ผมเคยไปอยู่ แล้วก็เทียวไปเทียวมาอยู่พรรคนึง เข้าไปทางอุบล ไปเช่าบ้านอยู่ที่ปากเซครับ ไปๆมาๆ อยู่หลายปี เข้าๆออกๆ ป่า แถวๆนั้นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะแถวเมืองมุนนี่ ต้องขึ้นบักข้ามแม่น้ำ อยู่เป็นประจำ จนบางวันไม่มีเงินกีบ มีแต่แบ็งค์พันแล้วเค้ามีเงินกีบไม่พอทอนก็ติดกันไว้ได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายครับ ไม่ได้บันทึกภาพไว้เลย ส่วนที่บันทึกไว้ก็หายไปหมด
มีน้ำตกอยู่ที่นึงผมจำไม่ได้ว่าชื่อน้ำตกอะไร ไปทางปากช่อง ซึ่งเป็นชื่อเมืองที่อยู่บนภูเขาครับเค้าจะปลูกกาแฟเป็นอาชีพ ก่อนถึงปากช่องเลี้ยวซ้ายไปอีก ประมาณ ห้าสิบกิโล(ประมาณนั้นนะ) บางทีมองไปที่เขาอีกลูกที่อยู่สองข้างทาง ก็เห็นน้ำตก ตกลงมาเป็นสายยาวๆ สวยมากๆ ผมเห็นน้ำตกหลายๆที่ในไทยแทบบอกว่าเทียบกันไม่ได้เลยครับ เนื่องจากว่าเค้ายังคงพื้นที่ธรรมชาติแบบเดิมๆไว้ ที่ๆผมไปเที่ยวครั้งนั้น มีรีสอร์ทเป็นของคนไทยไปอยู่ครับ สำนักงานรีสอร์ทตั้งอยู่หน้าน้ำตกครับ น้ำตก เป็นน้ำตกแบบพาโรนาม่าครับ คือกว้างมากๆ ตรงด้านหน้าระหว่างน้ำตกกับสำนักงานรีสอร์ท เป็นต้นไม้ยืนต้น ขึ้นอยู่ระหว่างโขดหิน บรรยากาศ ยังกะสวรรค์ (ทำไมผมจำชื่อไม่ได้นะ)
ตอนผมไปอยู่ผมเอารถเข้าไปเอง ใช้ทะเบียนไทยเรานี่หล่ะครับไม่ได้ขอทะเบียนชั่วคราวจากทางการลาว บางทีก็ไม่ได้ไปต่อเอกสารบ้างเพราะยุ่งๆ ทางนี้ถ้าเราไม่ทำอะไรผิดมากๆ เค้าก็แค่มองแล้วก็เฉยๆ มีคนไทยหลายๆคนอยู่ที่ลาวโดยไม่ต้องทำพาสปอร์ต ตำรวจลาวก็รู้ แต่ถ้าไม่ทำความเดือดร้อนให้เค้า เค้าก็ไม่ยุ่งไม่จับ อีกอย่่างถ้านายบ้าน(ผู้ใหญ่บ้าน)รับรองว่าเราเป็นคนดี ไม่เป็นพิษเป็นภัย ตำรวจก็ไม่ยุ่งกับเราครับ มีข้อห้ามที่สำคัญมากๆอยู่อย่างนึงครับ คือ ห้ามพูดเรื่องการเมือง ห้ามวิพากษ์วิจารณ์เค้าในลักษณะเปรียบเปรยกับไทยเป็นเด็ดขาด มีลูกน้องของพี่ๆผมคนนึง ไปนอนอยู่กับชาวบ้าน เพราะกลับไม่ทัน ตกกลางคืนก็เลี้ยงเหล้าเค้า คุยกันไปคุยกันมาสนุกจนลืมข้อห้าม พูดไปพูดมาควักแบ็งร้อยออกมา แล้วเปรียบเทียบโน่นเปรียบเทียบนี่ ระหว่างไทยกับลาว เค้าก็นั่งฟังครับไม่ว่าอะไร แต่ตอนเกือบเที่ยงตื่นขึ้นมาก็มีคนมาสะกิดบอกให้อาบน้ำ มีคนมาเชิญไปห้องการ (คล้ายๆกับ ที่ว่าการอำเภอ) เค้ามานั่งรอตั้งแต่เช้าแล้ว ปรากฏว่่าไปถึงเค้าก็กักบริเวณเลยครับ ให้กินนอนอยู่ที่นั่นหล่ะ ให้กวาดให้ถูห้องการ อยู่เดือนกว่าๆ เล่นเอาเข็ดจนตายเลยหล่ะ...
อีกวัฒนธรรมนึง เป็นเรื่องที่น่่ารักมากๆ คือเราสามารถเซ็น คือติดเงินได้เวลาเราไปตลาด ไปซื้อของแล้วบอกเค้าว่าเอาเงินมาไม่พอ ขอติดไว้ก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาไปให้ ซึ่งแปลกครับเค้าให้ติดครับ ถึงแม้จะเพิ่งเห็นหน้ากันครั้งสองครั้งเท่านั้น คนที่นี่เค้าซื่อๆครับ ไม่มีหลอกลวง แต่ก็เฉพาะรอบๆเมืองนะครับ ส่วนในเมืองใหญ่ๆ ก็นิสัยเหมือนกับพี่ไทยเรากันแล้ว
เสียดายตอนไปอยู่ไม่ค่อยได้ไปไหน นอกจากที่ทำงานกับบ้านเช่าเท่านั้น มีบ้างที่ไปเที่ยวตอนกลางคืนแต่ที่นี่ ห้าทุ่มเธคเค้าก็ต้องปิดแล้ว เพราะตอนนั้นเค้าประกาศเคอร์ฟิวกัน ผมเคยกลับช้าสองครั้ง เมาเละทั้งสองครั้ง เจอด่านตรวจ ตำรวจ กับตำรวจบ้านใส่ผ้าขาวม้าสะพายอาก้า (เค้าเรียกว่า "กองหลอน") เรียกให้จอดกลางสะพาน พอเห็นว่าเป็นรถไทยแล้วคนขับก็เมา(แถมมีสาวๆอีกเต็มรถ) ก็ถามคำสองคำก็ให้ไป แต่ถ้าเป็นรถลาวก็เจอใบสั่งครับ นึกๆดู ไม่รู้ว่ารอดมาได้ไง ฮา
อ้ออีกอย่างครับ รถลาวที่วิ่งๆกัน ไม่ว่าจะวีโก้ ไทเกอร์ สั่งเข้าจากไทยทั้งนั้นครับ เห็นๆขับรถกระบะนี่ ราคาแพงพอๆกับเบนซ์เลยนะครับ ถ้าบ้านเรา แปดแสน ที่นู่นก็ ประมาณล้านห้า ล้านหกครับ แล้วก็ส่วนมากจะซื้อเงินสดนะครับ ซื้อเงินผ่อนน้อยมาก เพราะเค้าไม่กล้าซื้อกันเพราะอายที่จะเป็นหนี้ แต่ตอนนี้ไม่รู้เปลี่ยนยังไงบ้าง ส่วนรถ มอไซค์ฮอนด้าเวฟนี่ สมัยนั้นถ้าใครขับเวฟไทย ถือว่าเจ๋งมากๆ เพราะแพงเป็นสองเท่าจากบ้านเรา ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ของจีน (เค้าเรียกเวฟจีน) ก็ราคาถูกลงเหลือแค่ สองหมื่นกว่าๆครับ แต่วิ่งได้ สี่สิบห้าสิบกิโล ก็ต้องจอด เพราะเครื่องร้อนมาก
อีกอย่างครับ ค่าครองชีพที่นี่แพงมากๆ โดยเฉพาะในเมือง เพราะสินค้าทุกอย่างมาจากไทยหมด ทุกอย่างเลยแพงหมด นมวัวแดงบ้านเรากล่อง สิบบาท ที่นี่ สิบสามถึงสิบห้าบาท ครับ ถ้าใครจะมาเที่ยวเมืองลาวเตรียมเงินมาเยอะๆนะครับ แล้วอย่าไปแลกเงินกีบที่แถวๆด่านหล่ะถ้าให้ดีถามดูก่อนว่าแลกได้เท่าไหร่ โดยเฉพาะกับธนาคารหรือกับที่ Exchange เพราะว่าคุณจะไม่ได้เงินตามมูลจริงของมัน มีครั้งนึง (สมัยนู้น) ผมแลกเงินที่ด่าน หนึ่งพันบาท ได้ ประมาณแสนห้าสิบพันกีบ ก็นึกว่าได้เยอะ แต่พอไปแลกที่โรงแรม ได้ สองแสนเจ็ด ฮ่าๆ แทบตกเก้าอี้เลย
นี่ก็เกือบห้าหกปีมาแล้วครับ คิดถึงจัง สปป.ลาว