลวดลายลงบนใบดาบ

รัฐบาลญี่ปุ่นดูแลการผลิตดาบอย่างเข้มงวดเพื่อให้ทรงคุณค่าต่อไปอย่างมีเอกลักษณ์ แม้ปัจจุบันดาบจะไม่ได้เป็นจิตวิญญาณของซามูไรอย่างแต่ก่อน แต่ก็คงเป็นตำนานแห่งอาวุธสังหาร และงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดสืบไป



ข้อมูลประกอบการเขียน

๑. อิชิอิ โยเนะโอะ, โยชิกาวะ โทชิฮารุ. ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ๖๐๐ ปี. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๒.

๒. ภิรมย์ พุทธรัตน์ แปล. ซามูไร นักรบชนชั้นของญี่ปุ่น. อมรการพิมพ์, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๐.

๓. John M. Yumoto. Samurai Swords a Handbook. thirty-sixth printing, Charles E. Tuttle Publishing Company, Inc. Tokyo, 2000.

๔. David Miller. Samurai Warriors. Pegasus Publishing Ltd, New York, 1999.

๕. Soul of The Samurai Sword. Discovery Channel.

ถ้างานนี้อยู่ใกล้ ๆ คงต้องไปแน่ครับ....เพื่อเป็นการอัพเดท ข้อมูลใหม่.   ๆ   ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ.....ครับ.. Smiley
บันทึกการเข้า
ช่าง...ตู่....
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 39
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 731



« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 08:56:25 AM »

บันทึกการเข้า

...ตากแดดที่แสนร้อน...ยังเย็นได้ด้วยเหงื่อกาย....
...ตากแอร์เย็นสบาย....แต่ร้อนใจดังไฟเผา......

นักะติ๊ Club
รัตตรา
"อร่อย..อารมณ์"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 506
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6849


08-21491911 08-59591911


« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 09:46:17 AM »

        

                                    

                                 
                                             
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 10, 2006, 09:39:17 PM โดย rattra » บันทึกการเข้า


"จงคิดว่า มีใคร ได้มองอยู่...เฝ้ามองดู ตัวเรา อย่างเฝ้าจ้อง
ทำสิ่งใด รู้ได้ สายตามอง...อย่างน้อยต้อง รู้ละอาย ในหมายทำ"
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #7 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 09:56:15 AM »

กิจกรรมน่าสนใจ เดี๋ยวนี้มีทำเลียนแบบออกขายเป็นชุดราคา 1.5 -2 พันบาท มี 2 เล่มพร้อมขาตั้งโชว์

เข้าใจว่าคงใช้เหล็กคุณภาพไม่ดีนัก แต่ก็สวยดี
บันทึกการเข้า

                
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 10:43:10 AM »

ไหน ๆ ก็กล่าวถึงเรื่องของดาบแล้ว ก็ต่อซะเลยครับ...


การตายที่มีเกียรติของซามูไรญี่ปุ่นคือ การทำฮาระคิริ (Harakiri) หรือเซ็ปปุกุ (Seppuku) หรือการคว้านท้อง การตายแบบนี้ต้องใช้พลังจิต และความอดทนอย่างสูงที่จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ซึ่งมาจากการใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา แล้วกรีดมาทางซ้ายจากนั้นดึงมีดขึ้นข้างบน การคว้านท้องเช่นนี้ เป็นการเปิดเยื่อบุช่องท้องแล้วตัดลำไส้ให้ขาด การตายด้วยวิธีนี้นอกจากเป็นการตายอย่างมีเกียรติแล้ว ยังเป็นการแสดงความกล้าหาญและพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับจิตใจของตนเอง...

เกราะ
พูดถึงซามูไรคนมักจะนึกถึงเสื้อเกราะและหมวก ซึ่งทำจากเหล็กกล้าขนาดบาง (ช่วงศตวรรษที่ 5 และ 6) และมีลักษณะเป็นชั้นบางๆ ซ้อนกันอย่างเกราะซามูไรที่เห็นกันในปัจจุบันนี้ เกราะแบบนี้ ทำจากแผ่นเหล็กบางๆ ร้อยซ้อนกันเป็นแผ่น แล้วเคลือบด้วยแลคเกอร์อีกชั้นเพื่อกันน้ำ จากนั้นนำมาประกอบกันเป็นชุดโดยใช้เชือกหนังร้อยให้เกยกัน เกราะดั้งเดิมจะมีสองรูปแบบด้วยกัน ดังนี้:

• โยโรอิ – เกราะสำหรับซามูไรขี่ม้า ซึ่งมีหมวกเกราะน้ำหนักมากและแผงกำบังไหล่ด้วย
• โดมารุ – เกราะสำหรับซามูไรเดินเท้า เป็นเกราะสวมพอดีตัวและมีน้ำหนักเบา
                                                                           
ต่อมาเมื่อการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมีบทบาทมากขึ้น เกราะแบบโดมารุจึงได้รับความนิยมในหมู่ซามูไรมากกว่า และมีการดัดแปลงรูปแบบให้มีหมวกน้ำหนักมาก แผงกำบังไหล่และคางน้ำหนักเบาด้วย

หมวกซึ่งเรียกว่า คาบุโตะ ทำจากแผ่นเหล็กที่ยึดติดกันด้วยหมุดเหล็ก ซึ่งในบางแบบอาจมีหมุดเหล็กดังกล่าวเรียงเป็นแผงนอกหมวกเพื่อให้ดูมีเอกลักษณ์ ซามูไรชั้นที่สูงขึ้นไปจะมีตราประจำตระกูลและเครื่องประดับอื่นๆติดอยู่บนหมวกด้วย บ้างก็มีหน้ากากเหล็กเป็นภาพปีศาจติดอยู่ด้วย พร้อมหนวดเคราทำจากขนม้า ในยามสงบ การประดับตกแต่งหมวกยิ่งเป็นไปอย่างเอิกเกริกจนกลายเป็นงานศิลปะไปสำหรับสมัยปัจจุบัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 10, 2006, 10:53:58 AM โดย SPOONNER » บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 10:48:17 AM »

การสวมเกราะ

ในการออกศึก ซามูไรจะแต่งองค์ทรงเครื่องครบครัน เพื่อป้องกันอาวุธศัตรู ขั้นตอนการสวมใส่เสื้อเกราะจึงต้องพิถีพิถันมาก

เริ่มแรกจะต้องใส่ชุดชั้นใน ซึ่งมีผ้าเตี่ยวแบบพิเศษ ตามด้วยชุดกิโมโนที่ทำด้วยผ้าลินินอย่างดี กางเกงทรงโปร่งขายาว รวมทั้งสวมหมวกผ้าบุนวมเพื่อรองรับน้ำหนักหมวกเล็กอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงจะนำเสื้อเกราะเหล็กมาสวมทับ


จุดตาย


การต่อสู้นั้นไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือตั้งรับก็ตาม ย่อมไม่เกินจุดตาย 9 จุดนี้
กลางกระหม่อม
ท่าฟันเฉียงซ้าย
ท่าฟันเฉียงขวา
ฟันระดับสะโพกซ้าย
ฟันระดับสะโพกขวา
ฟันเฉียงบนซ้าย
ฟันเฉียงบนขวา
ฟันทวนพายุ(ฟันจากล่างขึ้นบน)
ท่าทะลวง(ใช้ในระยะประชิด)




บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 10:50:59 AM »

ถ้ากล่าวถึงซามูไรแล้ว...ไม่ได้กล่าวถึง..คำว่า "บูชิโด" ก็รู้สึกว่ากะไร ๆ อยู่  ก็เลยขอต่ออีกนิดนะครับ....


ลัทธิบูชิโด....... Smiley

      คงต้องท้าวความก่อนว่าญี่ปุ่นในสมัยก่อน ลัทธิศาสนาได้ถูกริดรอนเสรีภาพและถูกห้ามแพร่หลาย ยกเว้นลัทธิขงจื๊อเพราะเป็นลัทธิที่เกื้อหนุนต่อการปกครองแบบทหาร ซึ่งเป็นยุคที่เกิดพวกนักรบหรือซามูไร (Samurai) และมีสำนักสำหรับฝึกซามูไรหลายแห่ง ประกอบกับได้มีผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งคือ ยามากะ โซโก (Yamaga Soko - ค.ศ. 1622 - 1685) ได้นำแนวคิดแบบชินโตกับขงจื๊อมาประสานกัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างลัทธิบูชิโด (Bushido)

ลัทธิบูชิโด คือ ลัทธิที่ยอมรับและยกย่องวิถีแห่งคนกล้า ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า"ซามูไร" (Samurai) คำว่า "บูชิโด" ได้แปลว่า "หนทางของอัศวินนักต่อสู้" (the way of the fighting knight) ซึ่งเราอาจแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า "มรรควิธีที่จะนำไปสู่ความเป็นซามูไร"

ลัทธิ "บูชิโด" สอนให้เหล่าซามูไรยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน ซามูไรถือว่าความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ปรัชญาแห่งบูชิโดกล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งเบาบางยิ่งกว่าขนนก"

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นถูกบังคับให้ปิดประเทศ จึงทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ทันกับความเจริญของโลกในขณะนั้น ทำให้ศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่ในญี่ปุ่นสามารถเผยแพร่ได้ง่ายกว่าแต่ก่อน แม้แต่รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นก็เปิดโอกาสให้ประชาชนนับถือศาสนาใดก็ได้


บันทึกการเข้า
Sig228-kolok
KU47 AGGIE / SOTUS HS9VOL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2947
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 40236



« ตอบ #11 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 11:41:11 AM »

ด้วยความเคารพครับ........


คิดจะเก็บแบบดีๆไว้สักเล่มครับ แต่เห็นราคาแล้วคงเป็นลำดับท้ายๆ ของๆเล่นครับ... Grin


ขอบคุณครับ..................
บันทึกการเข้า

ขายที่ดิน 20 ไร่ บริเวณคลอง 8 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมฯ ไร่ละ 1.8 ล้าน โทร 086-2859988
กดที่นี่ >>http://www.wikimapia.org/#lat=14.0499777&lon=100.7824481&z=17&l=0&m=b
USP40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 12:41:06 PM »

อ้างถึง
บูชิโด
Bushido code = Way of the Warrior. Wink
บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 12:55:36 PM »

อ้างถึง
บูชิโด
Bushido code = Way of the Warrior. Wink


Way of the Warrior.......วิถีแห่งนักสู้........พอใช้ได้มั้ยครับพี่... Grinขออนุญาตครับ...โลโก้ของพี่เจษ แปลกดีครับ...เขาคือใครหรือครับ... Smiley
บันทึกการเข้า
USP40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2006, 01:43:52 PM »

อ้างถึง
บูชิโด
Bushido code = Way of the Warrior. Wink


Way of the Warrior.......วิถีแห่งนักสู้........พอใช้ได้มั้ยครับพี่... Grinขออนุญาตครับ...โลโก้ของพี่เจษ แปลกดีครับ...เขาคือใครหรือครับ... Smiley
It's me  Grin Grin
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.11 วินาที กับ 20 คำสั่ง