http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9480000035758น่าสนใจนะคับ

นี้คือส่วนหนึ่งที่ผมคัดลอกมานะคับ
ถ้ารัฐบาลมีความสามารถที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้โดยการส่งออก การลงทุนดี เก็บภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ๆ ได้ คนระดับล่างจะไม่เดือดร้อน แต่กลับเกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจขึ้นคือ สรรพากรเริ่มที่จะลงมารีดภาษีกับธุรกิจเล็ก ซึ่งเจอกับตัวเองเมื่อไปนั่งทานข้าว โดยเจ้าของร้านบอกว่าเจ้าหน้าที่สรรพากรมาประเมินว่าร้านมีรายได้จากการขายอาหารแสนสามต่อเดือน ให้จ่ายภาษีหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน แถมตอนหลังยังมาขอให้จ่ายเพิ่มอีก 3 พัน รวมเป็นต้องจ่ายภาษีหมื่นสามต่อเดือน อย่างนี้แปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากรายได้รัฐไม่พอ เพราะถ้าเก็บจากห้างร้านใหญ่ๆ ได้ และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจริง จะไม่ไปเก็บจากข้างล่าง แต่นี่แสดงว่าข้างบนเริ่มมีปัญหาแล้วนายสนธิ กล่าว
ส่วนการปรับราคาน้ำมันเบนซิน และลอยตัวในเวลาต่อมานั้น นายสนธิ กล่าวว่า ตรงนี้แม้จะทำให้กระบวนการใช้สอยมีการปรับตัวไปโดยอัตโนมัติ แต่กับคนที่มีค่าใช้จ่ายตายตัวในแต่ละเดือน เมื่อต้องเสียใช้จ่ายทางพลังงานเพิ่มอีก 40 เปอร์เซ็นต์จากการปรับตัวของราคาน้ำมัน ก็ย่อมต้องไปตัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ออก ก็คือของฟุ่มเฟือย ซึ่งมีความหมายถึงสินค้าประเภทบริการด้วย ดังนั้นคาดว่างานในด้านนี้จะถดถอยพอสมควร สำหรับต้นทุนอีกตัวหนึ่งก็คือน้ำมันดีเซลที่ถูกตรึงราคาอยู่หลายเดือนเพื่อผลทางการเลือกตั้ง ทำให้เงินของกองทุนน้ำมันติดลบ ในที่สุดจะต้องมีการออกพันธบัตรและลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งหากลอยตัวในวันนี้ ราคาจริงน่าจะอยู่ที่ 18 บาทต่อลิตร จุดนี้จะส่งผลกระทบกับทุกระดับหมด ทั้งค่าโดยสาร สินค้า อาหาร ดังนั้นเมื่อธุรกิจเจอสภาพเช่นนี้แล้ว ประกอบกับการ Realsector ไม่ขยายตัว ก็ต้องมีการลดต้นทุนด้วยการเอาคนออก แต่ก็จะไม่รุนแรงเท่ากับเมื่อปี 2540