เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4/11/2549
วันเกิดเหตุ ผมได้ไปร่วมงาน HKS Day ที่สนามแข่งรถทางตรง คลอง5 อ.คลองหลวง
ในวันนั้นทาง HKS Thiland ได้นำรถแข่งมาจากญี่ปุ่นเพื่อวิ่งโชว์ให้คนไทยดูซึ่งเป็นการโปรโมทและขอบคุณลูกค้าทาง HKS ไปในตัว
โดยได้มีการจัดการวิ่งขึ้นสองรอบคือ 3 ทุ่มและเที่ยงคืน วิ่งโชว์ในรอบแรกนั้นสามารถทำเวลาได้ 8.24 วินาที และความเร็วเข้าเส้นชัย 250 km/hr. ซึ่งยังไม่มีรถคันใดในประเทศไทยสามารถทำได้เร็วกว่า กลับมาที่เรื่องของผมต่อ
หลังจากชมรอบแรกผมกับเพื่อนก็ตัดสินใจกลับดีกว่าเพราะไม่อยากรอต่อจนดึกเนื่องจากเหนื่อยกันมาทั้งวัน จึงตัดสินใจออกจากสนามโดยรถผมได้จอดอยู่บริเวณข้างนอกสนาม
พอเดินมาถึงข้างนอกสนามถึงกับตลึงกับปริมาณรถที่เพื่อน ๆ คอเดียวกันมาชมในรอบดึก โดยถนนหน้าสนามซึ่งเป็นสองเลนสำหรับวิ่งสวนทางกันได้นั้น
กลายสถาพเป็นสองเลนวิ่งทางเดียว ประจวบกับผมไม่สามารถนำรถออกจากที่จอดรถได้เลยต้องให้คนดูแลช่วย ๆ กันเข็นรถที่ขวางจึงไปนั่งกินข้าวต้มรอ
ราว ๆ สี่ทุ่มยี่สิบก็นำรถออกมาได้แต่ต้องวิ่งไปทางเดียวกับกับที่เพื่อน ๆ มากันไม่สามารถสวนเลนย้อนออกไปได้ จึงจำเป็นต้องไปยูเทรินเข้าไปวิ่งถนนริมคลองอีกฟาก ซึ่งเป็นถนนค่อนข้างแคบรถวิ่งสวนกันลำบาก แล้วผมก็วิ่งมาถึงบริเวณเกิดเหตุ
บริเวณเกิดเหตุนั้นอยู่ตรงข้ามกับสนามพอดีเป๊ะ ขณะที่ผมกำลังขับอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนเมาออกมากระโดดขวางหน้ารถคันข้างหน้าผม
ซึ่งจากการสังเกตแกคงนั่งตกปลาและก๊งกับเพื่อนๆ กันอยู่ แล้วผมสันนิฐานว่ารถคันที่วิ่งผ่านไปแล้วน่าจะใช้ความเร็วและเข้าใกล้แกจนแกโมโหขึ้นมา
ลำพังคนเมาอย่างเดียวไม่น่ากลัวเท่าไหร่เพราะเดินไม่ค่อยตรง ขณะที่แกออกมาขวางนั้นก็ยกโทรศัพท์
(ผมเปิดกระจกนิด ๆ แอบฟังเพราะต้องระวังตัวกลัวจะโดนลูกหลงเนื่องจากข้างหลังผมก็มีรถตามมาทำให้ไม่สามารถถอยได้)
ฟังจากสิ่งที่แกพูดแบบจับความได้ประมาณว่าโทรไปหา"อาสาสมัคร"ซักคนนึงเพื่อให้ดักรถคันนั้นที่วิ่งเฉียดแกไป เรื่องไม่จบแค่นั้น
แกยังคงยืนขวางอยู่ ประจวบเหมาะกับชายอีกลงมาจากรถที่จอดหลบให้ข้างทาง(ผมดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็น"อาสาสมัคร"ด้วย)พร้อมกับปืน
ซึ่งถ้าผมสังเกตไม่ผิดน่าจะเป็น colt แต่ไม่แน่ชัดว่ารุ่นใด ลักษณะการชักปืนนั้นจงใจโชว์ให้คนบริเวณนั้นเห็นว่ามีปืน ที่สำคัญไปกว่านั้นแกขึ้นลำพร้อมเอานิ้วสอดไปในโก่งไก แล้วเดินไปเดินมา(ผมคิดว่าคงจะลงมาดูเหตุการณ์และน่าจะรู้จักกับชายที่เมาเนื่องจากมีการพูดคุยกันค่อนข้างสนิทสนม)
พอผมเห็นดังนั้นก็คิดในใจเอาแล้วจะมามีเรื่องอะไรกันตอนนี้ข้าไม่เกี่ยวน่ะเฟ้ยอยากกลับบ้านนอน
พร้อมสั่งให้แฟนผม load คู่ใจทันทีพร้อมขึ้นลำส่งให้ผม ตอนนั้นคิดในใจว่าถ้าเกิดหันปืนมาที่ข้า คงต้องมีสวนเพราะเล่นนิ้วพี่แกอยู่ในโก่งไกตลอดแล้วค่อยไปว่ากัน
ส่วนความรู้สึกตอนนั้นปืนเราทำไมมันเย็นและหนักจังซึ่งอาจจะเนื่องมาจากอยู่ในภาวะกดดันทำให้มือผมเย็นไปด้วย
หลักจากนั้นคนที่ถือปืนแกก็บอกให้คนที่เมานั้นหลบให้รถคันอื่นไปก่อนไม่เกี่ยวกัน พี่แกก็เดินหลบให้แบบเสียไม่ได้แต่ก็ยืนเบียดซ่ะจนรถคันข้างหน้าผมต้องหลบลงข้างทางด้านซ้ายหน่อย ๆ
ส่วนผมก็เดินหน้าตามไปพร้อมปืนในมือซ้าย ที่สำคัญคือรถผมนั้นเปลี่ยนแม๊กซ์มา ไม่สามารถหลบลงข้างทางได้อย่างคันหน้าจึงทำให้เบียดพี่เมาแกเข้าไปอีก
ซึ่งก็ระวังเต็มที่ไม่ให้ไปโดนพร้อมกับคอยระวังคนที่ถือปืนว่าจะมีอาการอย่างไร(กลัวเป็นที่ทดสอบปืน) ขณะที่ขับเฉียดคนที่เมาไปนั้น พี่แกเล่นชี้หน้าผมและตะโกนเข้ามาว่า
"มึ.. อย่าสร้างความเดือดร้อนนะไม่งั้นโดน" เพื่อนผมฉุนกึกเพราะว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าชี้หน้าแล้วพูดแบบนี้ทั้งผมและเพื่อน(คนใต้ครับเพราะถ้าทำกันอย่างนี้ที่บ้านผมล่ะกันยิงกันเล่ะ)
แต่ผมก็พยายามไม่เอามาใส่ใจอยากให้มันพ้นๆไปจะได้ไม่มีเรื่อง

พอขับรถออกมาหน่อยก็ทำการปลดลูกปลดแม็กเก็บเข้ากล่องพร้อมยัดเข้าที่ซ่อนเนื่องจากกลัวว่าข้างหน้าจะมีป้อมตำรวจแล้วจะเรื่องเยอะถ้าเห็น
แล้วก็คิดในใจว่าทำไมน้อ "อาสาสมัคร" ถึงได้กล้าทำขนาดนี้เพราะขณะที่ฝั้งตรงข้ามนั้นเต็มไปด้วยตำรวจที่มาอำนวยความสะดวกแก่สนามอยู่
คิดต่อไปอีกก็คงเป็นนิสัยของ"อาสาสมัคร"(ไม่รวมถึงพี่พี่ที่เป็นอาสาที่ดีน่ะครับ)
แล้วผมก็โยนเรื่องนี้ออกจากหัวผมไป
ที่มาเล่านั้นเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับผมสองครั้งแล้วต่างกันแค่เวลาแต่สถานที่คือ ทางไปสนามแข่งรถคลอง 5 ทั้งสองครั้ง และทั้งสองครั้งก็จะ"อาสาสมัคร"นิสัยแบบนี้เค้ามาเกี่ยวข้อง

ย้อนไปครั้งแรกซึ่งก็นานมาแล้วราว ๆ ปีนึงเห็นจะได้
รถคันที่นำหน้าผมนั้นเป็นรถที่จะต้องมาแข่งในงานซึ่งพี่แกมาสายจึงกดคันเร่งซ่ะเต็ม ๆ และจำเป็นต้องแซงเพื่อที่จะไปให้ทัน(ผมไม่ได้รู้จักน่ะครับแต่มาเห็นตอนที่พี่เค้าลงแข่ง)
พอมาถึงที่เกิดเหตุเป็นจังหวะที่พี่แกแซงคันช้าข้างหน้าเป็นกระบะของ"อาสาสมัคร"แล้วบังเอิญมีรถออกมาจากซอยด้านซ้ายแบบไม่ดูขวา
เลยทำให้รถพี่แกต้องปาดกลับซ้ายอย่างเร็ว จนเกือบจะไปปาดโดนรถกระบะ ซึ่งก็ทำให้อาสาสมัครคนนั้นคงโกรธเลยขับไปปาดคืน
(เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่อาสาสมัครแกเลยรู้ว่าถนนตรงไหนวิ่งลงข้าง ๆ ได้)
แล้วก็เบรคกันตัวโก่งกะว่าจะให้ชนท้าย แต่ทว่ารถของพี่ที่ต้องไปแข่งนั้นทำมาค่อนข้างดีระยะเบรคสั้นมาก ส่วนผมตามห่างๆยังเบรคเกือบไม่ทัน ส่วนรถกระบะก็เลยออกไปค่อนข้างไกล แล้วพี่อาสาแกก็เดินลงจากรถพร้อมปืนยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัดแล้วเล็งปืนมาที่รถ (ผมสังเกตไม่ทันว่าปืนอะไรเนื่องจากตั้งลำถอยเข้าซอยทันทีและค่อนข้างมืดแต่เห็นลางๆว่าเป็นออโต้)
ซึ่งก็ทำให้พี่คนที่จะไปแข่งนั้นทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ส่วนผมพอจอดในซอยตั้งท่าจะเลี้ยวซ้ายออกเพื่อลี้ภัยและก็รอดูเหตุการณ์นิดนึงว่าจะออกหรือจะถอยเข้าไปในซอยต่อ
แล้วพี่คนที่จะไปแข่งก็ออกมาไหว้ขอโทษแบบแทบจะกราบ ส่วนอาสาก็ได้ใจใหญ่ตะโกนโหวกเหวกด่าใหญ่เลย
ประมาณว่าพวก มึ.. คิดว่าเป็นใครมาทำแบ่งแถวนี้แถวนี้ ก..ู คุม มาขับรถปาดหน้า ก..ู มึ.. อยากตายเหรอ ส่วนไอ้คันที่หลบในซอยน่ะกลัวมากเหรอ ไอ้ลูก ห.ม.า ไม่มาช่วยเพื่อนพร้อมชี้ปืนมาทางรถผม ผมก็ใส่เกียรถอยรอไว้พร้อมผมคิดในใจว่ามาเอาผมไปยุ่งทำไม
ส่วนพี่ที่จะไปแข่งก็คงขอโทษขอโพยเพราะว่ารีบ (ผมไม่ได้ยินเพราะอยู่ห่างพอสมควรได้ยินแต่เสียงตะโกนของอาสา)
แล้วพี่อาสาแกก็เดินมาตบกะโหลกไปสองทีแบบค่อนข้างแรงและเหยียดหยาม แล้วก็เดินกลับไปที่รถพร้อมออกรถไปด้วยความฉุนเฉียว
ส่วนพี่ที่จะไปแข่งนั้นพอหายงงว่าเกิดอะไรขึ้นก็กลับขึ้นรถไปแล้วก็ไปสนามต่อ
ผมก็ตั้งลำกลับไปสนามพร้อม ๆ กับพี่แก แล้วก็ไปเจอในสนามได้คุยกันนิดหน่อย
ได้ความว่าพี่แกไม่อยากมีเรื่องเนื่องจากก็เป็นฝ่ายผิดและรีบจะมาแข่ง แต่ที่สำคัญคือผมได้ยินแฟนพี่แกพูดด้วยความฉุน ๆ ว่า
"ไม่น่าจะไปยอมมันเลย ยิงทิ้งซ่ะแล้วค่อยให้พ่อเค้ามาเคลียร์ มาทำแบ่งว่าใหญ่อยากรู้ว่าใหญ่แค่ไหน" ผมก็คิดว่าคงใหญ่น่าดูที่สำคัญคือผมเหลือบไปเห็นในกระเป๋าของแฟนพี่เค้าพกปืนมาด้วยและเป็นตราโล่ ก็คงจะใหญ่ไม่เบา
แล้วก็คุยเรื่องรถกับพี่แกอีกนิดหน่อยพร้อมกับลาแกไปนั่งเป็นผู้ชมต่อจนการแข่งขันใกล้จบ แล้วผมจึงรีบออกก่อนเพราะไม่อยากรอให้การแข่งจบไม่งั้นจะมาเจอเพื่อนๆ
ที่พร้อมใจกันออกรถก็ติดอีกแน่ ๆ แล้วดันมาจะเอ๋กับพี่ที่แข่งตอนขาออกเพราะพี่แกไม่เข้ารอบจึงคิดจะกลับเร็วเหมือนกัน แล้วผมก็ทักทายไปแล้วก็วิ่งตามหลังแกไปอีก
ขณะขับรถกลับเพื่อย้อนกลับเข้ากรุงเทพนั้น บริเวณที่เลยโรงพักมาราว ๆ สองร้อยเมตรจะได้ ผมเหลือบไปเห็นรถของพี่อาสาคนนั้นจอดอยู่พร้อมเพื่อน ๆ สองสามคนกับรถอีกสองคันจอดอยู่ด้านซ้าย ได้ชี้หน้ามาที่พี่ที่เป็นคนแข่งแล้วก็วิ่งกันขึ้นรถซึ่ง ผมเห็นถ้าไม่ดีจึงตีขนานกับพี่เค้าแล้วก็บอกว่ารีบ ๆ เลยไอ้พวกนั้นตามมา
วันนั้นเป็นวันที่ผมขับรถได้เลวสุดๆ สำหรับพี่ๆ ที่เคยไปเยี่ยมสนามแห่งนี้ก็คงได้เจอทางไปสนามที่คอนข้างจะแคบและมืด ๆ หน่อยพร้อมกันมีรถของชาวบ้านที่พร้อมจะออกมาจากซอยตลอดเวลา ผมกับพี่นักแข่งเหยียบไม่คิดชีวิตครับถนนเล็กๆ นั้นผมไม่ต่ำกว่าร้อยห้าสิบจนกระทั้งมาออกถนนใหญ่ แล้วก็ยังคงเร่งเต็มคันแร่งบนถนนวิภาวดีรังสิตไปจนถึงบ้านน่ะหล่ะครับ
ลงมาจากรถอยากจะร้องให้

ล้อแมกซ์ผมได้รอยมาไม่ใช่น้อยกระแทกกับหลุมไปหลายครั้งเนื่องจากถนนยังไม่ปรับปรุง
พอรุ่งเช้าผมเอารถไปอู่เพื่อนตรวจสอบช่วงล่างและล้อผลปรากฏว่าแม๊กซ์คดทั้งสี่วง จึงได้ให้ช่างถอดยางออกเพื่อคิดว่าจะซ่อมดีมั้ย
ถอดยางออกมาเอาขึ้นที่ถ่วงล้อช่างบอกหมดสิทธิ์พี่ ผมไปยืนดูทำหน้าไม่ถูกตั้งแต่โตมาไม่เคยเห็นแม๊กซ์วงไหนจะแกว่งได้น่าเกลียดได้ขนาดนี้
ก็เลยโทรบอกประกันมาเคลมให้พร้อมกันเสียตังค์ค่าส่วนต่างเล็กน้อย (ผมเปลี่ยนรุ่นใหม่) คิดในใจฟาดเคราะห์ไปล่ะกันดีกว่าโดนยิง
ผมก็แค่อยากเล่าเรื่องราวแย่ ๆ ที่เคยเจอมากับพื้นที่ที่มีอาสาสมัครทำตัวกร่าง