อยู่ที่ ท่านจะยืนอยู่กับฝ่ายใด ประชาชน หรือ นายทุนสามานย์
ข้อเท็จจริง ต้องปราศจาก การถูกบิดเบือน แล้วมาป้อนให้ กับสาธารณะ
และ ถูกรับไป มาขยายต่ออีก
เราเป็นคนไทย ต้องรู้จัก รู้ร้อน รู้หนาว เมื่อถูกเอาเปรียบ จักต้องรู้จักปกป้องตนเอง
การปกป้องตนเอง เอาแต่อดทน มันจะได้ประโยชน์อะไร ควรจักต้อง ต่อสู้ จัดการ
กับความเลวถ่อย ที่ มันกระทำกับประชาชน ถ้าเห็นด้วย ก็เตรียมใจไว้
ปตท. และข้าราชการ ที่เลว จะเอาแม่งไว้ทำไม

...........................
"รสนา" เสนอ คสช.ยกเลิกขึ้นค่าก๊าซหุงต้มทันที แนะอย่าลดราคาน้ำมันโดยไม่แก้โครงสร้าง
รสนา เสนอ คสช.ยกเลิกขึ้นค่าก๊าซหุงต้มทันที แนะอย่าลดราคาน้ำมันโดยไม่แก้โครงสร้าง
ภาพประกอบ 1
รสนา เสนอ คสช.ยกเลิกขึ้นค่าก๊าซหุงต้มทันที แนะอย่าลดราคาน้ำมันโดยไม่แก้โครงสร้าง
ภาพประกอบ 2
รสนา เสนอ คสช.ยกเลิกขึ้นค่าก๊าซหุงต้มทันที แนะอย่าลดราคาน้ำมันโดยไม่แก้โครงสร้าง
ภาพประกอบ 3
"รสนา" เสนอ คสช.ยกเลิกขึ้นราคาก๊าซหุงต้มทันที ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อน ชี้ไม่กระทบโครงสร้างราคาส่วนอื่น เพราะเงินถูกนำไปชดเชยให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประชาชนไม่ได้ประโยชน์จริง พร้อมแนะอย่าแค่ลดราคาน้ำมันโดยไม่แก้ไขโครงสร้างที่ข้าราชการ ก.พลังงานผูกไว้หลายชั้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นได้เพียงประชานิยมชั่วคราว
วานนี้ (25 พ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "รสนา โตสิตระกูล " ว่า มีข่าวร่ำลือออกมาว่า คสช.อาจจะพิจารณาลดราคาน้ำมันลงไป30%
แต่การรีบลดราคาโดยไม่ได้เข้าไปแก้ไขโครงสร้างราคาน้ำมัน ที่ข้าราชการในกระทรวงพลังงานที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจพลังงานได้ผูกไว้หลายชั้น จะทำให้การลดราคาน้ำมันเป็นเพียงการทำโปรโมชั่นประชานิยมแบบชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
สิ่งที่คสช.สามารถทำได้ทันทีเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ คือการยกเลิกการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มซึ่งจะทำได้ทันทีโดยไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างราคาส่วนอื่น
รัฐบาลที่แล้วได้ขึ้นราคาก๊าซหุงต้มมาตั้งแต่เดือนกันยายน2556 โดยทะยอยปรับขึ้นราคาเดือนละ.50บาท/กิโลกรัม ทำให้ราคาก๊าซหุงต้มต่อถัง15กิโลกรัมในขณะนี้ มีราคาตั้งแต่ 350-390บาท เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาอาหารและค่าครองชีพปรับสูงขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย
ที่กล่าวว่าการยกเลิกการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มให้กลับมาที่ราคาเดิมคือราคาถังละ290-300บาท ไม่กระทบโครงสร้างอื่น เพราะเงินที่กระทรวงพลังงานเก็บเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มนั้น กระทรวงพลังงานได้นำมาเก็บไว้ในกองทุนน้ำมัน โดยอ้างว่าเพื่อจะได้ลดภาระการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากผู้ใช้น้ำมันเบนซิน
แต่ข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริงเพราะปัจจุบันมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากผู้ใช้น้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มจากเดิมลิตรละ 7 บาทเป็นลิตรละ 10 บาทในขณะนี้
ปตท.เคยออกมาให้ข่าวว่าปตท.ไม่ได้รับเงินค่าก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มของกระทรวงพลังงานในขณะนี้ ดังนั้นเงินที่เก็บเพิ่มขึ้นจากผู้ใช้ก๊าซหุงต้มจึงถูกนำไปกองอยู่ในกองทุนน้ำมัน ซึ่งเป็นกองทุนที่ผิดกฎหมายตามที่คณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เงินจากกองทุนน้ำมันถูกนำไปชดเชยก๊าซหุงต้มที่มาจากโรงกลั่นน้ำมัน และชดเชยการนำเข้าก๊าซโพรเพน และบิวเทนที่นำไปใช้โดยตรงได้เลยในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่อ้างว่านำก๊าซทั้ง 2 ชนิดมาผสมเป็นก๊าซแอลพีจีหรือที่เรียกว่าก๊าซหุงต้มมาขายประชาชนในราคาอุดหนุนที่รัฐบาลกำหนดให้มีราคาต่ำกว่าต้นทุนของโรงกลั่นและราคานำเข้า จึงต้องเอาเงินกองทุนน้ำมันมาชดเชย
ทั้งที่ปริมาณก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากอ่าวไทยผ่านโรงแยกก๊าซทั้ง 6 โรงมีปริมาณเกินพอสำหรับภาคครัวเรือน แต่นโยบายที่รัฐบาลสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กำหนดขึ้นใหม่เพื่อให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาใช้ก๊าซหุงต้มหรือก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซได้ก่อนร่วมกับภาคครัวเรือน และกำหนดว่าถ้ามีก๊าซแอลพีจีเหลืออยู่จากโรงแยกก๊าซ หลังจากที่ปิโตรเคมีและภาคครัวเรือนใช้ ค่อยให้ภาคยานยนต์และภาคอุตสาหกรรมอื่นใช้ ถ้าไม่พอใช้ก็ให้นำเข้าจากต่างประเทศและเอาเงินกองทุนน้ำมันไปชดเชย
ปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซที่มาจากอ่าวไทย มีปริมาณ 3.5ล้านตันต่อปี ภาคครัวเรือนของประชาชน 65ล้านคนใช้ก๊าซหุงต้มเพียง 2.6ล้านตันต่อปี ถ้ารัฐบาลกำหนดนโยบายให้ภาคครัวเรือนได้ใช้ก๊าซหุงต้มที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซในประเทศก่อนผู้ใช้กลุ่มอื่น ก็มีปริมาณเพียงพอสำหรับประชาชน 65ล้านคนในภาคครัวเรือน โดยไม่ต้องไปใช้ก๊าซนำเข้าที่มีราคาแพงกว่าของผลิตเองในประเทศ ซึ่งการที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรจากแผ่นดินที่บรรพบุรุษของตนมีส่วนในการต่อสู้ ได้เสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ไว้ สมควรจะได้รับการดูแลจากรัฐบาลก่อนธุรกิจเอกชนอื่นที่มุ่งแสวงหากำไรเพื่อองค์กรของตัวเอง ( ดูรูปที่1)
ปริมาณก๊าซแอลพีจีจากทรัพยากรของเราเองในอ่าวไทยมีเพียงพอสำหรับภาคครัวเรือนโดยไม่ต้องมาขึ้นราคากับประชาชนคนส่วนใหญ่ แต่จะไม่เพียงพอเมื่อเอาปิโตรเคมีมาใช้ร่วมด้วยในโรงแยกก๊าซก่อนผู้ใช้กลุ่มอื่นเพราะปิโตรเคมีกินจุ กินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงระยะ 5-6ปี ใช้ปริมาณเพิ่มขึ้น1.5ล้านตัน แต่ใช้ราคาถูกกว่าผู้ใช้กลุ่มอื่น
ก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซที่เหลือจากการใช้ของภาคครัวเรือน สามารถจัดสรรให้ผู้ใช้กลุ่มอื่นในราคาที่เหมาะสม แต่ถ้าต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจี เพราะปริมาณไม่พอใช้ ก็ควรให้ภาคปิโตรเคมีและภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นธุรกิจแสวงหากำไรไปรับผิดชอบราคาที่นำเข้าเอง ก็จะไม่ต้องมาขึ้นราคาก๊าซหุงต้มกับคนรายได้น้อยที่อยู่ในภาคครัวเรือน
อีกประการหนึ่งการใช้กองทุนน้ำมันมาชดเชยก๊าซแอลพีจีจากการนำเข้า และแอลพีจีจากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศตั้งแต่ปี 2551-2555 มีมูลค่ารวมสูงถึง 84,941 ล้านบาท หากนำเม็ดเงินจากกองทุนน้ำมันที่เอาไปชดเชยการนำเข้าก๊าซแอลพีจี เปลี่ยนมาสร้างโรงแยกก๊าซในประเทศเเทน น่าจะได้โรงแยกก๊าซเพิ่มอีก 2-3โรง (ดูรูปที่2)
การมีโรงแยกก๊าซเพิ่มจะทำให้สามารถรองรับก๊าซดิบจากอ่าวไทยที่ยังเหลืออยู่จำนวนมาก แต่เพราะมีโรงแยกก๊าซไม่พอ ทำให้ต้องเอาก๊าซดิบไปเผาทิ้งในโรงไฟฟ้า โดยไม่แยกก๊าซแอลพีจีออกมาก่อน เปรียบเหมือนเอาไม้สักที่ปนอยู่กับเศษไม้ไปเผาทิ้งอย่างน่าเสียดาย
ลองดูโรงแยกก๊าซ4โรงที่สร้างจากเงินภาษีของประชาชน ตอนแปรรูปปตท.ถูกตีมูลค่าเพียง 3,212ล้านบาทเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือทำกำไรให้กับกลุ่มทุนพลังงานแทนที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน (ดูรูปที่3)
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000058309