ทำดีที่สุดทั้งต่อหน้าและลับหลัง
หากคาดหวังอนาคตที่ยั่งยืน
ทำไม่ดี..อย่าคิดว่าไม่มีใครเห็นคำกล่าวนี้ คงใช้ได้ดีในยุคที่มี
กล้องวงจรปิด ที่อาจจับภาพเราอยู่ หรือ
กล้องจากโทรศัพท์มือถือ ที่ถ่ายกันเล่น ๆ ในเวลาที่เราควรทำงาน แต่เรากลับไปทำอย่างอื่น และเมื่อภาพเหล่านั้นมีคนเผยแพร่ในโลกออนไลน์ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ โอกาสที่จะย้อนกลับมาทำลายเราย่อมมีสูง เพราะผู้บริหารองค์กรใช้ภาพเหล่านั้นเป็นหลักฐานมัดว่าเรา
ทำผิด เต็มประตู
ภาพทำไม่ดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีใครเห็น กลับทำให้หลายคน
หมดอนาคต มาแล้ว
ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวให้เห็นอยู่เสมอว่า มีพนักงานในองค์กรหลายแห่งถูกลงโทษ เพราะหลักฐานจากภาพที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ อาทิ
....กัปตันและนักบินผู้ช่วยชาวเวียดนาม ถูกลงโทษฐานละเมิดกฎความปลอดภัยเกี่ยวกับการบิน โดยนำคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การบิน เข้าไปในห้องควบคุมขณะที่เครื่องกำลังทำการบิน เพียงเพราะเขาอนุญาตให้ดาราคนหนึ่งเข้าไปในห้องนักบินเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและเมื่อผ่านไปหนึ่งเดือน ดาราสาวได้นำภาพมาแชร์ใน Facebook ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการสอบสวนและถูกลงโทษในที่สุด
...บรรณารักษ์ประจำห้องสมุดวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในอ็อกซ์ฟอร์ด ต้องถูกไล่ออก หลังปล่อยให้
นักศึกษาเต้นฮาร์เล็ม เชค กันในห้องสมุด และหลังจากที่คลิปถูกโพสต์ลงในยูทูบ เรื่องจึงแดงขึ้น ผู้บริหารห้องสมุดจึงทราบเรื่อง และกล่าวหาเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ว่าเธอละเลยการดูแลห้องสมุด และปล่อยให้เหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในห้องสมุดนั้นเกิดขึ้น ส่วนนักศึกษากลุ่มที่ร่วมกันเต้นฮาร์เล็ม เชค ก็ได้รับโทษจากทางวิทยาลัยเช่นกัน
....หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้มีภาพพนักงานส่งพิซซ่าของบริษัทแห่งหนึ่ง ถูกภาพจากกล้องวงจรปิด จับภาพขณะเปิดกล่องพิซซ่าของลูกค้าและแอบหยิบกิน โดยที่ไม่คิดว่าจะมีใครเห็น แต่ปรากฏว่าภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปในโลกออนไลน์ แน่นอนว่า พนักงานคนนี้หมดอนาคต นอกจากจะถูกไล่ออกแล้ว ยังถูกสังคมประนามถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
จากตัวอย่างเรื่องจริงเหล่านี้ ทำให้เราเห็นว่า สิ่งไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกระเบียบ แม้เราคิดว่า เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่น่าเป็นไร แล้วเราก็ทำ
ลับหลัง โดยคิดว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น แต่ปรากฏว่า สิ่งที่เราทำกลับย้อนมาทำร้ายเรา ด้วยหลักฐานเป็นภาพวีดีโอ ทั้งอาจจะมาจากกล้องวงจรปิด (ที่เราไม่คิดว่าจะมี) หรือจากภาพที่มีผู้ถ่ายไว้ (อาจเป็นเรื่องเล่นกันสนุก ๆ) แล้วนำไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ และปรากฏชัดเลยว่า สิ่งที่เราทำนั้น...ไม่ถูกต้อง
บทเรียนที่คนทำงานทุกคนควรตระหนัก คือ การทำดี ทำถูกต้อง ควรทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง หากคาดหวังอนาคตที่ยั่งยืน
ฝึกนิสัยทำถูก ทำดี แม้ไม่มีใครเห็น คนทำงานมักเคยชินกับการทำดี
ต่อหน้า หรือเมื่อมีหัวหน้าคอยควบคุมอยู่ หรือมีระบบตรวจสอบที่ทำให้เราต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส หรือคิดว่าไม่มีใครเห็น มักจะทำผิด ละเมิดกฎ หรืออู้งานบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ซึ่งอาจทำให้เราเคยชิน
ผิดบ้างถ้าไม่มีใครเห็น ซึ่งในความเป็นจริง ปัจจุบันนี้ เราอาจถูก
ลงโทษ โดยไม่รู้ตัว เพราะสิ่งที่เราทำ แล้วคิดว่าไม่มีใครเห็น ผู้บังคับบัญชาไม่รู้ และสามารถหลุดรอดไปได้เสมอเมื่อถึงเวลานั้น อนาคตเราอาจมีแนวโน้มไม่สวยแน่
เราจึงจำเป็นต้องฝึกทำดี ทั้งต่อหน้าและลับหลังให้เป็นนิสัยเสมอ ฝึกเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ไม่มีใครชอบคนหน้าไหว้หลังหลอก การทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่ใช่เพราะอาจมี
ตาที่สาม จับตาดูอยู่ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรตระหนักยิ่งกว่านั่นคือ ในโลกนี้คงไม่มีคนปกติคนใดชอบคนที่ต่อหน้าทำอย่าง ลับหลังทำอีกอย่างหรือคน
หน้าไหว้หลังหลอก เราคงไม่ชอบเพื่อนที่ต่อหน้าพูดดีมีมิตรไมตรีกับเรา แต่ลับหลังกลับเอาเรื่องของเราไปพูดนินทาให้ร้าย และหัวหน้างานหรือผู้บริหารองค์กรของเรา ย่อมไม่พอใจเมื่อเห็นว่า ต่อหน้าเราทำดีทำถูกต้อง แต่ลับหลังแอบทำผิด พวกเขาย่อมรู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่น ความศรัทธาในตัวเรา เพราะไม่คิดว่าคนที่ตนไว้เนื้อเชื่อใจ จะทำสิ่งที่ผิดและสร้างความเสียหายให้องค์กร
ดังนั้น ถ้าเราฝึกเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งในที่ที่มีคนเห็น และในที่ที่ไม่มีคนเห็น ไม่ว่ามีกล้องจับตาเราอยู่หรือไม่ จนเป็นนิสัย เราย่อมมั่นใจได้ว่าจะมีอนาคตที่สดใสรอเราอยู่ข้างหน้า เพราะเราได้ตัดเส้นทางความผิดพลาด ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจออกไปได้แล้ว
ผู้เขียน : ศ.ดรเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ kriengsak@kriengsak.com, http:// www.kriengsak.com
คอลัมน์ :
- See more at: http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=130724123231#sthash.7DHmbubI.dpuf
คัดลอกจาก www.ejobeasy.com