ปันผลน้อย... มันก็จะขายหุ้นทิ้ง ก็เชิญขายเลย...
ราคาหุ้นตกฯ สินทรัพย์ตามบัญชีก็ลดลงอีก ราคาหุ้นก็ตกลงอีก... ก็เอากำไรที่ว่าเพิ่มทุนเข้าไปอีกเรโชหุ้นหลวงก็สูงขึ้นอีก ทำอย่างนี้ไม่กี่ครั้งจะไม่เหลือใครถือหุ้นฯ, ไม่เห็นต้องใช้กำลังยึดเลย...
แล้วคุมเรื่องคนให้ดีก็แล้วกัน สรรหาหาคนมีฝีมือมาบริหารฯ แล้วจ่ายค่าตอบแทนตามตลาดแรงงาน...
นั่นแหละครับที่ผมกลัว ถ้าทำแบบนั้นกระทบไปถึง GDP ประเทศอย่างแน่นอน เพราะประเทศเล็กๆแบบเราไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนั้นได้ เราต้องมีพื้นฐานแข็งแกร่ง ผูกขาดพลังงานเหมือนรัสเซีย แบบนั้นได้ผลดีแก่ประเทศแน่ๆ เหมือนยุคที่ ปูตินไล่เก็บกิจการของรัฐคืนจาก the family ผลเสียใหญ่ๆเท่าที่นึกออก
1.กระทบความน่าเชื่อถือต่อตลาดอย่างรุนแรงและยาวนาน ต่อไปใครจะกล้ามาลงทุน เป็นรัฐบาลแท้ๆ กลับลงมาทำ market manipulation
2.การระดมทุนทั้งนอกและในจะทำได้ยาก แล้วต้นทุนสูงขึ้น Discount rate สูงขึ้น,Fair value ลดลง ออกหุ้นกู้ก็ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมมากๆ คนถึงจะกล้าเสี่ยง แล้วที่นี้จะเอาเงินที่ไหนมาขยายธุรกิจ ที่ผ่านมาไล่กว้านซื้อเค้าไปทั่วได้ ก็เพราะปตทมี Cost of capital ต่ำด้วย
3.การdeal ธุรกิจกับผู้อืน ใครจะอยากทำธุรกิจกับบ.ที่มี CG(Corporate Governance)ต่ำ
ข้อ 1) เป็นรัฐประหารแล้วยังไงก็ต้องทำครับ หากไม่ทำก็ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะต่างชาติก็จะมองอีกแหละว่ายึดอำนาจการปกครองทั้งที แต่ไม่มีปัญญาปกป้องทรัพยากรของตนเอง... ที่จริงเรื่องนี้น่าจะทำไปไกลถึงขั้นรื้อสัมปทานน้ำมันทั้งหมดมาพิจารณาค่าภาคหลวงกันใหม่เลยครับ...
ส่วนเรื่องหมวกฟ้าจะเข้ามายุ่มย่ามนั้นไม่ต้องกังวล เพราะจะมาได้ต้องคณะมนตรีความมั่นคงออกเสียงเป็นเอกฉันท์ให้ลุย, แล้วมีประเทศใหญ่ในเอเซียหนึ่งในคณะมนตรีความมั่นคงถาวรฯ ประกาศแล้วว่าขอให้คนในเอเซียจัดการกันเอง... เลยเป็นที่มาของ รมต.กลาโหมฯ จี้ให้ไทยเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งกระโดดขั้นตอนไปแยะมากเนื่องจากต้องการขู่ฯ(ขั้น 1 ส่งหนังสือเตือน ขั้น 2 ทูตเตือน ขั้น 3 รมต.ต่างประเทศเตือน ขั้น 4 รมต.กลาโหมเตือน ขั้น 5 ปธน.เตือนฯ)...
ข้อ 2 และข้อ 3 ต้องแยกให้ออกก่อนว่าระดับบริษัท หรือระดับประเทศ, หากระดับบริษัทนั้นต้องพิจารณาระดับของธรรมาภิบาลฯตามที่ว่ามานั่นถูกต้องแล้ว... แต่ระดับประเทศต้องพิจารณาว่า"ใครง้อใคร" เพราะประเทศไทยบังเอิญดวงซวยมีแหล่งน้ำมันมหาศาลอยู่ หากเล่นบทต้อง้อผู้อื่นแล้วก็จะมีแต่เสียฯ, ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือทรัพยากรใต้ดิน/ใต้น้ำของไทยมีปริมาณมหาศาลมากจนผู้อื่นต้องให้ความสำคัญ...
เรื่อง PTT ต้องแยกออกระหว่างกระบวนการธุรกิจธรรมดากับอำนาจการต่อรองฯระหว่างประเทศ, หากมองตัวอย่างเขมรฯ กับสิงคโปร์ฯ จะเห็นภาพชัดขึ้นว่า"คนเล่นเป็น"เขาทำอย่างไร... ซึ่งแตกต่างจากอินโดฯ ที่โดนแทรกแซงจนทั้งประเทศแตกเป็นเสี่ยงฯ...
มีข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ มูลค่าสินทรัพย์ของ บ.เชฟร่อน"ส่วนใหญ่"อยู่ที่ประเทศไทยครับ... ตรงนี้คนไทยไม่เคยรู้เพราะรู้แต่ว่า เชฟร่อน"ใหญ่มาก", แต่ที่ไม่รู้ก็คือความใหญ่ของเชฟร่อนอยู่ที่เบสในประเทศไทย!!!...