เล่าแค่เรื่องที่พบ แต่ไม่เคยเห็นนะครับ
สมัยบวชผมไปพักที่กุฏิหลังซ้ายสุด เณรเรียกกุฏ3ตะเคียน เพราะสร้างอยู่ใต้ต้นตะเคียน รัศมี10ม.มีต้นตะเคียนอีก2ต้น(กุฏิแต่ละหลังแยกกันอยู่คนละสันเขา)
เป็นกุฏิเก่าของหลวงตาท่านหนึ่ง พอผมบวชท่านก็ย้ายไปอยู่อีกหลังที่ไป-มาลำบากน้อยลง
1.ตั้งแต่วันแรกจนวันสึก ทุกคืนตอนตี3จะมีเสียงเดินสวบๆเป็นจังหวะเหมือนคนเดินจงกรม....ผมนึกว่าหลวงตาท่านยังกลับไปเดินตรงเหลี่ยมเขาใกล้ๆกุฏิด้วยความเคยชิน.....ถามท่านแล้ว ท่านก็ยิ้มๆไม่ได้ตอบอะไร
ผมก็สร้างความเคยชินให้ตัวเอง คือพอได้ยินเสียงสวบๆแปลว่าหลวงตามาเดินจงกรมแล้ว ผมก็นอนภาวนาตามแบบเคลิ้มๆไปจนตี4ครึ่ง
จนวันที่7 ผมฝึกภาวนาผ่านจิตรวมมาได้ถึงลมละเอียด ......นั่งฉันปานะอยู่ดีๆ หลวงตาก็พูดขึ้นมาว่า"ตั้งแต่เธอไปอยู่ที่กุฏิตะเคียน ผมก็ไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย"ไม่นึกว่าจะได้บอก จะบอกก่อนนี้ก็เดี๋ยวเธอจะกลัวไปซะเปล่าๆ
2.ด้วยความที่เป็นพระใหม่ ทำอะไรก็งุ่มง่าม เวลาที่จะตื่นมาทันอาบน้ำ สวดมนต์เช้า แล้วเผ่นไปเตรียมศาลาได้ทันคือผมต้องลุกตอนตี4ครึ่งเป็นอย่างช้า
ตี4ครึ่งเป๊ะของทุกวัน จะมีเสียง"ปัง"ดังสนั่นเหมือนใครเอาหินปาหลังคา.....ไปดูแล้วมันคือ"ใบไม้1ใบ"
วันที่14เคยทดลองแกล้งนอนต่อ ไม่ยอมลุก พอตี5มีเสียงปัง ปัง ปัง ปังรวม4ครั้ง แต่ละครั้งกุฏิสะท้านไปทั้งหลัง.....พระใหม่โดดดึ๋งไปแปรงฟันอย่างไว
พอฟ้าสางออกไปดู มีกิ่งไม้แห้งยาว13"เท่ากันเป๊ะหล่นอยู่ใต้ถุนกุฏิ4ท่อน
มีแต่ราวๆนี้อ่ะ
