ผมไม่ค่อยเห็นกระทู้ เกี่ยวกับ smith ที่เป็น ออโต้ เป็นเพราะปืนไม่ดี หรือ ว่าที่บ้านเราไม่นิยมครับ?
ก็เลยไม่ค่อยได้ความรู้ของ smith ที่เป็น ออโต้ ซักเท่าไหร

[/img]
อีกสองวันจะมาเล่าให้ฟังเนียนๆ ครับ ว่าทำไม ไม่มีใครถาม....
รอฟังครับ
กราบขอโทษด้วยผ้าแดงเลยครับ...คุณไมโล ....(ของอร่อยของผม) พอดี มีงานตอนเช้าด่วนขึ้นมาอีกแล้วครับ .....ไว้ว่างเมื่อไหร่จะเข้าให้ทันทีเลยครับ ....
ผมก็รอครับพี่

....มาแล้วครับ....เสร็จภารกิจแล้ว ...มีเวรต้องอยู่กันอีกยาว เลยเข้ามาได้
สมิธฯออโตหรือครับ.......ไม่มีคำตอบสำหรับปืนนี้เลยครับ เพราะตอบยากมากๆ เอาเป็นว่า วิเคราะห์และเรียบเรียงเหตุการณ์ให้ดูกันดีกว่า จริงบ้างเท็จบ้าง อ่านกันเล่นๆ ก็แล้วกันนะครับ
.....ประวัติ ที่มาของสมิธแอนด์เวสสัน แบบย่อๆ
เมื่อ ประมาณ ค.ศ. 1836 (ราวๆ รัชกาลที่ 3-4 ) โคลท์ ลูกโม่ กำเนิดขึ้นในอเมริกาใหม่ๆ มีการบรรจุกระสุนและดินทางด้านหน้าลูกโม่ และได้รับการบรรจุเข้าประจำกองทัพสหรัฐฯในสมัยนั้น มีประวัติโชกโชน ฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ รบกัน อเมริกัน ฆ่ากันเอง ก็ใช้ลูกโม่โคลท์ นี่แหละ ยิงกันเอง ทำให้ประวัติของลูกโม่โคลท์ ค่อนข้างจะตราตรึงใจคนอเมริกัน
สมิธแอนด์เวสสัน ก็คิดปืนลูกโม่ขึ้นมาเหมือนกัน แต่ใช้แบบ ลูกโม่หักลำ แค่นี้ ก็เลียนแบบโคลท์ แล้วครับ แต่ตอนนั้น สมิธล้ำหน้ากว่านิดหน่อย คือเป็นกระสุนปลอกโลหะเหมือนในปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ก็มีเรื่องของสมิธฯอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยดังในทางทหารเท่าใดนัก
พอสมัยต่อมา โคลท์คิดปืนลูกโม่ หกนัด (ซิกกัน) ใส่กระสุนปลอกโลหะได้ เลียนแบบ
สมิธ แต่ ใส่ทางท้ายลูกโม่ โดยการง้างนกหน่อยหนึ่ง แล้วเปิดฝาด้านหลัง หยดไปทีละนัด ที่ละนัด ส่งเข้าทดสอบเป็นปืนประจำกองทัพอเมริกาอีกเช่นเคย สมิธฯก็ส่ง ปืนลูกโม่แบบหักคอ เข้าแข่งขันเช่นกัน ตอนแข่งกันบรรจุบนพื้นดิน สมิธชนะโคลท์ขาดลอย เพราะพอยิงเสร็จ หักคอ ปลอกหกนัด กระเด็นออกมาทันที แล้วหยดใหม่ ปิดโม่ ชนะโคลท์ เพราะใส่ได้เร็ว ในขณะที่โคลท์ ต้องหยดทีละนัด จากด้านหลัง
......แต่ที่มาแพ้ชนะกันจริงๆ ก็คือ การใช้ปืนบนหลังม้า สมัยนั้น ทหารจำต้องใช้ม้าในการรบ พอแข่งขันกันบนหลังม้า ม้ามันควบไม่หยุด คนนั่ง ไม่ถนัดในการบรรจุไม่ว่าปืนชนิดใด แต่สำหรับ ทหารใหม่ๆ ไม่ถนัด เวลาง้างนกปืนสมิธ ดันไปโดนคันล็อคโม่ โม่เปิดโดยไม่ตั้งใจ กระสุนกระเด็นออกมาเหลือแต่ปืนเปล่า ....พอมาถึงจุดนี้ กองทัพเลยตัดสินใจ เอาโคลท์เหมือนเดิม ....สมิธแพ้อีกตามเคย สมิธก็เลยได้แต่ตลาดประชาชนเสียส่วนใหญ่ ก็เลยไม่ดัง
.....ต่อมา โคลท์คิดลูกโม่แบบดับเบิ้ลแอ็คชั่นได้ในช่วงปี 1892 ขนาด .38 เป็นการบรรจุแบบบานพับ เหมือนในปัจจุบัน ...โคลท์ก็ได้รับเลือกเข้าประจำกองทัพสหรัฐอีกแล้ว
สมิธฯ มีลูกโม่บานพับออกมา แต่ทำไมไม่ได้เข้ากองทัพกับเขาเลย ไม่รู้เป็นยังไง
ชื่อเสียงก็เลยแผ่ว สู้โคลท์ไม่ได้
....ต่อมา ปี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โคลท์ได้รับสัมปทานในการผลิต เอ็ม 1911 ขนาด .45 ออโต เข้าร่วมสงครามในยุโรป ปืน เอ็ม 1911 ผลิต ยังไง ยังไง ก็ไม่ทัน
สมิธฯ ไม่รู้ถูกบังคับหรือเปล่า จำไม่ได้ แต่ว่า สมิธฯ ต้องผลิตลูกโม่ ที่ต้องใช้คลิปกระสุนแบบเป็นพวง (ฮาฟมูนกริ๊ป) เพื่อใช้ลูก .45 ออโต ของโคลท์ มาใช้กับปืน รีวอลเวอร์ ของสมิธฯ แค่นี้ ก็เห็นแล้วว่า ในกองทัพสหรัฐฯ สมิธ เป็นรองโคลท์มาตลอด
.0...ผมกำลังจะบอกว่า ปืนที่ประจำกองทัพสหรัฐ ผู้ใด บริษัทใด ที่สามารถเข้าไปรับสัมปทานปืนสำหรับกองทัพได้ บริษัทนั้นแทบไม่ต้องโฆษณาอะไรแล้ว มีคน มีประเทศต่างๆ ที่เป็นรองกว่า ไขว้ขว้า ที่จะได้ครอบครองเลียนแบบ กองทัพที่เกรียงไกรที่สุดในโลก(จริงหรือเปล่าไม่รู้) อย่างเช่น บาเร็ตต้า หรือ เอ็ม 16 เป็นต้น ไม่รู้ว่าดีแค่ไหน แต่ในเมือ ยูเอสอาร์มี่ใช้ ก็น่าจะการันตีได้
.....ดังนั้น เมื่อมาเป็นสมิธออโต ถึงแม้จะดีอย่างไรก็ตาม ค่านิยม ก็ยังเป็นส่วนสำคัญ เมื่อคนคิดจะซื้อ คิดจะพูดถึง ก็มักจะเลือกเอาปืนที่กองทัพเคยใช้ เช่น โคลท์ ของอเมริกา
บาเร็ตต้า ของอเมริกา กล็อค ของกองทัพออสเตรีย บราวน์นิง ไฮพาวเวอร์ของ หน่วย
เอสเอเอส(ต่อต้านการก่อการร้ายของอังกฤษ) หรือเอชเค โมเดลต่างๆ ฯลฯ
แต่สมิธออโต กลับไม่มีชื่อเสียงในหน่วยใดๆเลยละครับ ....ก็เลยไม่ค่อยมีใครพูดถึง
และแน่นอน มันก็ส่งผลมาถึงการซื้อปืนในเมืองไทย
คนที่ซื้อปืนในเมืองไทย ....เฉพาะคนที่เล่นปืน แท้ๆ ก็ชอบที่จะซื้อตามค่านิยมจาก
กองทัพเหมือนกัน เช่น บ้าโคลท์ขึ้นสมองเหมือนผม หรือชอบปืนชนิดต่างๆ ตามแบบของกองทัพ ปืนที่มีประวัติ มีที่มา ควรค่าแก่การซื้อไว้แล้ว ยิงด้วย โม้ด้วย ชื่นชมของรักด้วย
ก็เลยเข้ามาคุยกัน
......แต่คนซื้อปืนสมิธฯ ส่วนใหญ่ เป็นคนซื้อปืนแบบ ซื้อไปใช้งานเป็นส่วนใหญ่ ซื้อมาแล้วไม่ได้คิดจะเล่นอะไรพลิกแพลง ใช้ได้ ยิงตาย ไม่ขัดลำ แค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้คิดที่จะมีไว้ชื่นชมอะไรมากนัก ก็เลยไม่ได้เข้ามาคุยกัน นะครับ
....ผมก็กำลังจะบอกว่า สมิธฯเป็นปืนใช้งาน ซื้อมาแล้วใช้งานจริงๆ ไม่ได้คิดสะสม หรือเอามาแต่งเล่นให้มันเกิดปัญหาเล่น ก็เลยไม่มีเรื่อง หรือ ไม่มีใครเข้ามาคุยกันนะครับ
....ทีนี้ มาวิเคราะห์เรื่องลักษณะปืน กันหน่อย เป็นไร
...ลำกล้อง ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ลำกล้องสมิธมีแรมทางขึ้นกระสุนด้วย ก็เลยไม่เคยติดขัดอะไร เลยไม่มีเรื่องอะไรให้คุยอีกเช่นกัน
...ระบบสลัดปลอกกระสุน สมิธ ผลิตปืนออโต เกือบจะทีหลังเพื่อนแล้ว ชาวบ้านเขาประสบปัญหากันมามากแล้ว สมิธ มาผลิตทีหลังเลยแก้ไขทุกอย่างให้เรียบร้อย เป็นการสลัดปลอกก่อนกระสุนในแม็กฯขึ้นมารบกวน ก็เลยไม่มีปัญหามาคุยกันอีกเช่นเคย เพียงแต่ถอดล้างละเอียดในส่วนนี้ ยากมาก ก็เลยไม่มีใครถอด นอกจากช่าง ก็เลยไม่มีใครคุย
เรื่องศูนย์หน้า ..หลัง ...มีการพัฒนาเลียนแบบชาวบ้านเขาหมดแล้ว ศูนย์หน้าใช้สอดข้างแบบบากหางเหยี่ยว เปลี่ยนก็ง่าย ศูนย์หลังบางทีเป็นของโนแวกค์ อีกต่างหาก เลยไม่มีเรืองคุยว่า มันจะดีหรือไม่ เพราะโนแว็ค การันตีให้อยู่แล้ว
....เรื่องระบบ ดับเบิ้ลแอ็คชั่น แจ๋วอยู่แล้ว มีทั้ง ซิงเกิ้ล และดับเบิ้ล อยู่ในตัวเดียวกัน หลายรุ่น น้อยรุ่นนักที่จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้น ถูกใจแฟนทั้ง ดับเบิ้ลและซิงเกิ้ล เลยไม่ต้องเถียงกัน
.....เรื่องแต่งความฟิต ปืนสมิธ ฟิตมาแต่โรงงานแล้ว เลยไม่ต้องมากังวลว่า จะต้องมาถ่าง จะต้องมาแหก ให้มันฟิต แต่อย่างใด ปลายลำกล้อง ก็ไม่มีบูช มีแต่บางรุ่นที่มีบูช
เท่านั้น จึงไม่มีปัญหามาบ่นว่า ปลายลำกล้องฟิต หรือไม่จะแต่งอย่างไร ก็เลยไม่มีเรื่องบ่นกัน เลยนะครับ
.....เรื่องความแม่น ......รับรองว่า ใครที่ยิงแบบปั้นกลุ่มเป็น ศูนย์ชัด เป้าไม่เห็น เป็นวิธียิงปืนแบบไม่สะใจนี้ ยอมรับทุกคนว่า สมิธฯ กลุ่มดีมาก ก็เลยไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า กลุ่มแน่นหรือไม่
แต่ที่ไม่นิยมในกลุ่มผู้เล่นปืน นิยมปืนแต่งก็เพราะว่า อะไหล่ไม่มีให้แต่ง ไม่มีอะไรให้เล่น ก็เลยไม่มีอะไรมาคุย
ยกตัวอย่าง 1911 มีของเล่นเยอะมากๆ เพราะดังมานาน ปัญหาก็เยอะ เถียงกันไม่มีวันจบสิ้น เอาเป็นว่า ถ้าคนชอบๆ กันละก็ คุยกันสามวันสามคืนก็ไม่จบ
หรือ กล็อค บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าร้าย ของแต่งมากขึ้นทุกวัน ความไม่แน่ใจในโพลิเมอร์ ก็ทำให้มีปัญหาได้เถียง ได้ถามกันทุกวัน
ส่วนสมิธ เอาไปสนาม ยิงลูกจริงก็ได้ ยิงลูกซ้อมก็ดี ไม่เห็นมีอะไร มีติด มีขัดบ้างเล็กน้อย แล้วคนซื้อ ก็ไม่ใช่ คนเล่นของ ........(คนเล่นปืน).......ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกัน
........เหตุที่มาของการไม่มีเรื่องคุยของสมิธออโต ก็มีประการละฉะนี้แหละครับ
อ่านแก้เหงาครับ...อย่าคิดมาก