ปฏิวัติโค่นทักษิณ สูญเสียน้อยกว่าม็อบ

ปฏิวัติโค่นทักษิณ สูญเสียน้อยกว่าม็อบ ....ที่มา.www.thairath.co.th/column.html

ถึงจะไม่ใช่มหกรรมบิ๊กเซอร์ไพรส์ ... เกินความคาดหมายของคนไทย แต่การใช้กำลังทหาร ยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ก็สร้างความประหลาดใจให้กับคนไทยได้ไม่น้อย

ในทำนองปฏิวัติจริงหรือ...ทำไมถึงพึ่งกล้ามาทำรัฐประหารยึดอำนาจตอนนี้

และที่สร้างความประหลาดใจได้มากเป็นพิเศษก็คือ... การยึดอำนาจครั้งนี้ไปด้วยความ รวดเร็วและเรียบร้อย ปราศจากการต่อต้าน ต่อสู้ขัดขวางจากฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล

เป็นที่ทราบกันดี นับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการจัดวางแต่งตั้งคนของตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ในระดับคุมกำลังของกองทัพมากมาย จนดูเหมือนว่า ยากที่ใครจะมาทำปฏิวัติยึดอำนาจได้

เพื่อนทหารที่เรียนเตรียมทหารรุ่น 10 มาด้วยกัน...ไม่เพียงคุมกำลังรบหลัก ยังมีการจับกลุ่มสามัคคีสนับสนุนการทำงานของนายกรัฐมนตรีผู้นี้มาตลอด

แต่การยึดอำนาจ กลับไม่มีเหตุร้ายที่คาดไว้!

นับเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้นได้ในประเทศอื่นใดในโลกนี้

และถ้าเหตุการณ์ยึดอำนาจไม่เกิดขึ้นในวันที่ 19 ก.ย. 2549...อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย

วันที่ 20 ก.ย. 2549 ม็อบเสื้อเหลือง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้นัดชุมนุมใหญ่ในขั้นแตกหัก เพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับประเทศไทย

การชุมนุมใหญ่ครั้งนี้มีขึ้น...อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ม็อบไล่ ม็อบเชียร์ เผชิญหน้ามือที่ 3-4-5 พร้อมสอดแทรกสร้างสถานการณ์ทุกเวลา

สถานการณ์ลุกลามบานปลาย สุดท้ายหนีไม่พ้น ลงเอยด้วยการเสียเลือดเสียเนื้อ... คนไทยบาดเจ็บล้มตายมากมาย

ล้มตายมากกว่า...การยึดอำนาจรัฐประหารของฝ่ายทหาร

ประวัติศาสตร์การเมืองไทย การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มล้างรัฐบาล ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม การเปลี่ยนแปลงล้มล้างรัฐบาลโดยการชุมนุมประท้วงของประชาชน เป็นหนทางที่สร้างความเสียหายมากที่สุด

14 ต.ค. 2516...ตุลาวิปโยค นั่นก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

17-19 พ.ค. 2535...พฤษภาทมิฬ เป็นตัวอย่างล่าสุด

เทียบไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดการยึดอำนาจเพื่อล้มล้างรัฐบาลโดยใช้กำลังทหาร

แม้ฝ่ายพยายามยึดอำนาจจะพ่ายแพ้กลายเป็นกบฏ ความเสียหายก็ไม่ได้มากมาย ขยายกว้างขวางเหมือนการใช้พลังประชาชน

นับแต่มีการเปลี่ยนแปลง การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย เมื่อ 24 มิ.ย. 2475 มีการใช้กำลังทหารปฏิวัติรัฐประหาร ก่อกบฏเพื่อล้มล้างรัฐบาล มาแล้วทั้งหมด 21 ครั้ง รวมทั้งครั้งล่าสุดนี้ (ไม่นับ การปฏิวัติ 2475, กบฏแบ่งแยกแผ่นดิน 2491 และกบฏสันติภาพ 2497)

การใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลที่ได้รับการบันทึกว่า มีการใช้ความรุนแรงมากที่สุด ในประเทศเราก็คือ... เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน 29 มิ.ย. 2494

กลุ่มทหารเรือซึ่งสนับสนุน หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ไม่พอใจรัฐบาล ภายใต้การนำ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยเห็นว่าทหารบกมีท่าทีจะผูกขาดอำนาจ การเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว

กลุ่มทหารเรือรู้สึกว่าถูกลดทอนอำนาจทางการเมืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ได้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 มาด้วยกัน... จึงได้วางแผนจี้จับตัวผู้นำประเทศเป็นตัวประกัน เพื่อต่อรองอำนาจทางการเมือง

ทหารเรือวางแผนจะลงมือหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ครั้งแรกวางแผนจะจับตัว จอมพล ป. ในวันที่ 22 ต.ค. 2493 ในวันที่มีพิธีส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี ที่คลองเตย แต่เพื่อนฝ่ายจี้จับตัวไม่พร้อม ไม่มาตามนัด

26 มิ.ย. 2494 มีการประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการวางแผนจี้จับตัวแบบจู่โจม แต่ฝ่ายคุมกำลังไม่มาตามนัดอีก

เลื่อนมาเป็นวันที่ 29 มิ.ย. 2494 วันที่มีพิธีรับมอบเรือ “แมนฮัตตัน” เรือขุดลอกสันดอน แม่น้ำเจ้าพระยา ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกามอบให้รัฐบาลไทย จอมพล ป. เป็นประธานในพิธีรับมอบเรือ ที่จอดรออยู่บริเวณท่าราชวรดิฐ

หลังจากเดินชมเรือเสร็จกลับขึ้นมา ทหารเรือกลุ่มหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือ ภายใต้การนำของ น.ต.มนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัย ได้ตรงรี่เข้าจี้จับตัวนายกรัฐมนตรี แล้วบังคับให้ลงเรือเล็กไปขึ้นเรือรบหลวงศรีอยุธยา ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวต่างประเทศที่มาร่วมพิธี

จับนายกฯได้แล้ว ตั้งใจจะพาไปที่กรมสรรพาวุธ บางนา แหล่งรวมกำลังเรือรบ แต่บังเอิญกำลังส่วนที่วางแผนไม่มาตามนัด ไม่มีการเข้ายึดสะพานพุทธเพื่อเปิดสะพานให้เรือแล่นออกไปได้

เรือรบหลวงศรีอยุธยาเลยต้องลอยคว้างเท้งเต้งอยู่กลางน้ำเจ้าพระยา บริเวณด้านหน้าของกองเรือรบ กองทัพเรือ ถูกฝ่ายรัฐบาลปิดล้อม เปิดฉากยิงกระหน่ำใส่กัน ฝ่ายที่อยู่บนเรือจี้จับตัวนายกฯ ก็ยิง ฝ่ายทหารเรือที่ไม่รู้ เรื่องการจับตัวประกัน เห็นทหารบกตำรวจเอาทั้งปืนเล็ก ปืนครก ปืนใหญ่ รถถังยิงทหารเรือ ก็เลยผสมโรงยิง

เช้าวันรุ่งขึ้น ฝ่ายรัฐบาลสั่งให้กองทัพอากาศเอาเครื่องบิน มาทิ้งระเบิดใส่เรือรบหลวงศรีอยุธยา โดยไม่ห่วงว่า จอมพล ป. จะจบชีวิตไปด้วย

ระดมยิงระดมทิ้งระเบิดจนเรือจม จอมพล ป. ต้องว่ายน้ำหนีตายไปขึ้นฝั่ง

ผลการก่อกบฏครั้งนั้น มีการประเมินจาก ร.ท.วีระ โอสถานนท์ นายทหารเรือที่ร่วมก่อกบฏว่า มีทหารเรือเสียชีวิตประมาณ 200 คน

นั่นเป็นความรุนแรงอันดับที่หนึ่ง...ความรุนแรงที่ถูกบันทึกเป็น อันดับ 2

กบฏ 9 กันยายน 2528

เหตุการณ์ตอนนั้น บางอย่างคล้ายตอนนี้... ตอนนั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ระหว่างเดินทางไปเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ

พ.อ.มนูญ รูปขจร (ยศขณะนั้น) ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจล้มล้างรัฐบาล แต่ไม่สำเร็จเพราะเจอรายการเพื่อนไม่มาตามนัด ทหารส่วนอื่นไม่ร่วมมือ เลยมีการใช้อาวุธหนัก ปืนใหญ่ประจำรถถังและปืนกลยิงเข้าใส่สถานีวิทยุกองพลทหารราบที่ 1 รอ.

เกิดการปะทะกันของทหารสองฝ่าย เป็นผลทำให้มีผู้บาดเจ็บ 60 คน ผู้เสียชีวิต 5 คน ในจำนวนนี้เป็นนักข่าวต่างประเทศ 2 คน...ในที่สุดฝ่ายกบฏก็ยอมแพ้

จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มล้างรัฐบาลของประวัติ� ศาสตร์การเมืองไทยยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น การยึดอำนาจด้วยกำลังทหารสร้างความเสียหายน้อยกว่ามาก

ขนาดรุนแรงที่สุด มีผู้เสียชีวิต 200 คน...

ยังเทียบไม่ได้กับเหตุการณ์ตุลาวิปโยค และพฤษภาทมิฬ ไม่เพียงชาวบ้านจะต้องตก เป็นเหยื่อของความรุนแรง บาดเจ็บล้มตายและสูญหายไม่ต่ำกว่าพันคนแล้ว ชาวบ้านผู้รักประชาธิปไตย ก็ไม่เคยได้อะไรจริงจังเหมือนอย่างที่หวังสักเท่าไหร่

การชุมนุมประท้วงทุกครั้ง ปะทะบาดเจ็บล้มตาย...สิ่งที่เราได้ ดูเหมือนจะไม่ต่างอะไรกับการเตะหมูเข้าปากหมา

นี่คือสัจธรรมการเมืองไทย ประชาชนล้มตาย แต่นายทุน นักการเมือง ที่อยู่เบื้องหลังมักจะได้ประโยชน์ตลอด

	ผู้เขียน	หัวข้อ: ปฏิวัติโค่นทักษิณ สูญเสียน้อยกว่าม็อบ (อ่าน 1712 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้