เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
มิถุนายน 15, 2025, 01:29:44 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ผมนับถือคุณจริงๆ  (อ่าน 18650 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: มีนาคม 07, 2005, 09:08:33 AM »

นายสมชายลอกมาจาก Link ที่ท่านเจ้าของกระทู้แปะเอาไว้ครับ...

... นายสมชายมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า งานนี้จ่าตุ๊... ใช้ Colt .38 Super ครับ... ซุปไก่ตัวเก่าแก่และดั้งเดิม

เรื่องบู้ในวงการหมัดมวยที่เป็นตำนานให้คนรุ่นหลังศึกษามีอีกแยะครับ เช่นเรื่องยิงโหงวห้าพลังในสนามมวยมือปืนก็ใช้ซุปไก่ .38 Super... มือปืน+ระเบิดที่ลอบสังหาร(ไม่สำเร็จ)แคล้ว ธนิกูล หนนึงก็ใช้ .38 Super ครั้งนั้นใช้ระเบิดถล่มในสนามมวย มือปืนคุ้มกันใช้ .45 นั่งอยู่ในรถ พอเกิดเรื่องก็จะวิ่งออกไปคุ้มกันนาย มือปืนถีบใส่ประตูรถไม่ให้ออกมาข้างนอก เอาระเบิดมือขว้างทะลุกระจกหน้า แล้ววิ่งหนี ระเบิดในรถ มือปืนคุ้มกันตาย พร้อม .45 มีลูกคาในรังเพลิงขึ้นลำพร้อม...งานนี้คนในตระกูลตำรวจใหญ่ก็โดนลูกหลงเสียชีวิตด้วย...

เรื่องของอดีตมือปืนของแคล้ว... หมึกเพชร ก็ตื่นเต้น...

นอกวงการมวยก็ยังมีเรื่องเสี่ยจิว(เอาลูกซองไล่ยิงกันบนถนนยาวเป็นกิโลเมตรฯ)... เรื่องเสี่ยแหย(ระเบิดที่หน้าศาลเชียว)... เรื่อง พตท.ไชยยันต์(อันนี้ใหม่ไป ไม่น่าคุย... ฮา)

"จ่ากระดูกเหล็ก" รอดปาฏิหาริย์ กระสุนฝังใน 3 นัด...กัดฟันยิงสู้!

ในยุทธจักรวงการหมัดมวยไม่มีใครไม่รู้จัก "จ่าตุ๊" หรือ จ.ส.ต.ประพันธ์ พงษ์สว่าง โปรโมเตอร์ และเจ้าของค่ายมวยดัง ป.พงษ์สว่าง ซึ่งมีนักมวยระดับ แม่เหล็กอยู่ในสังกัดหลายต่อหลายราย แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เขาเคยผ่านประสบการณ์ "เฉียดตาย" และรอดชีวิตมาได้ราว ปาฏิหาริย์ยิ่งกว่านิยายเล่มใด

ท่ามกลางเปลวแดดร้อนเปรี้ยงของเที่ยงวันที่ 8 กันยายน 2532 ชาวบ้านในย่านใกล้เคียง หมู่บ้านเสนานิเวศน์ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ๆ เกิดเสียงปืนดังติดๆ กันขึ้นหลายนัด และสิ่งที่พวกเขาพบเห็นหลังสิ้นเสียงปืน คือ เศษกระจก และรอยเลือดเป็นหย่อมๆ ภายในซอยเสนานิคม 1 ใกล้หมู่บ้านเสนานิเวศน์ แขวงจรเข้บัว เขตบางกะปิ กทม. ส่วนผู้บาดเจ็บ และมือปืนที่ลงมือต่างหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ระหว่างนั้นเหยื่อคมกระสุน คือ จ.ส.ต.ประพันธ์ ได้พาร่างอันโชกเลือด พยายามประคับประคองรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู สีบรอนซ์ รุ่น 318 ไอ ทะเบียน 4ช 6655 กทม. ซึ่งอยู่ในสภาพถูกคมกระสุนเจาะพรุนไปทั้งคัน กระจกด้านคนขับแตก และล้อหน้าด้านขวาแบนขับไปยังโรงพยาบาลเมโย โดยที่มือซ้ายถือปืนขนาด 9 มม.จับพวงมาลัยรถ และเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือข้างเดียวกันหมด เพราะมือขวาต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวมาม้วนๆ อุดปากแผลที่ถูกกระสุนปืนบริเวณหน้าอกซ้ายที่เลือดกำลังไหลเป็นก๊อกน้ำแตก เขารู้ตัวดีว่าถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติเลือดในร่างกายมีหวังไหลออกหมดก่อนที่จะถึงมือหมอเป็นแน่ และนั่นหมายถึงจุดจบในชีวิตที่กำลังใกล้เข้ามาถึงทุกขณะ...

ในที่สุดความพยายามก็ประสบความสำเร็จ เขารอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ทั้งที่ถูกยิงถึง 4 นัด โดยนัดหนึ่งเข้ากรามขวาทะลุซ้าย ส่วนอีก 3 นัดล้วนเจาะเข้าที่จุดสำคัญของร่างกาย คือ เหนือท้ายทอย เหนือราวนมซ้ายเฉียดขั้วหัวใจ และนัดสุดท้ายกระสุนฝังอยู่บริเวณกะโหลกด้านหลัง แต่แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดออกมาได้ เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนถึงแก่ชีวิต! ข่าวการลอบสังหาร และการรอดชีวิตอย่างเหลือเชื่อของจ่าตุ๊แพร่สะพัดไปทั่ว เช้าวันต่อมาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างพาดหัวข่าวนี้กันอย่างครึกโครม แต่จ่าตุ๊ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมเผยว่าผู้บงการเป็นใคร กระนั้น อานุภาพทำลายล้างของ กระสุนก็ทำให้จ่าตุ๊ต้องใช้เหล็กชนิดพิเศษดามคางไว้แทนกระดูกกรามจริงๆ เพื่อคงสภาพไว้ไม่ให้กลายเป็นคนไร้คาง ระหว่างนั้นก็เริ่มพูดได้ และมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ เมื่อรักษาตัวได้เพียง 16 วัน แพทย์ก็อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล เพราะตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆ

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.ไพฑูรย์ สุวรรณวิเชียร รอง ผบช.น. พ.ต.อ.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ รอง ผบก.น.เหนือ พร้อมทีมสืบสวน บก.น.เหนือ ได้ลงมาควบคุมการทำคดี โดยตั้งปมสังหารไว้ 2 ประเด็น ประเด็นแรก มุ่งไปที่ปมการขัดผลประโยชน์ในวงการมวย ประเด็นที่สอง คือ การขัดผลประโยชน์ในวงการพนัน ซึ่งจ่าตุ๊ถือเป็นผู้กว้างขวางรายหนึ่งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การคลี่คลายคดีกลับไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากผู้เสียหายไม่ยอมเข้าแจ้งความ และชี้เบาะแสใดๆ คดีดังกล่าวจึงยังคงเป็นปริศนา มาจนถึงทุกวันนี้ว่าใครเป็นผู้บงการกันแน่ ผ่านมาเกือบ 16 ปี จ.ส.ต.ประพันธ์ จึงได้ย้อนเหตุการณ์เฉียดตายในครั้งนั้นให้ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ได้มีโอกาสถ่ายทอดอย่างละเอียดอีกครั้ง

"วันนั้นประมาณเที่ยงวัน ผมได้ขับรถออกไปทำธุระที่ธนาคาร แต่พอออกจากบ้านได้ไม่ถึง 2 กิโลเมตร รถก็ต้องขึ้นเนิน และต้องแตะเบรกชะลอความเร็วพอดี จังหวะนั้นมีชาย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง เข้ามาประกบด้านข้างตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีผมก็ได้ยินเสียงปังเป็นนัดแรก ตอนนั้นรู้เลยว่าเราถูกยิงที่หัวแน่ เพราะแรงกระสุนมันผลัก จนหัวคะมำไปข้างหน้า หน้าผากกระแทกพวงมาลัยอย่างแรงจนมึนไปหมด พอรู้ตัวว่าถูกยิงผมก็จับคันบังคับเบาะเอนไปข้างหลังเพื่อบีบให้เป้าหมายเล็กลง จากนั้นรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งแซงไปข้างหน้าประมาณ 10 เมตรก็หยุดรถ มือปืนซ้อนที่ท้ายได้เดินลงมา ซึ่งผมนึกในใจอยู่แล้วว่ามันต้องเดินลงมาซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าตายสนิท มันเดินตรงเข้ามาเหมือนย่ามใจ ตอนแรกผมคิดว่าถ้าเดินมาหน้ารถก็จะสาดกระสุนทะลุกระจกส่องมันเลย เพราะตอนเอนเบาะมือซ้ายคว้าปืน 9 มม.เตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ดูลักษณะการเดินมาแล้วรู้ว่าต้องเป็นมืออาชีพแน่ จึงสับสนอยู่เหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรดี เพราะมันเดินเข้ามาใกล้ทุกที" จ่ากระดูกเหล็กบรรยายเหตุการณ์นาทีชีวิตต่อว่า

"ในที่สุดผมจึงตัดสินใจเล็งปืนออกตรงกระจกข้างที่แตกแล้วยิงสุ่มสี่สุ่มห้าไป เห็นมันล้มกลิ้งไปหลบกระสุนตรงร้านขายแก๊ส แล้วปีนขึ้นหลังคาที่เป็นกันสาดหน้าบ้าน ผมจึงกระโจนออกนอกรถทางกระจก ทั้งไม่ได้เปิดประตูรถด้วย ซึ่งไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าออกมาได้ยังไง

พอออกมาได้ผมก็ยิงสู้กับคนร้าย พอดีมีผู้หญิงคนหนึ่งผ่านมาก็ตะโกนบอกชาวบ้านให้ช่วยเพราะเห็นเลือดเรา แต่มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งดันตะโกนตอบว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลยเขาถ่ายหนังกันอยู่ ตอนนั้นผมอยากจะขำแต่หัวเราะไม่ออก จึงดวลปืนกับมันต่อ และนึกในใจว่าถ้าดวลปืนกันตัวต่อตัวสนุกแน่ แต่พอเห็นคนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ก็ยิงปืนใส่เราด้วย จึงไม่แน่ใจว่ามันมากี่คนกันแน่ พอผมวิ่งหลบเข้าร้านแก๊ส มันก็กระโดดลงมาจากหลังคาวิ่งเข้าหลบข้างต้นไม้ ผมเลยต้องหาที่หลบข้างๆ รถ และเริ่มดวลกันอีก ตอนนั้นต่างคนต่างโผล่หน้าให้เห็นกันคนละครึ่งหน้า ผมเห็นมันยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ จึงคิดว่ามันช่างใจเย็นจริงๆ อย่างนี้มันมืออาชีพชัดๆ ถึงตอนนั้นผมไม่กล้ายิงสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว เพราะถ้ากระสุนหมดมีหวังตายแน่ ผมจึงยิงประคองอยู่ประมาณ 10 กว่านาทีจนมันคิดว่าเก็บเราไม่ได้แน่เลยวิ่งหนีแบบซิกแซ็ก แบบที่ผมเคยเรียน ตอนเป็นตำรวจ ผมเลยยกปืนขึ้นเล็งตรงกลางหลังมัน คิดว่าไม่น่าพลาด เพราะปกติเป็นคนยิงปืนแม่นอยู่แล้ว

จังหวะที่เล็งมันกำลังจะเข้าซอย แต่ก็ยิงไม่ได้ เหมือนปืนมันหนักๆ พิกล พอจับที่หน้าอกซ้ายก็รู้สึกชา เหมือนถูกยิง พอเห็นเลือดไหลออกมาผมก็รู้เลยว่าถูกยิง แต่ก็ยังวิ่งไล่กวดมันอยู่ เพราะมั่นใจว่ามันก็ถูกยิงเหมือนกัน และคิดว่าคงไปได้ไม่ไกล แต่พอวิ่งได้ 4-5 ก้าวก็สงสัยว่าทำไมคางมันโย้เย้ไปมา จากนั้นเหงือกที่ติดฟันอยู่ก็หลุดออกมากองที่เท้าทั้งแผง พอเห็นว่าเหงือกหลุดจากปากผมก็เก็บขึ้นมาใส่ปากแล้วกัดไว้แน่น คิดว่าถ้าอย่างนี้คงตามไม่ทันแล้ว จึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่รถแล้วแข็งใจขับรถมาโรงพยาบาล" จ่าตุ๊ เล่าเหตุการณ์ระทึกระหว่างพาร่างอันร่อแร่ไปโรงพยาบาลว่า "ตอนขับรถมาผมใช้ผ้าอุดแผลที่หน้าอกซ้ายเพื่อห้ามเลือดไว้ แต่ตา ก็เริ่มมืดลงทุกทีๆ คล้ายตะเกียงใกล้จะดับ ตอนนั้นเห็นภาพ พระ วัด เณร และเด็กที่เราเคยทำบุญด้วย จึงลองพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตาก็ค่อยสว่างขึ้น พอขับไปถึงโรงพยาบาลคนไข้ก็แตกตื่นกันหมด เพราะมีเลือดท่วมตัว แถมยังถือปืนอีก

จากนั้นผมจึงวิ่งเข้าไปล็อกคอหมอกับพยาบาลบอกให้ช่วยรักษาผมหน่อย แต่หมอกลับบอกว่าต้องรีบไป รักษาคนไข้ ผมจึงบอกว่าถ้าหมอไปก็ต้องตายด้วยกันตรงนี้ หมอเลยไม่กล้าไป ซึ่งผมก็พยายามบอกว่าผมไม่ใช่คนร้ายช่วยรักษาหน่อย แต่หมออีกคนกลับบอกว่าคุณถูกยิง ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจจะดีกว่า ผมเลยควักเงินออกมา 6 หมื่นบาท และให้ไปหมดเลย พยาบาลจึงบอกให้ไปขึ้นลิฟต์ พอเข้าห้องผ่าตัดผมก็โทรศัพท์ไปบอกบริษัทยอดมวยว่าถูกยิง ให้ไปบอกภรรยาด้วย จากนั้นจึงติดต่อน้องชาย คือ ร.ต.อ.ต่อศักดิ์ พงษ์สว่าง ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (191) ให้มาช่วยอารักขาที่หน้าห้อง แต่ระหว่างผ่าตัดผมก็ยังไม่ยอมวางปืนไว้ห่างตัว กระทั่งผ่านไป 2 ชั่วโมง ผมจึงรอดชีวิตมาได้ โดยที่หมอไม่ยอมผ่ากระสุนออก เพราะกลัวผมจะตาย"

เมื่อถามถึงผลข้างเคียงที่เกิดจากกระสุนที่ฝังในนั้น จ.ส.ต.ประพันธ์ บอกว่า ไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด และที่ผ่านมาก็ไม่เคยเจ็บป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนสื่อเลย โดยหลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้านหมอ ได้สั่งว่าถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว หูอื้อ หน้ามืด หายใจไม่สะดวก ให้รีบไปพบแพทย์ ซึ่งนี่ผ่านมาประมาณ 16 ปีแล้วยังไม่เคยมีอาการอย่างที่หมอเตือนไว้เลย จ่าตุ๊ เชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้รอดชีวิตมาได้เป็นเพราะ บุญกุศลที่ทำไว้ แม้ก่อนหน้าที่ จะถูกยิงตน อาจจะเคยประพฤติตัวไม่ดี แต่หลังจากนั้นก็ได้กลับตัวกลับใจ และเงินทองที่เคยได้มาในทางที่ไม่ดีก็เอาไปถวายวัดหมดเป็นล้าน อีกทั้งยังได้อุปการะเด็กที่ยากจนมาฝึกให้ชกมวยเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง และครอบครัว นอกจากนี้ ยังห้อยพระเครื่องไว้หลายองค์ อาทิ หลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่น 1 หลวงพ่อวัดตระไกร 2 องค์ หลวงพ่อทวดทองดำ ปิดตาวัดหนัง ฯลฯ

"ผมว่าคนเราถ้าทำชั่ว แม้จะมีพระแขวนคอท่านก็ไม่ช่วย กระนั้นถ้าทำดีแล้วใช่ว่าถูกยิงแล้วจะยิงไม่เข้า แต่อาจจะแคล้วคลาดหรือทำให้บรรเทาลงได้ ผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว สมัยนี้บาปกรรมตามทันเร็ว เพราะเป็นยุคคอมพิวเตอร์ จึงอยากให้ทำดีเอาไว้มากๆ" จ่ากระดูกเหล็ก กล่าวให้ข้อคิด จ.ส.ต.ประพันธ์ เล่าว่า หลังจากเกิดเรื่องก็ได้ลาออกจากราชการ และมาเปิดค่ายมวยของตนเองจนโด่งดังมีชื่อเสียง โดยตั้งใจไว้ว่าบั้นปลายชีวิต อยากเปิดฟาร์มเลี้ยงไก่กับเลี้ยงปลา แต่ต้องรอดูสถานการณ์เรื่องไข้หวัดนกไปพลางๆ ก่อน "ส่วนพวกที่ตามฆ่าผม ผมไม่อยากพูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำ ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นเคราะห์กรรม ตอนนอนอยู่โรงพยาบาลก็มีความคิดว่าจะสู้กับมัน แต่พอเห็นหน้าลูกเมียแล้วก็ใจอ่อน คิดว่าแล้วก็แล้วกันไปจึงตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขจนถึงทุกวันนี้" กรวิกา คงเดชศักดา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 07, 2005, 09:26:31 AM โดย นายสมชาย(ฮา) » บันทึกการเข้า
muk
Hero Member
*****

คะแนน 182
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1265



« ตอบ #16 เมื่อ: มีนาคม 07, 2005, 12:41:10 PM »

สุดยอดครับ...อาแกอึดจริงๆ.............

ในข่าวบอกว่ากลับตัวกลับใจแล้วอันนี้ผมนับถือจริงๆครับ
บันทึกการเข้า

ผู้ใช้ปืนเป็นผู้รับผิดชอบการกระทำทุกอย่างของตน มิใช่อุปกรณ์รับผิดชอบการกระทำของมนุษย์
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.126 วินาที กับ 20 คำสั่ง