เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
กันยายน 12, 2025, 05:15:34 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ดัน"ม.นอกระบบ"สนองลัทธิ"เสรีนิยมใหม่" เค้าลางความวุ่นวายซ้ำรอย 14 ตุลาฯ(ตัดแปะ)  (อ่าน 2032 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 02:57:43 PM »

ดัน"ม.นอกระบบ"สนองลัทธิ"เสรีนิยมใหม่" เค้าลางความวุ่นวายซ้ำรอย 14 ตุลาฯ
 
โดย เซี่ยงเส้าหลง 15 มกราคม 2550 18:28 น.
 
 
       •• มากครั้งหลายหนที่ การปฏิบัตินโยบาย ในบ้านนี้เมืองนี้เป็น การตัดสินใจ มาจาก ข้าราชการประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการประจำกลุ่มที่มี คุณวุฒิ (หรือบางครั้งบวกด้วย ชาติวุฒิ) ที่มีศัพท์บัญญัติเฉพาะเรียกว่า เทคโนแครต หรือ ขุนนางนักวิชาการ คิดดูก็แล้วกันว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์, พรรคไทยรักไทย หรือ คมช. ที่มี จุดต่างมหาศาล แต่กลับมีนโยบายประการหนึ่งที่ เหมือนกัน เห็นได้ชัดวันนี้คือเรื่อง แปรรูปมหาวิทยาลัยของรัฐ จาก “...ของรัฐ.” ให้เป็น “...ในกำกับรัฐ.” นโยบายนี้ก่อกำเนิดมาไม่ต่ำกว่า 15 ปีภายใต้เป้าหมายดั้งเดิมที่ ดูดีมีเหตุผล คือต้องการให้การบริหารการศึกษา หลุดออกจากกรอบที่เป็นจุดอ่อนของระบบราชการ, ก่อให้เกิดเสรีภาพทางปัญญา แต่พอมาถึงยุควิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ ปี 2540 เป้าหมายเดิมกลับถูกผสมผสานด้วยแรงผลักดันจาก องค์กรโลกบาล เพื่อ ลดรายจ่ายภาครัฐ – ให้เป็นไปตามหลักลัทธิเสรีนิยมใหม่ รัฐบาลยุคนั้นไปลงนามใน สัญญาเงินกู้ กับ ADB ยอมรับ เงื่อนไขบังคับ ของกระบวนการที่ขอเรียกยาว ๆ สักหน่อยว่า แปรรูปมหาวิทยาลัยของรัฐให้ไปอยู่ภายใต้อำนาจตลาดตามหลักลัทธิเสรีนิยมใหม่ โดยมี มติคณะรัฐมนตรี 27 มกราคม 2541 รองรับไว้เสมือน ล็อกสเปก นโยบายและมาตรการของรัฐบาลชุดต่อ ๆ มาจนถึงปัจจุบัน

 
 
วิจิตร ศรีสอ้าน - อุกฤษ มงคลนาวิน
 
 
       •• ในช่วง ปี 2533 – 2535 ที่บ้านนี้เมืองนี้อยู่ในยุค เศรษฐกิจฟองสบู่ มองเห็นแต่คุณงามความดีของ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ข้อเสนอจากกลุ่ม ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน อาศัยต้นแบบจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี แต่ถูกขัดขวางจาก ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ในฐานะ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จึงไม่สามารถผ่าน ร่างกฎหมาย 18 ฉบับ ได้แต่เพียง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ทั้ง 2 มหาวิทยาลัยที่เพิ่ง ตั้งใหม่ ก็เลยกลายเป็น ต้นแบบ ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐไป
       
       •• กระนั้นก็ตาม ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน ในตำแหน่ง ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ได้จัดการ ล็อกสเปก ไว้แล้วใน แผนนโยบายมหาวิทยาลัย ระยะเวลา 15 ปี ระหว่าง ปี 2533 – 2547 ระบุไว้ว่ามหาวิทยาลัยที่จะ ตั้งใหม่ จะต้องอยู่ในฐานะ มหาวิทยาลัยในกำกับ ไม่ใช่ มหาวิทยาลัยในส่วนราชการ เหมือนเดิม
       
       •• จากนั้นมาไม่กี่ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ก็ก้าวเดินตามแผนเป็น มหาวิทยาลัยในกำกับฯแห่งที่ 3 และมหาวิทยาลัยในส่วนราชการต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่มี ศักยภาพ ก็เริ่มต้น ก้าวเดินต่อตามสเปก การจัดวางหลักสูตรเริ่มเป็นไปตาม กลไกตลาด โดยเก็บค่าหน่วยกิตและค่าอื่น ๆ ใน ราคาค่อนข้างสูง อันเป็นผลให้ ผู้บริหารหลักสูตร ที่เริ่มแยกเป็น องค์กรบริหารอิสระ มี รายได้สูงขึ้น และเริ่มก่อรูปเป็น ธุรกิจการศึกษา ที่ใช้ การตลาดเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ ปัญหาสังคมเป็นตัวตั้ง กระแสนี้ยังแผ่ซ่านเข้ามาในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา ในระบบราชการ โดยเฉพาะลงไปถึงระดับ สถาบันราชภัฏ ที่เริ่มหลงลืม ภารกิจเบื้องต้น ของความเป็น มหาวิทยาลัยชุมชน เริ่มคิดแผน 2 ขั้น แปรรูปเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐในลักษณะมหาวิทยาลัยในกำกับ ดุจเป็น แฟชั่น ภายใต้ข้องอ้างที่ดูดี เพื่อคุณภาพทางการศึกษา, เพื่อความอิสระทางวิชาการ และใน ปี 2541 หลัง มติคณะรัฐมนตรี 27 มกราคม 2541 ขุนนางนักวิชาการเครือข่ายของ ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน ใน ทบวงมหาวิทยาลัย ก็ ขานรับ ผลักดันให้แต่ละมหาวิทยาลัยในส่วนราชการมา รับทราบนโยบาย, ลงนามในสัญญา เปลี่ยนแปลงตนเองให้เข้าสู่สภาพ Autonomous University ภายในห้วงเวลาระหว่าง ปี 2541 – 2545 และตั้งแต่ ปี 2542 เป็นต้นมารัฐบาลก็ปรับนโยบายใหม่ที่ทำให้ไม่มี ข้าราชการมหาวิทยาลัย โดยแปรเป็น พนักงานของมหาวิทยาลัย เท่ากับ ล็อกสเปก, ลั่นดาล ซ้ำกันหลายชั้นจนกระทั่งกลายมาเป็น เหตุผลสนับสนุนในการแปรรูปมหาวิทยาลัย ณ วันนี้ ว่าเพื่อ ขจัดความแตกต่างระหว่างข้าราชการกับพนักงานมหาวิทยาลัย พูดง่าย ๆ ก็คือ จับพนักงานของมหาวิทยาลัย(หลังปี 2542)เป็นตัวประกัน นั่นเอง
       
       •• คำถามก็คือแนวคิดที่เดินตาม ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ดั่งว่านี้มีละหรือที่จะไม่เป็นผลให้ ค่าเล่าเรียนแพงขึ้น สมมติว่าแค่เพียงนักศึกษาจะต้อง จ่ายค่าเรียน 50 % ของต้นทุนการผลิต ก็หมายความว่า ค่าเล่าเรียนจะเพิ่ม 2 เท่าจากปัจจุบัน นี่ละคือสถานการณ์ที่ เอื้อ ต่อการก่อเกิด ม็อบนักศึกษา ขึ้นในไม่ช้า
       
       •• ตัวอย่าง ต้นทุนการผลิต เท่าที่มีการศึกษากันอยู่คือ สาขาเกษตรศาสตร์ ต้นทุนเท่ากับ 200,000 บาท/ปี/คน หมายถึง 800,000 บาท/4 ปี ก็เท่ากับว่า นักศึกษาสาขาเกษตรศาสตร์ จะต้องจ่ายค่าเล่าเรียน 100,000 บาท/ปี/คน หรือ 400,000 บาท/4 ปี/คน ค่าเล่าเรียนตามมาตรฐานนี้อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นในทันทีแต่จะ ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นขั้นตอน และในทางปฏิบัติจะไปเป็น ตัวดึง ให้ค่าเล่าเรียนใน มหาวิทยาลัยที่ยังเป็นส่วนราชการ ยึดถือเป็นหลัก เพิ่มขึ้น ตามไปห่าง ๆ ด้วย
       
       •• ตัวอย่าง นักศึกษาสาขาเกษตรศาสตร์ ข้างต้นถ้าต้องจ่ายในระดับ 100,000 บาท/คน/ปี ก็จะมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ กู้หนี้ยืมสิน มาเพื่อ ยกระดับฐานภาพ ตามข้ออ้างของฝ่ายสนับสนุนที่แก้ผ้าเอาหน้ารอดง่าย ๆ ว่า คนจนไม่เดือดร้อน – เพราะกู้ยืมได้ โดยหาได้คิดว่าถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้เมื่อนักศึกษาเหล่านี้สำเร็จการศึกษาก็จะดิ้นรนช่วงชิงกัน ทำมาหากิน โดยยึด รายได้เป็นตัวตั้ง ที่สุด ระดับหัวกะทิ ก็จะตกเป็น ลูกจ้างบรรษัทต่างชาติ จะมีกี่คนที่ไปอยู่กับชาวบ้าน
       
       •• ในกรณีเปรียบเทียบหากเป็น สาขาแพทย์ ที่จะต้อง จ่ายสูงกว่า จบออกมาแล้วคิดหรือว่าจะมีใครคิดไปเป็น แพทย์ชนบท เพื่อ ทดแทนคุณแผ่นดิน เพราะปรัชญาของ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ พวกเขาที่ดิ้นรนเพื่อ จ่ายแพง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้อง สำนึกในคุณของแผ่นดิน เพราะตัวเขาเองเป็น ผู้ลงทุน ไม่ใช่ รัฐ, สังคม กรณีที่จะเกิดขึ้นแน่นอนก็คือ นักศึกษาแพทย์จบใหม่ จะเร่ง เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อ หาเงินใช้หนี้, เร่งทำเงิน และพวกเขาจะเลือกที่จะเป็น แพทย์เฉพาะทาง ด้วย เหตุผลทางรายได้ น้อยคนคงจะเลือกเป็น จิตแพทย์, แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ไม่ต้องพูดถึง แพทย์นิติเวช กันเลย
       
       •• ในกรณี สำนึก ลักษณ์เดียวกันนี้ อาจารย์มหาวิทยาลัย ก็จะถูกแปรเป็นเสมือน ลูกจ้างบริษัท จะมีเหลือ อาจารย์มหาวิทยาลัย แบบในยุคปัจจุบันที่ถือ การออกความเห็นในประเด็นสาธารณะ เป็น งาน, ภารกิจ ที่มีต่อ รัฐ, สังคม อย่างหนึ่งอยู่อีกสัก กี่คน เพราะต่างจะต้องอยู่ใน กฎ, วินัย ของบรรดาอธิการบดีที่กลายเป็น ซีอีโอมหาวิทยาลัย หากทำผิดหรือไม่เป็นที่พอใจก็จะถูก เลิกจ้าง ได้ง่าย ๆ
       
       •• แม้แต่ ยุโรป ที่ยังคงยึด ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ก็มีแนวคิดด้าน การศึกษา แตกต่างไปจากแนวทางที่บ้านนี้เมืองนี้กำลังเดินอยู่ “เซี่ยงเส้าหลง” เชื่อว่าผู้อ่านคงทราบว่า อังกฤษ คุมค่าใช้จ่ายทางการศึกษาไว้ที่ ไม่เกิน 1,000 ปอนด์/ปี ใน ทุกหลักสูตร และมีกรณียกเว้นไว้ว่าในกรณีที่ พ่อแม่ มีรายได้รวมกัน น้อยกว่า 20,000 ปอนด์/ปี ก็ให้ เรียนฟรี ส่วนใน เยอรมนี นั้น เรียนฟรีตั้งแต่อนุบาล-ปริญญาเอก เลย

 
 
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ - พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
 
 
       •• ที่เขียนมาก็ไม่ได้หวังว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์, พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะรับฟังและนำไปพิจารณาอะไรมากนัก “เซี่ยงเส้าหลง” ทำไปตาม หน้าที่ ไม่อยากเห็นกระบวนการ เพิ่มเชื้อเพลิง ให้กับความร้อนแรงของสถานการณ์ทางการเมือง ณ วันนี้และภายในรอบปี 2550 นี้ที่ แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ยิ่งเห็นมหาวิทยาลัยบางแห่งที่ กระเหี้ยนกระหือรือในการออกนอกระบบ กระทำการในลักษณะที่พยายาม ปิดปากนักศึกษาที่คัดค้าน ทั้ง ปลดออกจากองค์การนักศึกษา, เสนอสินบนให้ และ ฯลฯ แล้วก็ให้นึกถึง สถานการณ์ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ยิ่งนัก
 

********
 Grin  เจริญ...ประเทศไทย   ตัวใครตัวมัน
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
Virus
Hero Member
*****

คะแนน 6
ออฟไลน์

กระทู้: 1759



« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 03:00:47 PM »

ปัจจุบัน เค้าก็ออกนอกระบบกันหมดแล้วนิคะ

บันทึกการเข้า

จะดี จะชั่ว อยู่ที่ตัวทำ
จะสูง จะต่ำ อยู่ที่เราทำตัว
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 03:27:20 PM »

ออกนอกระบบจำเป็นต้องทำแล้ว แต่ไม่ใช่เวลานี้ รออีกหน่อย ปลูกฝังจากเด็กมัธยมต้นมาก่อน

แล้วค่อยๆกล่อมเกลา ทำความเข้าใจ  รุ่นเก่าถึงรุ่นปัจจุบันเขาไม่รับกันหรอก เลยวัยไปหลายปี
บันทึกการเข้า

                
ช็อปเปอร์
ขอให้สัญญาว่า.... จะรักและถนุถนอมเธอตลอดไป ...
Full Member
***

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 360



« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 03:41:49 PM »

หน่วยงานราชการบางแห่ง ก็ออกนอกระบบราชการไปแล้วครับ ตัวอย่างเช่น สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) , สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นต้น
มหาวิทยาลัยเองก็มีหลายสำนักที่ออกนอกระบบราชการไปแล้ว เช่น บัณฑิตวิทยาลัย ของ ม.มหิดล เป็นต้น
ในอนาคต ผมว่าคงต้องออกนอกระบบหมดแหล่ะครับ แต่ที่สำคัญก็คือ เมื่อออกนอกระบบแล้ว ฐานเงินเดือนจะสูงกว่าระบบราชการเยอะมาก แล้วรัฐจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายล่ะครับ
บันทึกการเข้า
Virus
Hero Member
*****

คะแนน 6
ออฟไลน์

กระทู้: 1759



« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 03:57:34 PM »

ท่านขุนแผนญี่ปุ่น   พูดถูกคะ  ขนาดปริญญาโทบางที่

ยังออกนอกระบบเกินกว่าความเป็นจริงอีกค่ะ
บันทึกการเข้า

จะดี จะชั่ว อยู่ที่ตัวทำ
จะสูง จะต่ำ อยู่ที่เราทำตัว
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
*****

คะแนน 586
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8574


« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 04:25:10 PM »

งานนี้ต้องมองให้ลึก  กว่าที่เป็น 

สมัย สนธิ เรียกร้องให้ รัฐบาลชุดเก่าออกไป  แรกๆ มีคนมาร่วมกลุ่มกะเขาค่อนข้างน้อย  ตอนนั้นทุกประเด็น ปัญหาทางการเมือง  โดน สนธิ สนับสนุน เอาเป็นแนวร่วมหมด   แล้วก็มีผู้เสนอ ให้ฟื้นฟู พลังนักศึกษา เพื่อให้มีบทบาททางการเมืองเหมือนสมัยก่อน  จึงมีการกล่าวสนับสนุน เรื่องการค้าน ม. ออกนอกระบบ 

หลัง คมช. ปฎิรูป  กลุ่มพันธมิตร ก็แยกสลายตัวตามกาลเวลา แต่ เขาจำเป็นต้องรักษาคำพูด  และต้องมีบทบาททางสังคมเสมอ   กลุ่มคนทำงานต่างๆ แยกย้ายกันตามวาระ  ก็เหลือประเด็น ค้าน ม . ออกนอกระบบนี้แหละ ที่จะทำให้เขามีบทบาททา งการเมืองอย่างต่อเนื่อง

หวังเพื่อ รักษาบทบาท กลุ่มตนเองให้มีกิจกรรมต่อเนื่องเท่านั้น




บันทึกการเข้า

....ตามล่า...อีตอแหล
flyingkob-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 361
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2396


"สุวิชาโน ภวัง โหติ" ผู้รู้ดี เป็นผู้เจริญ


« ตอบ #6 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 04:40:13 PM »

คนที่ผลักดันระบบการศึกษานี้ออกมาได้เล็งถึงผลลัพท์ในอนาคตแล้วว่า ทิศทางของประเทศไทยจะไปทางไหน การกดขี่จะมีมากขึ้น ลัทธิทุนนิยมจะเข้ามาสู่สังคมไทยมากขึ้น ประชาชนทุกคนจะมีความเห็นแก่ตัว คำนึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะรัฐฯได้เสี้ยมสอนมาตั้งแต่เกิด.....
บันทึกการเข้า

ตึกยาวหลังนี้ สอนให้เรารู้สำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
*****

คะแนน 586
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8574


« ตอบ #7 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 05:01:23 PM »

ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่ การออกนอกระบบหรือคงในระบบเดิม  แต่มันอยู่ที่ ประเทศเรา ไม่ได้มีทรัพยากรณ์  อย่างเหลือเฟือ เหมือน รัฐ บาง รัฐ   ที่เรียนฟรีทุกระดับ  อยากเรียนต้องได้เรียน  แต่นี้เงินเรามีจำกัด ถ้าไปสนับสนุนแต่จุดเดียว  จุดอื่นที่เป็นฐานใหญ่ของสังคมละ เราจะทำอย่างไร

จะเห็นได้จาก  มีที่เรียนจำกัด  ต้องมีการสอบเข้า  ดังนั้นจะเกิดความเหลือมล้ำในการกระจายความรู้  เราจะเห็นว่า  ในมุมหนึ่งของประเทศ จะมีเด็กได้รับสิทธิทางการศึกษาค่อนข้างสูง   ในขณะเดียวกัน  อีกมุมหนึ่ง เด็กๆ ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาเลย  ทั้งๆที่เด็กเหล่านั้นควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรามีปัญหางบประมาณ  เราสามารถสร้างมหาวิทยาลัยดีๆ ได้  แต่ผลิต บุคคลากรมาสนอง ความต้องการแรงงานของชาติ ได้จำนวนน้อย  แต่เราไม่มีเงิน ที่จะส่งเสียให้เด็กทุกๆคน ได้รับการศึกษาภาคบังคับที่มีคุณภาพ

ดังนั้น เรามีแผนแม่บท จะกระจาย ทรัพยากรณ์ ไปยัง การศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ครบถ้วนทุกหมู่บ้านทุกตำบล  ขยายการศึกษาภาคบังคับออกไปอีก  เนื่องด้วยงบประมาณมีน้อย เราจึ่งเกลี่ยได้บางส่วน

ส่วนในการศึกษา ขั้นมหาวิทายาลัย  ถือว่าเกินขั้นพื้นฐานไปแล้ว และเป็นวิชาชีพ ที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้โดยตรง  จึงถือว่า ผู้ได้รับประโยชน์  ควรเป็นผู้จ่าย

แต่ กลุ่มต่อต้าน ได้อาศัย ภาพหล่อนของสังคมไทย ช่วง รัฐบาล ทักษิณ  มาเป็นเครื่องประชาสัมพันธ์  ตั้งแต่ ขาย รัฐวิสาหกิจ , การพลังงานต่างๆ  จนผู้ปกครอง ระแวงว่า  จะเกิดภาพนั้นซ้ำ ถ้า ม. ออกนอกระบบ 

นั้นคือ กลัวจะเสียค่าเทอมแพง

อันที่จริงแล้วทุกวันนี้  แม้ ม. จะไมได้ออกนอกระบบ มันก็มีพฤติกรรม ที่อยู่นอกระบบอยู่แล้ว  ทั้งหลักสูตรพิเศษ ต่างๆ  ค่าหอพัก ค่า......

คนไทยเรา ไม่เคยลงทุกกะการศึกษา ตะหาก หวังเพียง ได้ ใบ ปริญญา บัตร ก็พอ
เราจะเห็น นศ.  สามารถจ่ายเงิน ซื้อ เหล้านอก ราคาขวดละพัก กว่าบาทได้อย่างสบายใจ  แต่ ไม่ยอมเสียเงินซื้อตำราเรียน ราคาเล่มละ สามร้อยกว่าบาท  หรือ  ค่าหน่วยกิต ขึ้นจากหน่วยละ สี่สิบกว่าบาท เป็น หกสิบบาท  ก็ไม่พอใจตั้งวงประท้วงกันแล้ว

เราไม่เคยมองภาพการศึกษา ในมุมกว้าง  ในโลกแห่งการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง

จะเห็นได้ว่า ข้อคิดใน กรณีนี้  อ. วิจิตร สามารถตอบข้อ สงสัยของ กลุ่มหัวก้าวหน้าในสภาได้อย่างละเอียด  ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มเดียวกันเคยอัด กรณี หวยบนดิน มาจนเละไปแล้ว

อ. หมอประเวทย์  และนักวิชาการหลายท่าน ก็สนับสนุน (อ่านบทความได้จาก เวป ผู้จัดการ)

ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ระบบ ม. ก็ยังคงเดิม  ซึ่งนับวัน จะหาคนมา สอนได้ยากขึ้น
เรียนมาเกือบตาย เงินเดือนนิดเดียว  แล้วใครจะมาสอน และเราจะได้กำลังของประเทศ ที่มีประสิทธิภาพน้อยลง

ประเด็น ที่ นศ ออกมาต่อต้าน นอกจากภาพ หลอน เรื่อง การขึ้นค่าใช้จ่ายแล้ว
ยังมองว่า ประโยชน์ เอื้อต่อผู้บริหารเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ต่อ นศ เลย  ตรงจุดนี้ต้องมองด้วยว่า  ครู อาจารย์ เป็น บุคคลกรที่ มีความชำนาญเฉพาะ มีความรับผิดชอบสูง
ผลตอบแทน ต้องให้คุ้มค่า  ไม่เช่นนั้นปัญหาสมองไหล ก็เกิดขึ้นต่อๆไป






 
บันทึกการเข้า

....ตามล่า...อีตอแหล
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
*****

คะแนน 586
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8574


« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 05:12:35 PM »

ระบบเดิมๆ ตะหาก ที่สอน ให้เด็กเห็นแก่ตัว   การแย่งสอบเข้า ม . ชื่อดัง  การแย่ง เข้าเรียนใน โรงเรียน ส่วนกลาง แล้วลูกตาสีตาสา ที่ได้รับการศึกษาพื้นฐานมาน้อย แล้วสอบไม่ได้ละ  พ่อแม่เขาไม่ได้เสียภาษี เหมือนกันเหรอ  คนที่สอบไม่ได้ และมีทางเลือกให้เขาน้อย เขาย่อมตระหนักในความไม่เท่าเทียม

การศึกษาทางเลือก ในบ้านเรา ก็ไม่ค่อยมี

ทุนนิยม ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย  มันอยู่ที่ จริยธรรมของ คนในสังคม ต่างหาก

อย่าง กลุ่ม พันธมิตรฯ มักจะมองว่าอะไรที่เป็นทุนนิยมเป็นสิ่งอันตราย  ทำเหมือนกะว่า เราเป็นประเทศจีน ยุค แก็ง 4 คน  ที่ ข้อหา "มั่งคั่ง " "ทุนนิยม"  เป็นข้อหาร้ายแรง
บันทึกการเข้า

....ตามล่า...อีตอแหล
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #9 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 06:12:15 PM »


คนไทยเรา ไม่เคยลงทุกกะการศึกษา ตะหาก หวังเพียง ได้ ใบ ปริญญา บัตร ก็พอ
เราจะเห็น นศ. สามารถจ่ายเงิน ซื้อ เหล้านอก ราคาขวดละพัก กว่าบาทได้อย่างสบายใจ แต่ ไม่ยอมเสียเงินซื้อตำราเรียน ราคาเล่มละ สามร้อยกว่าบาท หรือ ค่าหน่วยกิต ขึ้นจากหน่วยละ สี่สิบกว่าบาท เป็น หกสิบบาท ก็ไม่พอใจตั้งวงประท้วงกันแล้ว
 

โธ่ พี่ เด็กสมัยนี้ ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงแบบทุ่มเทจริงๆ  ให้หนังสือฟรีๆ มันยังไม่อ่านเลย
มีหรือจะจ่ายเงินตั้งสามร้อยไปซื้อ เอาไปเที่ยวกลางคืนได้ตั้งคืน

หุหุหุ  ผมมองโลกแง่ร้ายไปหรือเปล่าเอ่ย
บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
โซ้ยตี๋
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2733



« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 16, 2007, 06:28:59 PM »


คนไทยเรา ไม่เคยลงทุกกะการศึกษา ตะหาก หวังเพียง ได้ ใบ ปริญญา บัตร ก็พอ
เราจะเห็น นศ. สามารถจ่ายเงิน ซื้อ เหล้านอก ราคาขวดละพัก กว่าบาทได้อย่างสบายใจ แต่ ไม่ยอมเสียเงินซื้อตำราเรียน ราคาเล่มละ สามร้อยกว่าบาท หรือ ค่าหน่วยกิต ขึ้นจากหน่วยละ สี่สิบกว่าบาท เป็น หกสิบบาท ก็ไม่พอใจตั้งวงประท้วงกันแล้ว
 

โธ่ พี่ เด็กสมัยนี้ ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงแบบทุ่มเทจริงๆ ให้หนังสือฟรีๆ มันยังไม่อ่านเลย
มีหรือจะจ่ายเงินตั้งสามร้อยไปซื้อ เอาไปเที่ยวกลางคืนได้ตั้งคืน

หุหุหุ ผมมองโลกแง่ร้ายไปหรือเปล่าเอ่ย

มองโลกแง่ร้ายกันทั้งคู่อ่ะแหละ  Grin Grin

บันทึกการเข้า
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 17, 2007, 11:05:12 AM »

เฮ้อ  ...ผมอยากให้มีการศึกษาถึงระดับ ป.ตรี เป็นอย่างต่ำครับ
คือไม่ใช่ภาคบังคับ  แต่ใครอยากเรียน  มีกำลังสมอง ก็ควรจะมีโอกาสตรงนั้น
ถ้าคนมีคุณภาพเสียอย่าง  ประเทศก็เจริญ  การที่มีคนด้อยการศึกษามากก็เป็นปัญหา  ต้องเสียงบประมาณ เสียเวลา กำลังคน มาแก้ไข  อย่างเราเห็นทุกวันนี่แหละครับ
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.071 วินาที กับ 20 คำสั่ง