.. ขอมาเติม ข้อเท็จจริงที่อาจเป็นประโยชน์ ให้อีกหน่อย ครับ..
การนำอาวุธปืน ออกมาข่มขู่ เจตนาเพื่อห้ามปราม โดยการถือ แล้วยิงขึ้นฟ้า.. ยิงลงดิน
แต่โดยที่ไม่ได้เล็งไปที่คู่กรณี หรือบุคคลอื่นใด ..
ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า ..
และยังไม่ถือเป็นเหตุให้คู่กรณีอีกฝ่าย
ที่มีอาวุธปืนอยู่.. ต้องกระทำการเพื่อป้องกันตัว นะครับ
หากคู่กรณี ยิงสวนกลับมาในพฤติการณ์เช่นนี้
จะถือเป็นความผิดฐาน พยายามฆ่า หรือ ฆ่าคนตายโดยเจตนา.แล้วแต่กรณี.
การท้าทาย สมัครใจวิวาท จะอ้างเหตุในการป้องกันไม่ได้ ..
การป้องกันตัว ต้องเป็นการกระทำปกป้องตนเองหรือผู้อื่น..
จากการประทุษร้าย ในชีวิต และทรัพย์สิน
จากการกระทำอันละเมิดต่อ
กฎหมาย เป็นภัยที่ใกล้จะถึง และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จากพฤติการณ์อย่างโจร อย่างคนร้าย.. เท่านั้น.
และตอบโต้ ในลักษณะอาการอย่างเดียวกับที่กำลังจะถูกกระทำ. เพื่อหยุดการกระทำนั้น.
ส่วนเรื่องพยานหลักฐาน จะได้มาอย่างไร นั้น เป็นงานรับผิดชอบของนักกฎหมายของรัฐ
คือพนักงานสอบสวน.. (ตำรวจ) พนักงานฝ่ายปกครอง .. พนักงานอัยการ .. ครับ.
ความเห็นที่เคยมีมา ว่า รบกับคนตายดีกว่า.. รบกับคนเป็น.
จึงต้องดูข้อเท็จจริง เป็นราย รายไป ..
และความจริงท่านไม่ได้รบกับคนตาย เป็นแต่
จะต้องรบกับพนักงานอัยการ
ที่จะเป็นโจทก์ ในการดำเนินคดีในศาล.. ครับ.
ในฝ่ายบริหารนั้น พนักงานอัยการ ถือเป็นนักกฎหมายมือหนึ่ง ของรัฐ .. ครับ.

ขอบคุณพี่ Ro@d สำหรับความรู้ข้อกฏหมายครับ
ก่อนหน้าที่จะได้อ่านข้อความข้างต้นของพี่นี้
ผมเคยนึกเสมอว่าถ้ามีกรณีว่าอีกฝั่งหนึ่งถือปืนเอาไว้แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าโดยตะโกนด่าผมไปด้วยพร้อมๆกัน (อาจจะโดยการขับรถเปลี่ยนเลนแล้วไม่ยอมกัน คันหน้าโมโหเลยปาดบล๊อกรถผมแล้วถือปืนลงมาจากรถเลย โดยมิต้องด่าทอตอบโต้กัน เพราะผมไม่เคยแลกเปลี่ยนการด่ากับใครแบบนี้อยู่แล้ว ที่ผ่านมานี่ยอมให้เขาด่าเสมอ)
เกิดวันนั้นผมเอาปืนจะไปซ้อมยิงที่สนามพอดี
ผมจะอ้างเป็นสาเหตุว่า "เป็นภัยที่ใกล้จะถึง และมิอาจหลีกเลี่ยงได้" เพราะฉะนั้นถ้าผมยิงก่อน ผมจะยกสถานการณ์มาต่อสู้ทางศาลได้
อุ้ย...คิดผิดแฮะ
ฟังดูเหมือนว่าต้องให้อีกฝั่งยกปืนขึ้นเล็งก่อน ถึงจะยกมาเป็นเหตุต่อสู้ทางคดีได้ (และต้องห้ามด่าตอบโต้กันด้วย!)
อื้อหืมม์ เสี่ยงมากเลยนะครับพี่ ถ้าต้องรอให้เขาเล็งก่อนเนี่ย
