เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 16, 2025, 06:21:15 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เขาพระวิหาร 2505 เกาะกูด 2549 !?  (อ่าน 4670 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
worth
Hero Member
*****

คะแนน 474
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3069


« ตอบ #15 เมื่อ: กันยายน 13, 2006, 10:46:28 AM »

พันธมิตรเป็นใคร? เป็นตัวแทนของใคร?   เราน่าจะแก้ปัญหาโดยระบบสภา  แต่พรรคใหญ่ก็ไม่ยอมลงเลือกตั้ง  นี่แหละคือปัญหา  ก็น่าเห็นใจฝ่ายค้าน  ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ไม่มีโอกาได้เกิด  ทักษิณเป็นนายกยาวแน่นอน 

   เห็นด้วยครับ ตรวจสอบกันตามครรลองประชาธิปไตย น่าจะมีผลกระทบน้อยกว่าปัจจุบันนี้ ที่ค้านดะไปทุกเรื่อง Huh Huh
บันทึกการเข้า

รักเธอ....ประเทศไทย
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #16 เมื่อ: กันยายน 13, 2006, 11:05:54 AM »

เมื่อ 1 ปีก่อนผมก็สงสัยเหมือนกันครับ ก็เลยไปดู รายการเมืองไทยรายสัปดาห์
ซึ่งพันธมิตร ปชช.  มีมาหลายเดือนแล้วครับ
 พันมิตรเป็นใคร ...คนอื่นผมไม่รู้  ส่วนตัวผมเป็นพันธมิตรคนหนึ่ง  ทำงานที่สีลมเลิกงานก็มุดสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินไปสวนลุมฟังข้อมูลดีๆ  บางทีก็ล่องเรือไปธรรมศาสตร์ มีชุมนุมก็ไปกับเขาเพราะพอรู้ข้อมูล  ก็มีจุดยืนของตัวเอง
ประชาธิปไตย...  คนไทยต้องศึกษาให้มากกว่านี้ครับ  ที่เราฟังนักการเมืองเอามาอ้างนั้น  แค่ประเด็นที่สมประโยชน์ของเขาครับ  เขาไม่โกหก แต่พูดไม่ครบ
เหมือนนักโภชนศาสตร์ บอกว่า หัวกลอย มีวิตามิน  แต่ไม่ยอมบอกว่า  ก่อนจะกินได้นั้น  ต้องเอาไปฝานแช่น้ำล้างพิษกี่คืน  และต้องหุงให้สุก จึงจะเอามากินได้  คนกินกลอยดิบก็อาจจะเมา ตาย
ประชาธิปไตยก็มีเงื่อนไขเหมือนกันครับ  ว่า  ประชาชนต้องไม่ถูกปิดกั้นด้านข้อมูลข่าวสาร  มีสิทธิแสดงความเห็น 9ล9  ซึ่งบ้านเราไม่เป็นเช่นนั้น 
ความจริงก็คือความจริง  จะแฉในฟรีทีวี  หรือ  โดยการชุมนุม  ความจริงยังเป็นความจริง
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
JC357
Jr. Member
**

คะแนน 1
ออฟไลน์

กระทู้: 34


« ตอบ #17 เมื่อ: กันยายน 13, 2006, 09:01:15 PM »

เชิญครับ...ผมเบื่อจริงๆ กับกระทู้แบบนี้ โต้กันไปโต้กันมา...ผมรอครับเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ไปใช้สิทธิผมก็เท่านั้น.. Angry
บันทึกการเข้า
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« ตอบ #18 เมื่อ: กันยายน 13, 2006, 10:19:34 PM »

นั่นคือปฏิเสธการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นที่กู้ยืมจากเอ็กซิมแบงก์ของประเทศไทย แต่เงินไม่ได้ตกถึงมือรัฐบาลพม่า เพราะมีการออกเช็คข้ามถนนไปให้กับบริษัทนักการเมืองในประเทศไทย

ขอรายละเอียดหน่อยครับ ตกลงพม่าเบี้ยวเงินกู้ธนาคารexim bank ที่พม่ากู้ไปจ่ายชินคอร์ป โดยรัฐบาลไทยค้ำประกันหรือครับ
ประชาธิปไตยประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ารัฐสภาและรัฐบาลรักษาการณ์(รักษาการณ์มาเกือบปีแล้วนานเกินไปจนน่าจะเป็นรัฐบาลเถื่อนจริงๆนะ รัฐบาลรักษาการณ์ที่ถูกทำนองคลองธรรมไม่น่าจะนานเกิน3 เดือนเต็มที่ก็ครึ่งปีว่ามั้ยครับหน้าด้านหน้าทนยื้ออำนาจจริงๆ)จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
M 60 - 7 รักในหลวง
๗๗๖๙ "จับตาทุกความเคลื่อนไหว เฝ้าฟังทุกคำพูดของผู้คิดร้ายทำลายชาติ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1562
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2569



« ตอบ #19 เมื่อ: กันยายน 14, 2006, 12:48:53 AM »

เข้ามาติดตามข้อมูลข่าวสารอีกครับ ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #20 เมื่อ: กันยายน 14, 2006, 10:33:10 AM »

เท่าที่ทราบ  อาจจะเป็นอย่างนั้น  และ ประเทศไทย(ไม่รวมพวกไอ้...)อยู่ในภาวะเสียเปรียบ
รัฐบาลพม่า กู้เงินจาก ไทย (exim bank) รัฐบาลไทยค้ำประกัน
เพื่อเอาไปลงทุนด้านคมนาคมในพม่า  โดยมี ลูกเหลี่ยม และลูกนายพลพม่าคนหนึ่ง(ขิ่นยุ้นต์หรือเปล่าไม่แน่ใจ) จอยกันเพื่องาบโครงการนี้
ผลก็คือเงินแค่ฝ่านบัญชีพม่าเท่านั้น  ท้ายที่สุดก็ไปจ๋อมลงในกระเป๋าสองผู้นำผ่านลูกนอมินี(ทุจริตเชิงนโยบาย)
จากนั้นเกิดการยึดอำนาจผู้นำพม่าคนนั้นจากข้อหาคอรัปชั่น  เมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ  ธุรกิจสื่อสารของ SATTEL ในพม่าจึงสั่นไหวไปด้วย เพราะเป็นแหล่งรายได้ใหญ่ของSATTEL อายุสัมปทานกี่ปีจำไม่ได้  ต้องถามทักษินเพราะบินไปพม่าบ่อยๆ เราจึงเห็นการเดินทางไปพม่าของทักษิณในครั้งก่อนที่โดนวิจารณ์อย่างกว้างขวาง
นั่นคือปฏิเสธการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นที่กู้ยืมจากเอ็กซิมแบงก์ของประเทศไทย แต่เงินไม่ได้ตกถึงมือรัฐบาลพม่า เพราะมีการออกเช็คข้ามถนนไปให้กับบริษัทนักการเมืองในประเทศไทย

ขอรายละเอียดหน่อยครับ ตกลงพม่าเบี้ยวเงินกู้ธนาคารexim bank ที่พม่ากู้ไปจ่ายชินคอร์ป โดยรัฐบาลไทยค้ำประกันหรือครับ
ประชาธิปไตยประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ารัฐสภาและรัฐบาลรักษาการณ์(รักษาการณ์มาเกือบปีแล้วนานเกินไปจนน่าจะเป็นรัฐบาลเถื่อนจริงๆนะ รัฐบาลรักษาการณ์ที่ถูกทำนองคลองธรรมไม่น่าจะนานเกิน3 เดือนเต็มที่ก็ครึ่งปีว่ามั้ยครับหน้าด้านหน้าทนยื้ออำนาจจริงๆ)จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจครับ
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #21 เมื่อ: กันยายน 14, 2006, 10:35:55 AM »

    จดหมายเปิดผนึก
       
       บ้านพระอาทิตย์
       102/1 ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม
       เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
       
       14 กันยายน 2549
       
       เรื่อง เรียกร้องขอให้ให้ทหารหาญของชาติ แสดงจุดยืนปกป้องผลประโยชน์ชาติ จากกรณีการเร่งรัดแบ่งเขตแดนทางทะเล ไทย-กัมพูชา
       เรียน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด – ผ่านไปยังพี่น้องทหารหาญในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกท่าน
       
       ตามที่ได้เป็นที่ประจักษ์กันทั่วไปแล้วว่า การเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมานนั้น มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเร่งเจรจาปัญหาการปักปันเขตแดนทางบก และการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนในทะเล โดยมุ่งหวังจะเร่งให้เกิดการเปิดสัมปทานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน
       
       ราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา อยู่ระหว่างกระบวนการเจรจาและกำหนดพิกัดเขตแดน ตลอดแนวพรมแดน 798 กิโลเมตร ทั้ง 73 หลักเขต ที่ได้ดำเนินอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2543 ทั้งนี้ โดยเป็นไปตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (ลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2543) แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเขตแดนทางทะเลกลับมีความสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากกว่า สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2515 ที่ราชอาณาจักรกัมพูชาประกาศเขตทางทะเลฝ่ายเดียว โดยวัดจากหลักเขตที่ 73 บ้านหาดเล็ก อำเภอหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เป็นแนวเส้นตรงพาดผ่านเกาะกูด และวกลงใต้ลากยาวขนานกับชายฝั่งอ่าวไทยจนถึงบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ต่อมาเมื่อปี 2516 ราชอาณาจักรไทยได้ประกาศเขตทางทะเล ที่มีเขตแดนเป็นคนละเส้นกับที่ราชอาณาจักรกัมพูชาได้ประกาศไว้ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเจรจาเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลอย่างเป็นทางการมาแล้ว 3 ครั้ง คือ เมื่อเดือนธันวาคม 2516 เดือนเมษายน 2538 และเดือนกรกฎาคม 2538 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
       
       พื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา อันเป็นปมปัญหาให้ต้องเจรจากันดังกล่าวนี้มีพื้นที่ประมาณ 25,789 ตารางกิโลเมตร เป็นที่รับรู้กันทั่วว่าเป็นแหล่งที่คาดว่าจะมีทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแหล่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์
       
       พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี มีความพยายามจะเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลดังกล่าวมาแล้วอย่างต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับการเตรียมการจะหาประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรดังกล่าวพร้อมกันไป ดังจะเห็นได้จากข่าวที่นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์ เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ และสโมสรฟุตบอลฟูแล่ม ในประเทศอังกฤษ เดินทางมาประเทศไทยในฐานะแขกส่วนตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2543 ในชั้นแรกก็อ้างว่าเพื่อสังเกตการณ์พัฒนาการฟุตบอลไทย โดยได้ร่วมมือกับโครงการของพรรคไทยรักไทยส่งนักฟุตบอลเยาวชนไปฝึกที่อังกฤษ แต่ในชั้นต่อมาก็มีข่าวว่านายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยดมีความสนใจที่จะร่วมลงทุนในกิจการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทย และเขตทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ด้วย
       
       รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาปัญหาเขตทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา ด้วยการมีบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ยังผลให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา ประชุมกันครั้งแรกเมื่อ เดือนธันวาคม 2544 นับจากนั้นมา การเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเล ไทย-กัมพูชาได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิดจากผู้ที่รักชาติรักแผ่นดิน เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายได้มีข้อเสนอที่ชัดเจนของตนเอง โดยเฉพาะฝ่ายไทย ยืนยันที่จะดำรงสิทธิและอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูด ซึ่งมีหลักฐานที่พิสูจน์ชัดทั้งทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางวัฒนธรรมว่า ดินแดนตรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ จนทำให้ต้องมีการกันพื้นที่ในการเจรจาออกเป็น 2 ส่วน คือ
       
       1. เหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือขึ้นไป เป็นจุดที่ยากจะเจรจาลงตัว
       2. ใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือลงมา เป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมในเขตพื้นที่ทับซ้อน ที่กำหนดให้มีการพัฒนาร่วม
       
       คณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ อาทิ คณะนายทหารกรมแผนที่ทหาร นายทหารจากกองทัพเรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ และข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ พยายามดำเนินการเจรจาปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความยากลำบาก และด้วยเจตจำนงที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มที่
       
       จนกระทั่ง การเดินทางไปราชอาณาจักรกัมพูชาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา ได้มีกระบวนการเร่งรัดให้การเจรจาปักปันเขตแดนทางทะเลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพียงเพื่อหวังให้มีการเจรจาเปิดสัมปทานขุดเจาะก๊าซและน้ำมันในพื้นที่พัฒนาร่วม หรือ JDA เป็นหลัก การเร่งรัดที่มีเป้าหมายดั่งว่านั้น ทำให้คณะทำงานฝ่ายไทยที่พยายามจะกันประเด็นละเอียดอ่อนที่ยังตกลงไม่ได้ออกมาก่อนในหลายประเด็น จำเป็นต้องรื้อเรื่องดังกล่าวกลับมาเร่งเจรจา เพื่อให้ได้ข้อตกลงกับราชอาณาจักรกัมพูชาตามที่รัฐบาลกำหนด
       
       ผมทราบมาว่า นายทหารหาญของกองทัพไทยที่ได้รับการปลูกฝังให้พิทักษ์ผืนแผ่นดินและน้ำทุก ๆ ตารางนิ้วหลายคน มีความกังวลใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะว่า หากราชอาณาจักรไทย “ยอมรับ” เขตแนวพื้นที่พัฒนาร่วมใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เพื่อเร่งเปิดสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ก็เท่ากับเป็นการ “ยอมรับโดยปริยาย” ในเส้นแบ่งเขตแดนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ซึ่งจะทำให้การเจรจาเรื่องเขตแดนช่วงดังกล่าวมีความยากลำบากขึ้นหลายเท่า หรืออาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือการเร่งรัดให้ราชอาณาจักรไทยยอมรับเส้นเขตแดนทางทะเลที่ราชอาณาจักรกัมพูชาขีดทาบทับเกาะกูดในการเจรจารอบต่อ ๆ ไปนั่นเอง
       
       ในอดีต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ผู้ทรงเป็นพระบิดาของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เคยทรงตรอมพระทัยเศร้าโศกอย่างยิ่งยวดในครั้งที่ประเทศไทยต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับมหาอำนาจ เมื่อ ร.ศ.112 (พ.ศ. 2436) ถึงขนาดที่ทรงพระประชวรหนัก ไม่เสวยพระโอสถ ไม่โปรดให้บุคคลใกล้ชิดเฝ้า จนเป็นที่ปริวิตกแก่บรรดาเจ้านายและข้าราชการบริพารที่เฝ้าดูพระอาการของท่านอยู่ ทรงพระราชนิพนธ์โคลง-ฉันท์ “ลาสวรรคต” พระราชทานแด่พระบรมวงศานุวงศ์สองสามพระองค์ โดยทรงเปรียบสถานการณ์เหมือนกับครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียให้พม่า ทรงเปรียบพระองค์เหมือนกับขุนหลวง 2 พระองค์ คือ ขุนหลวงหาวัด และขุนหลวงเอกทัศน์ ที่เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่สามารถรักษาบ้านเมืองได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นยังตราตรึงเป็นที่ประจักษ์ในจิตใจของทหารหาญแห่งกองทัพไทยทุกผู้ทุกเหล่า
       
       กระนั้น ก็ยังคงมีเหตุการณ์ให้ราชอาณาจักรไทยมีอันต้องเสียดินแดนอีกครั้งหนึ่งจนได้ โดยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 อันเนื่องมาจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้พิพากษา ให้ ปราสาทเขาพระวิหาร พื้นที่ประมาณ 150 ไร่ เป็นของราชอาณาจักรกัมพูชา ยังความเจ็บปวดช้ำให้กับชนชาวไทยที่ร่วมกันบริจาคเงินคนละ 1 บาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้คณะทนายความไปสู้คดีสำคัญแทนคนไทยทั้งประเทศ
       
       อย่างไรก็ดี การเสียดินแดนครั้งสำคัญ 2 ครั้งที่ยกตัวอย่างมาก็เป็นไปด้วยเหตุสุดวิสัย ครั้งแรกเป็นไปด้วยความจำเป็นเพื่อรักษาเอกราชของราชอาณาจักรไทยโดยรวมไว้ เสมือนเป็นการจำใจตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ในครั้งต่อมา เป็นเพราะปัญหาทางเทคนิคเรื่องการทำแผนที่ เพราะฝรั่งเศสเป็นผู้จัดทำแผนที่ไว้ และรัฐบาลรวมทั้งประชาชนชาวไทยทั้งมวลได้ร่วมกันต่อสู้ตามกฎกติการะหว่างประเทศอย่างถึงที่สุดแล้ว
       
       กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว การเสียดินแดนครั้งสำคัญ 2 ครั้งที่ยกตัวอย่างมา และครั้งอื่น ๆ ล้วนถือเป็นความเจ็บช้ำที่เกิดจากคนภายนอก หรือมหาอำนาจต่างชาติ หยิบยื่นให้กับประชาชนชาวไทย
       
       แต่ในครั้งล่าสุดที่กำลังจะเป็นปัญหาอยู่นี้ หากว่าราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนเหนือเกาะกูด และ ในผืนน้ำของอ่าวไทย แม้แต่ตารางนิ้วเดียว โดยเกิดจากวาระซ่อนเร้นของกลุ่มผลประโยชน์ที่ครองอำนาจรัฐอยู่ด้วยความฉ้อฉล จะต้องถือว่าราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนอีกครั้งหนึ่งโดยน้ำมือของคนในชาติโดยแท้ ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะเจ็บช้ำยิ่งกว่ากรณีร.ศ. 112 และคดีเขาพระวิหารอีกสักกี่ทบเท่า !
       
       โดยฉันทานุมัติของพี่น้องประชาชนที่ร่วมติดตามรับชมรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” กระผมขอเรียกร้องมายังพี่น้องทหารหาญทุกหมู่เหล่าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้วของราชอาณาจักรไทย ได้ร่วมกันติดตาม ตรวจสอบ และป้องกันการเจรจาแบ่งปันเขตแดนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด หากมีเหตุผิดปกติอันเกิดจากกลุ่มอำนาจอาธรรม์เร่งรัดให้คณะทำงานฝ่ายไทยยินยอมตามข้อเสนอใด ๆ ที่ไม่ยินยอมมาก่อน ขอให้พี่น้องทหารหาญทุกหมู่เหล่าช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ในทุกวิถีทางอย่างสุดความสามารถ เพื่อมิให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิให้พระองค์ต้องทรงโศกเศร้าพระทัย ซ้ำรอยสมเด็จพระเมื่อครั้งราชอาณาจักรสยามประเทศเสียดินแดน
       
       จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และร่วมใจกันดำเนินการปกป้องมาตุภูมิ เพื่อถวายเป็นราชพลีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อลูกหลานไทยในภายภาคหน้าสืบไป
       
       ขอแสดงความนับถือ
       
       (นายสนธิ ลิ้มทองกุล)
       ผู้ดำเนินรายการ
       เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
godsira รักในหลวง
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 46
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 459



« ตอบ #22 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2009, 03:54:46 PM »

UP กระทู้ครับ

เปิดหลักฐาน สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ระบุชัด “เกาะกูด” คือสมบัติชาติไทย!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2552 15:18 น.

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073883

นักวิชาการ กม.ทางทะเล ชี้ชัด “เกาะกูด” และทรัพยากรในอ่าวไทย คือสมบัติของชาติไทยที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในสนธิสัญญากรุงสยาม-กรุงฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิในพื้นที่เกาะกูด รวมถึงเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลที่เขียนขึ้นมาเองก็ไม่สามารถนำมากล่าวอ้างได้
       
       จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ประเทศกัมพูชาได้จัดทำแผนที่และลากเส้นเขตหลักแดนทางทะเลของประเทศกัมพูชาแล้วเตรียมประกาศเป็นหลักเขตแดนร่วมกับไทย แต่แผนที่ดังกล่าวได้มีการลากเส้นเขตแดนผ่านเข้ามาในบริเวณเกาะกูด กล่าวคือได้มีการอ้างว่าพื้นที่บนเกาะกูดเป็นของไทย
       
       วันนี้ (30 มิ.ย.) “ASTV ผู้จัดการออนไลน์” ได้รับข้อมูลและหลักฐานอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากนักวิชาการด้านกฎหมายทางทะเล คณะลอจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่เปิดเผยข้อมูลว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ทางการกัมพูชากล่าวอ้างว่า “เกาะกูด” เป็นของกัมพูชานั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะใน “สนธิสัญญาระหว่างกรุงสยาม และกรุงฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1907” (ซึ่งปัจจุบันก็มีหลักฐานดังกล่าวปรากฏอยู่ทั้งที่ในกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศของไทย และกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
       
       “รัฐบาลฝรั่งเศส ยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราด กับทั้งเกาะหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม”
       
       นอกจากนี้ เมื่อฝรั่งเศสได้ทำสัญญาระบุว่าดินแดนดังกล่าวเป็นของประเทศไทยแล้ว ข้อมูลดังกล่าวก็ได้ถูกนำมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาของไทย เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗) โดยระบุข้อความว่า “รัฐบาลฝรั่งเศส ยอมยกดินแดน เมืองด่านซ้าย และเมืองตราดกับทั้งเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไป จนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม” เช่นเดียวกับในสนธิสัญญา ดังนั้นจึงมีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนว่า “เกาะกูด” เป็นสมบัติของไทยอย่างแน่นอน
       
       นักวิชาการผู้นี้กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ตั้งแต่อดีต เกาะกูดถือเป็นอาณาเขตพื้นที่ของไทยมาเป็นเวลานานแล้ว โดยบนเกาะพบว่ามีหลักศิลาจารึกโบราณแผ่นหนึ่ง ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณเกาะกูดแห่งนี้เป็นแผ่นดินสยาม อีกทั้งยังมีการสร้างกระโจมไฟเอาไว้อำนวยความสะดวกด้านการเดินเรือทางทะเลของคนไทย ซึ่งในปัจจุบันทั้งพื้นที่ซึ่งแผ่นศิลาจารึกตั้งอยู่ และกระโจมไฟดังกล่าวก็อยู่ในเขตพื้นที่ของทหารเรือไทยดูแล จึงยิ่งเป็นสิ่งตอกย้ำได้อย่างชัดเจนว่าไทยได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินเกาะกูดนานมากแล้ว และทางกัมพูชาเองก็ไม่เคยอ้างสิทธิ์ใดๆ ดังนั้น การที่กัมพูชาเขียนแผนที่เขตแดนใหม่ว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งนั้นจึงไม่ถูกต้อง ซึ่งไทยก็จะต้องมีการดำเนินการเจรจาในเรื่องดังกล่าวต่อไป
       
       ทั้งนี้ หากสังเกตจากในภาพแผนที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นคนขีดเส้นแบ่งขึ้นมาใหม่ (เส้นประยาว) จะเห็นได้ว่า แผนที่ซึ่งทางกัมพูชาวาดขึ้นนั้น มีการตัดแบ่งเกาะกูดออกเป็น 2 ส่วน เพื่อที่เมื่อลากเส้นเขตแดนทางทะเลแล้วจะปรากฏว่าพื้นที่กรรมสิทธิ์ทางทะเลของกัมพูชา เลยเข้ามาในเขตอ่าวไทยมากยิ่งขึ้น (ซึ่งบริเวณนั้นเองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรปิโตรเลียม และน้ำมัน) และหากกัมพูชาจะลากเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลตามที่ควรจะเป็นตามหลักสากล นั่นคือ 12 ไมล์ทะเลจากแผ่นดินของกัมพูชาแล้วก็ได้แนวเขตตามเส้นประสั้น ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาณาเขตทางทะเลของกัมพูชาไม่เหลื่อมล้ำเข้ามาในพื้นที่อ่าวไทย
       
       แต่อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยบูรพาผู้นี้ระบุว่า สาเหตุที่ตนนำหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวมาเปิดเผยนั้นก็เพื่อต้องการให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข้อเท็จจริงถึงกรณีดังกล่าว และคลายความกังวลว่าพื้นที่ทะเลในอ่าวไทยจะต้องตกไปเป็นของประเทศกัมพูชา เพราะเท่าที่ตนได้ทำการศึกษาค้นคว้ามานาน ซึ่งก็ได้พบหลักฐานมากมายตามที่กล่าวมา ประกอบอีกหนึ่งหน้าที่ของตนนั้นก็ได้ช่วยงานด้านพื้นที่ทางทะเลของกระทรวงการต่างประเทศมานาน ก็ทำให้ทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของข้อพิพาทที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชาจะต้องนำหลักฐานมาอ้างอิงและอธิบายกับนานาประเทศต่อไป ไม่ได้หมายความว่าเมื่อกัมพูชาทำแผนที่มาแล้วไทยจะต้องยอมรับเสมอไป
       
       “คือที่นำเรื่องนี้มาพูดก็คือ ต้องการอยากจะบอกกับประชาชนทั่วไปว่า ไม่ต้องกังวล เพราะทางกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในฝ่ายเทคนิค ฝ่ายกฎหมาย หรือกรมต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมานาน และก็ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศมาโดยตลอด ดังนั้น ไม่ต้องกังวล ยืนยันได้ว่าเกาะกูดยังเป็นของไทย และจะไม่เสียไปให้ใครโดยเด็ดขาด ซึ่งเรื่องข้อพิพาทในเขตแดนทางทะเลของเรากับกัมพูชาก็ต้องมีการตกลงเจรจาแบบทวิภาคีกันต่อไป”
       
       พร้อมกล่าวด้วยว่า “ส่วนที่มีการกังวลกันว่าจะมีเรื่องการเมืองเกี่ยวข้องหรือไม่ อันนี้ผมว่าไม่นะ เพราะการเจรจาเรื่องแบบนี้มันถือเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งฝ่ายเทคนิคของกระทรวงต่างประเทศ เป็นผู้เจรจาดำเนินงาน รัฐบาลหรือรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจาเสียมากกว่า แล้วอีกอย่างหากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเขตแดนจริงก็ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย และนานาประเทศ ตลอดจนต้องมีการลงในราชกิจจานุเบกษาที่ประมุขของทั้งสองประเทศจะต้องลงนาม จึงอยากให้ประชาชนได้มั่นใจว่าเรื่องนี้ว่าจะมีการดำเนินการอย่างโปร่งใส และถูกต้องที่สุด”
บันทึกการเข้า
C.J. - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 314
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5383


ขอ...นัดเดียว


เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2009, 03:59:53 PM »

ถ้า ฮุนเซง เกิด ตายขึ้นมาดื้อๆ...

จะมีผลดีกับไทย มากน้อยเพียงใด ครับ... Smiley
บันทึกการเข้า

ธรรมของสัตบุรุษ

๑. ธัมมัญญุตา - รู้จักเหตุ ๒. อัตตัญญุตา - รู้จักผล ๓. อัตตัญญุตา - รู้จักตน ๔. มัตตัญญุตา - รู้ประมาณ ๕. กาลัญญุตา - รู้จักกาล ๖. ปริสัญญญุตา - รู้จักประชุมชน ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา - รู้จักเลือกบุคคล

http://www.dopaservice.com/eservice/content.do?ctm_id=gun&function=document&gro
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #24 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2009, 04:17:32 PM »

ถ้า ฮุนเซง เกิด ตายขึ้นมาดื้อๆ...

จะมีผลดีกับไทย มากน้อยเพียงใด ครับ... Smiley
ฮุนเซ็งเฮงซวยตาย พระเจ้าขี้เมืองหน้าเหลี่ยมๆขาดคู่คิดแผนการชั่วๆครับ
บันทึกการเข้า
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #25 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2009, 04:55:45 PM »

ถ้า ฮุนเซง เกิด ตายขึ้นมาดื้อๆ...

จะมีผลดีกับไทย มากน้อยเพียงใด ครับ... Smiley

แผ่นดินเขมรสูงขึ้นทันทีเป็นอย่างมาก

มีผลให้แผ่นดินไทยก็สูงขึ้นด้วย...แต่อาจไม่มากถ้า..ยังมีอีกคนอยู่
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #26 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2009, 07:44:17 PM »

ฮุนเซ็นตาย ทักษิณลำบากมากขึ้นครับ  คิก คิก
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
C.J. - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 314
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5383


ขอ...นัดเดียว


เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 02:16:50 PM »

เกือบแล้ว....ฮุนเซง Cheesy

Takhmao explosion injures two       
Written by Vong Sokheng     
Tuesday, 30 June 2009 

Blast near Hun Sen's house causes no fatalities: Cabinet.

AN EXPLOSION near the Kandal province residence of Prime Minister Hun Sen injured two military officials Sunday night, one of them seriously, according to a press release issued by the prime minister's Cabinet.

The reported injury count could not be independently verified, and the site remained closed to reporters and rights group workers who attempted to access it Monday.

The statement said the explosion occurred after a military truck loaded with ammunition caught fire at 7:30pm.

Residents on Sunday reported hearing a series of explosions that lasted between 10 and 15 minutes. Chea Savath, a monitor for the rights group Adhoc who went down to the site, said he heard reports from residents that the series of explosions was punctuated with nine loud blasts that sounded like "heavy bombs".

He said rights group officials and others were not allowed direct access to the site, adding that Adhoc had no choice but to take the government's word on the number of injuries.

"The incident is related to national security. Therefore, all of the authorities have tried to keep silent," Chea Savath said.

He added: "I think there were not many serious casualties. I think it just made several hundred villagers afraid and shocked."

The Cabinet statement said: "After the fire was completely put out, following a detailed report to Prime Minister Hun Sen, he authorised the Cabinet to report this regrettable incident to the public."

Heng Ratana, director general of the Cambodian Mine Action Centre (CMAC), said CMAC teams had cooperated with local authorities and soldiers to rid the site of pieces of ammunition that had not detonated during the series of explosions.

He said villagers, living two kilometres from the premier's residence in Takhmao town, did not report any casualties.

"It is safe now," Heng Ratana said.   

http://www.phnompenhpost.com/index.php/2009063026808/National-news/Takhmao-explosion-injures-two.html
บันทึกการเข้า

ธรรมของสัตบุรุษ

๑. ธัมมัญญุตา - รู้จักเหตุ ๒. อัตตัญญุตา - รู้จักผล ๓. อัตตัญญุตา - รู้จักตน ๔. มัตตัญญุตา - รู้ประมาณ ๕. กาลัญญุตา - รู้จักกาล ๖. ปริสัญญญุตา - รู้จักประชุมชน ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา - รู้จักเลือกบุคคล

http://www.dopaservice.com/eservice/content.do?ctm_id=gun&function=document&gro
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #28 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 02:21:17 PM »

น่าจะให้โดนเต็มๆนะ
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
godsira รักในหลวง
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 46
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 459



« ตอบ #29 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 04:07:00 PM »

up อีกครับ จะกลายเป็นกระทู้ ฮุนเซ็น ไปแล้ว แต่อ่านแล้วมันโมโหครับ ดูถูกคนไทย ทหารไทย   Angry ไอ้..........

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9520000074199

“ฮุนเซน” ปูดลับ หนำใจขู่ได้ทั้ง “เทพเทือก-ประวิตร!!”  โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2552 10:15 น.
 

ผู้จัดการออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีกัมพูชาสมเด็จฯ ฮุนเซน ได้ออกเตือนไทยอีกครั้งหนึ่งในวันอังคาร (30 มิ.ย.) หากคิดจะบุกยึดปราสาทพระวิหารกลับคืน จะต้องสู้รบกับทหารเขมรที่กรำศึกมาตลอด และฝ่ายไทยอาจจะต้องใช้ทหาร 30,000-50,000 คนเพื่อการศึกครั้งนี้
       สมเด็จฯ ฮุนเซนกล่าวว่า ได้เตือนเรื่องนี้กับนายสุเทพ เทือกสุบบรรณ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้วครั้งหนึ่งวันเสาร์ (27 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ที่บ้านพักเมืองตาขะเมา (Ta Khmao) ชานกรุงพนมเปญ
       เว็บไซต์ข่าวภาษาเขมรยอดนิยม Everyday.com.kh ตีพิมพ์เผยแพร่คำเตือนและคำขู่ของผู้นำกัมพูชาเมื่อวันอังคาร โดยกล่าวว่าสมเด็จฯ ฮุนเซนประกาศเรื่องนี้ระหว่างปราศรัยที่สถาบันการศึกษาแห่งชาติ (National Education Institute) ในตอนเช้า
       
       “ถ้าหากทหารไทยจะทำศึกเพื่อเอาคืนปราสาทพระวิหาร กองทัพบกไทยจะต้องเตรียมพร้อมที่จะใช้กำลังพลอย่างน้อย 30,000-50,000” เว็บไซต์ข่าวดังกล่าวระบุ
       

 ผู้นำกัมพูชาอ้างว่า ก่อนหน้านี้ได้เตือนนายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กับ พล.อ.ประวิตร รัฐมนตรีกลาโหม ที่ไปเยือนกัมพูชาอย่างไม่เป็นทางการ ระบุว่าไทยจะต้องใช้ทหาร 3-5 หมื่นคน เพื่อรบกับทหารกัมพูชาราว 10,000 คน แต่ทั้งหมดเป็นทหารที่มีประสบการณ์ในสงครามและกรำศึกมาตลอด
       
       นายกฯ กัมพูชากล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน และกองทัพกำลังพลกว่า 300,000 คน แต่กัมพูชามีประชากรแค่ 14 ล้าน กับกำลังพลในกองทัพ 100,000 คน แต่ฝ่ายไทยจะต้องใช้กำลังพล 3-5 หมื่นสู้กับทหารกัมพูชา 10,000 คน
Angry Angry Angry

ขณะเดียวกัน สัปดาห์นี้สื่อต่างๆ ในกัมพูชาพากันตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับข้อเสนอของไทยถูกคณะกรรมการมรดกโลกปัดปฏิเสธไม่นำขึ้นพิจารณาในการประชุมประจำปี สื่อบางแห่งพาดหัวข่าวว่า “เป็นความปราชัยที่น่าอดสู” ของรัฐบาลไทย   Angry Angry
       คณะกรรมการมรดกโลกได้ปิดการประชุมที่เมืองเซวิลล์ (Seville) ประเทศสเปน ในวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีการนำข้อเสนอของไทยที่ ขอให้ทบทวนการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
       “ประเทศไทยปราชัยอย่างน่าอดสูที่สุดในการเรียกร้องให้ทบทวนการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก” หนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) กล่าว
 สื่อออนไลนส์กับหนังสือพิมพ์ภาษาเขมรหลายฉบับ ออกบทวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ในช่วงวันจันทน์กับวันอังคาร (29-30 มิ.ย.) กรณีที่คณะกรรมการมรดกโลกไม่นำข้อเสนอของไทยขึ้นพิจารณา
       “ผู้แทนจากประเทศไทยไม่ได้รับอนุญาตให้แถลงใดๆ ในการประชุม” ดืมอัมปึลกล่าว
       นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ และยังจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในระยะเวลาข้างหน้า
 คณะผู้แทนของไทยได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ระบุว่า คณะกรรมการมรดกโลกไม่มีข้อมูลเพียงพอในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และ ไม่ได้รับฟังข้อมูลที่จำเป็นของฝ่ายไทยก่อนขึ้นทะเบียน
       ปราสาทตัวปัญหาตั้งอยู่บนยอดสูงริมหน้าผาชันและอยู่ในเขตสันปันน้ำของไทย ศาลระหว่างประเทศในกรุงเฮกตัดสินยกให้เป็นของกัมพูชาในปี 2506 โดยไม่ได้มีการตัดสินเกี่ยวกับอาณาบริเวณโดยรอบ
       รัฐบาลไทยได้โต้แย้ง ทำบันทึกถึงศาลโลกยืนยันในสิทธิเหนือดินแดนรอบๆ ปราสาทพระวิหารมาตั้งแต่นั้น
       ปัจจุบันอาณาบิเวณบางส่วนของปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตของไทย นอก “พื้นที่พิพาท” รวมทั้งบริเวณที่เรียกว่า “ผามออีแดง” นอกจากนั้น ทางขึ้นที่สะดวกที่สุดไปยังปราสาทก็ต้องขึ้นจากฝั่งไทย รัฐบาลไทยได้พยายามขอร่วมขึ้นทะเบียนอาณาบริเวณเหล่านี้เป็นมรดกโลกด้วย เพื่อพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน


 
 
 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 01, 2009, 04:08:45 PM โดย sittapong » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.121 วินาที กับ 20 คำสั่ง